Skip to main content

อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นปัญญาชนสยาม มีอายุครบ ๘๐ ปี เมื่อวันที่
๒๗ มีนาคม ๒๕๕๕๕
แม้จะเข้าสู่วัยสนธยาแห่งชีวิต แต่ท่านก็ยังคงทำหน้าที่เป็น
"คันฉ่องส่องสังคม" อยู่อย่างเสมอต้น
เสมอปลาย น้ำเสียงของท่านในระยะหลังยังจะดูดุดันเผ็ดร้อนขึ้นด้วยซ้ำ

ท่านเป็นผู้อาวุโสที่แกนนำของคนทั้งสองขั้วสีให้ความเคารพนับถือ
แม้จะไม่เชื่อฟังท่านในทุกเรื่อง
ท่านก็ไม่ทดท้อถดถอยในการแนะนำพร่ำสอนแบบกัลยาณมิตร
ไม่ว่าจะเป็นแกนนำพันธมิตรฯอย่าง
อาจารย์พิภพ ธงไชย
ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงคนเสื้อแดงอย่างอาจารย์จรัล
ดิษฐาอภิชัย
เป็นอาทิ ท่านเคยเล่าว่าศิษย์ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนกันมานาน
เขาทั้งคู่รักกันมาก ทุกวันนี้ก็ยังรักกันอยู่ แม้จะมี
จุดยืนทางการเมืองแตกต่างกันก็ตาม

สำหรับผู้เขียนเองก็จะขอแวะกล่าวเสริมไว้ตรงนี้ด้วยว่า
จากการที่ได้รู้จักอาจารย์พิภพ และอาจารย์จรัล
ก็เห็นจริงตามคำบอกเล่าของอาจารย์สุลักษณ์ว่า
ทั้งสองคนเหมาะจะเป็นเพื่อนสนิทกันโดยแท้จริง เพราะ
เป็นคนมีอุดมการณ์ทำงานเพื่อสังคมด้วยกันทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นมิตรสหายทั้งสองยังมีบุคลิกที่เหมาะสม
กับการเป็นคนเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อประโยชน์ส่วนรวมโดยแท้

ตลอดเวลาแห่งการเกิดขึ้นของขบวนการทางการเมืองภาคประชาชนทั้งสองขั้วสี
อาจารย์สุลักษณ์จะช่วย
เตือนสติคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงอย่างตรงไปตรงมาอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังกล้าวิพากษ์วิจารณ์
"บุคคลอันเป็นที่รัก"ของทั้งสองฝ่่ายแบบไม่เกรงกลัวผลกระทบใดๆเลย
ในประเด็นนี้ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือ
ไม่เห็นด้วยกับอาจารย์สุลักษณ์ก็ตาม แต่สิ่งที่เราเห็นชัดก็คือ
ความกล้าหาญและความซื่อสัตย์ต่อความคิดเห็น
ของตนเองอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

อาจารย์สุลักษณ์มักจะพูดอยู่เสมอว่า กัลยาณมิตร
คือผู้ที่กล้าพูดความจริงในสิ่งที่เราไม่อยากฟัง ท่านจึงทำหน้าที่
เป็นกัลยาณมิตรของสังคมเสมอมา
กระทั่งมีกลอนบรรยายลักษณะของอาจารย์สุลักษณ์สองบทของ พ.กิ่งโพธิ์
ที่เคยลงพิมพ์ไทยโพสต์ในวาระครบรหกรอบชาตกาลของท่านว่

คนจริง คนตรง คนกล้า  โด่งดัง ด้วยด่า น่าสดับ สอดส่อง กองสุม ขุมทรัพย์
คันฉ่อง ส่องฉับ วับวาว
นักเขียน นักคิด นักพูด นักแปล นักปูด เรื่องฉาว นักดวล นักด่า ห้าดาว
เรื่องราว สุลักษณ์ ศิวรักษ์

ผู้เขียนเคยได้ฟังอาจารย์สุลักษณ์พูดปรารภว่า
ถ้าคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงจะมองเห็นว่าท่านพอจะเป็นคนกลาง
ที่มีความเป็นกลางในการเป็นตัวเชื่อมให้คนทั้งสองขั้วสีได้พบปะพูดจากันได้บ้างท่านก็จะมีความยินดีปรีดาเป็นอย่างมาก
นับเป็นคำปรารภที่น่าจะนำไปพิจารณากันยิ่งนัก
เพราะการพบปะเจอะเจอและพูดจากันเป็นบันไดขั้นแรกในการนำไปสู่
ความปรองดองอย่างแท้จริง