Skip to main content

ตื่นเช้าขึ้นมาวันนี้ คือวันที่ 1 มกราคม 2556 ผมลองคิดบวกดูบ้าง คือคิดแบบเข้าข้างตนเองทบทวนดูว่า หนึ่งปีที่ผ่านมาได้ทำอะไรใหม่ๆ ให้ตนเองบ้าง คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองผมคือ ได้อ่านหนังสืออะไรที่นับว่าตัวเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ บ้าง แล้วก็คิดไปเรื่อยว่า ได้ทำอะไรที่ให้การเรียนรู้ใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง

น่าอายเหมือนกันที่ผมนึกอยู่นานว่าอ่านอะไรใหม่ๆ หรืออ่านอะไรเก่าๆ แล้วได้คิดอะไรใหม่ๆ บ้าง ที่จริงก็มีนั่นแหละ เพียงแต่เหมือนไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าใดนัก อย่างงานเขียนเชิงทฤษฎีและปรัชญาที่ต้องกลับมาอ่านซ้ำๆ ในวิชาทฤษฎีมานุษยวิทยา แต่ละครั้งที่ต้องอ่านใหม่เพื่อเตรียมสอน ก็มักจะได้คิดอะไรใหม่ๆ เนื่องจากได้เอาประสบการณ์ใหม่ๆ เข้าไปตีความในระหว่างการอ่านงานทฤษฎีเหล่านั้นเสมอ 
 
แต่ทฤษฎีทางสังคมศาสตร์ก็เปลี่ยนแปลงเร็วมาก ในสามปีที่ผมสอนทฤษฎีมานุษยวิทยาระดับปริญญาเอก ทำให้ต้องค่อยๆ เพิ่มหนังสือใหม่ๆ นักคิดใหม่ๆ ที่ไม่เคยอ่านไม่เคยเรียนมาก่อน มาร่วมอ่านร่วมเรียนกับนักศึกษาปริญญาเอก ปีละอย่างน้อยก็นับ 4-5 เล่ม
 
เท่าที่ระลึกได้และค่อนข้างประทับใจ ได้แก่งานของ Bruno Latour (บรูโน ลาตูร์ ไม่ทราบถ่ายเสียงถูกหรือเปล่า) ซึ่งสำหรับหลายๆ คนแล้วก็ไม่ได้ใหม่อะไร แต่ใหม่สำหรับผม เพราะผมไม่ทันได้รู้จักลาตูร์ในระหว่างเรียนปริญญาเอก ในหนังสือที่ผมอ่าน (Reassembling the Social แปลจากภาษาฝรั่งเศสปี 2005) ลาตูร์เสนอภาพสังคมที่ไม่เป็นโครงสร้างตายตัว แต่มีการพยายามประกอบสร้างสังคม แล้วก็เกิดการแยกสลาย หรือก่อร่างสังคมใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ภาวะทางสังคมแบบนี้ไม่ได้เป็นโครงสร้างตายตัว และก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นวัฏจักรเกิด-ดับ แต่เป็นการดึงดันกันของพลังของผู้ปฏิบัติการทางสังคม และพลังของกลุ่มทางสังคม
 
นักคิดที่ผมเพิ่งรู้จักอีกคนหนึ่งคือ Judith Butler (จูดิท บัทเลอร์) ที่ช่วยให้ผมเข้าใจภาวะของการที่มนุษย์มีตัวตนของตนเองขึ้นมาได้ จากการกลายเป็นสมาชิกในโครงข่ายทางอำนาจ หากแต่เมื่อเข้ามาในสังคมแล้ว เขาไม่ได้จำเป็นต้องถูกควบคุมครอบงำอย่างเชื่องๆ ในสังคมที่เขาอาศัยอยู่ ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้หลุดลอยเป็นอิสระชนอย่างเสรีได้ เนื่องจากสังคมสร้างเงื่อนไขเฉพาะในการปฏิบัติการของพวกเขาเองนั่นแหละ ที่ทำให้เขาได้กำเนิดขึ้นมา เพียงแต่สังคมนั่นก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จ
 
นอกจากทฤษฎีแล้ว นักเรียนมานุษยวิทยายังต้องอ่านงานที่เรียกกันว่า "ชาติพันธุ์วรรณนา" (ethnography) งานประเภทนี้ให้ภาพรายละเอียดของสังคม ไปพร้อมๆ กับการวิเคราะห์สังคมในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง ด้วยการนำทฤษฎีมาช่วยทำความเข้าใจ เมื่อมีทฤษฎีใหม่ๆ เราก็ได้แง่มุมใหม่ๆ ของสังคม เข้าใจมนุษย์ในแง่มุมต่างๆ ในขณะเดียวกัน การได้อ่านงานที่ศึกษาสังคมจากที่ต่างๆ ทั่วโลก ช่วยให้เห็นภาพความแตกต่างในการจัดการกับชีวิตตนเองของมนุษย์ ในแต่ละปีผมพยายามหางานลักษณะนี้มาอ่านกับนักศึกษาไม่น้อยกว่า 10 เล่ม (ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับสมัยที่เรียน)
 
ในจำนวนนั้น เท่าที่จำได้และอยากเล่าถึง ผมชอบงานของ Yoko Hayami (โยโกะ ฮายามิ หนังสือชื่อ Between Hills and Plains ปี 2004) ที่ศึกษาชาวกะเหรี่ยงในเชียงใหม่เมื่อกว่าสิบปีมาแล้ว แต่ทั้งข้อมูลและการวิเคราะห์ยังสดใหม่ ว่าด้วยการรับศาสนาใหม่ของชาวกะเหรี่ยง ที่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่รับศาสนาพุทธหรือกลุ่มที่รับศาสนาคริสต์ ต่างก็ปรับเอาแนวคิดใหม่ๆ เหล่านั้นมาให้เข้ากับศาสนาความเชื่อเดิมของชาวกะเหรี่ยง หากแต่ด้วยเงื่อนไขของสังคมที่สังคมภายนอกมีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้พวกเขาต้องรับศาสนาใหม่มาเป็นพลังเสริมสร้างและต่อรองกับอำนาจจากสังคมใหม่ๆ 
 
งานที่ชอบยังมีอีกหลายชิ้น เช่นงานศึกษาเปรียบเทียบการใช้ที่ดินของชาวอาข่าในไทยกับจีน (ของ Janet Sturgeon หนังสือชื่อ Border Landscapes ปี 2005) คนเขียนพบว่า ไม่ใช่คนในพื้นที่หรอกที่ทำลายป่า แต่เป็นรัฐ เป็นเจ้าหน้าที่รัฐต่างหากที่มีส่วนทำลายป่าอย่างใหญ่หลวง และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นโยบายป่าไม้ของรัฐไทยทำลายป่ามากกว่านโยบายของจีน 
 
อีกชิ้นที่อยากเอ่ยถึงศึกษาประวัติความเป็นมาของวรรณกรรมภาษาอินโดนีเซีย (โดย James Siegel ชื่อ Fetish, Recognition, Revolution ปี 1997) หนังสือเสนอภาพความสำนึกต่อตัวตนของความเป็นคนอินโดนีเซีย ผ่านการเขียนวรรณกรรมภาษาอินโดนีเซีย ซึ่งพัฒนาขึ้นมาในระหว่างที่ชาวดัชปกครองอินโดนีเซียอยู่ ภาษาอินโดนีเซียจึงมีบทบาทในการสร้างสำนึกร่วมของความเป็นชาติ แม้ว่าจะภาษานี้จะถูกสร้างขึ้นมาใหม่และเพิ่งจะเป็นภาษาที่มีคนใช้มากมายเมื่อสักร้อยปีที่ผ่านมานี้เอง
 
ความจริงงานที่อ่านยังมีอีกมาก ที่ประทับใจก็อีกหลายเล่ม แต่เล่มที่ไม่ได้อ่านในชั้น แต่ต้องอ่านเพื่อวิเคราะห์เสนอในงานเสวนาหนึ่ง คือหนังสือ 2 เล่ม ชื่อ "รักเอย" (2555) และ "สมุดแม่" (2550) เล่มแรกเขียนโดยรสมาลิน ตั้งนพกุล หรือป้าอุ๊ ภรรยา "อากง" ที่เสียชีวิตในระหว่างสู้คดี 112 (หนังสือนี้เรียบเรียงโดยเพียงคำ ประดับความ และไอดา อรุณวงศ์) อีกเล่มเขียนโดยปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล หรือดร.ปริตตา อดีตผู้อำนวยการศูนย์มานุษยวิทยาฯ และอดีตอาจารย์ประจำสาขามานุษยวิทยาที่ธรรมศาสตร์
 
หากจะสรุปย่อบางประเด็นจากที่ผมเสนอในงานเสวนา "รักเอย" และ "สมุดแม่" นั้น บอกเล่าชีวิตคนสามัญ ที่คนทั่วไปสามารถอ่านแล้วสัมผัสถึงชีวิตผู่้คนได้อย่างดี ยิ่งด้วยความที่เป็นเรื่องเล่าจากข้อเท็จจริงของชีวิต ก็ทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงตัวบุคคลในเรื่องเข้ากับชีวิตจริง ชีวิตตนเอง ได้อย่างตรงไปตรงมา ด้วยวิธีการเล่าที่ไม่ค่อยเป็นวิชาการ คนอ่านก็แทบไม่จำเป็นต้องเข้าใจผ่านแนวคิดนามธรรมยุ่งยากมากมาย ที่สำคัญคือ การเล่าผ่านความทรงจำของผู้เล่า ทำให้ประสบการณ์เชิงผัสสะ ไม่ว่าจะเป็นรส กลิ่น เสียง สัมผัส และรูป ถูกบอกเล่าผ่านความรู้สึก ทำให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้คน เป็นความรู้ที่ผู้อ่านสัมผัสและรู้สึกได้ ต่างจากความรู้ที่เป็นนามธรรม 
 
ในที่สุด งานลักษณะนี้จึงส่องให้เห็นชีวิตผู้คน ที่โลดแล่นอยู่ในสังคม จะว่าคนเป็นอิสระชนก็ไม่ใช่ แต่ครั้นจะว่าคนถูกครอบงำจากสังคมอย่างแทบกระดุกกระดิกไม่ได้ก็ไม่ถูกนัก ทำให้ผลอย่างหนึ่งของการอ่านงานประเภทนี้คือการชี้ช่องให้เห็นว่า ปัจเจกชนไม่ได้จำนนอยู่ในกรอบอำนาจใดๆ อย่างเชื่องเชื่อ หากแต่ยังมีช่องโหว่รอยรั่วที่ปัจเจกสามารถเล็ดรอดออกมาได้บ้าง สามารถปรับแต่งอะไรได้บ้าง เพียงแต่ความหวังในการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะยังดูริบหรี่ในชั่วชีวิตของคนคนหนึ่ง
 
ที่จริงนอกจากหนึ่งปีที่ผ่านมาอ่านอะไรใหม่ๆ บ้างแล้ว ผมนั่งร่างภาพความคิดที่จะทบทวนว่า 
 
- มีงานสัมมนาทางวิชาการอะไรบ้างที่เข้าร่วมแล้วตนเองได้อะไรใหม่ๆ (สัมมนาเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไต้หวัน สัมมนาเรื่อง cosmopolitanism ที่มาเลเซีย และสัมมนาและเสวนาวิชาการอีกกว่าสิบๆ งานที่เมืองไทย เช่นที่ Reading Room ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหลายๆ ครั้ง ที่ธรรมศาสตร์รังสิต)
- ทำกิจกรรมทางสังคมอะไรบ้างทำที่ให้ตนเองได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (ร่วมคณะรณรงค์แก้ม. 112 ร่วมงานกับศปช.) 
- เดินทางไปที่ใดบ้างที่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (กลับไปเยี่ยม "หมู่บ้านของฉัน" ในเวียดนาม ไปกัมพูชา ไปกัวลาลัมเปอร์ ไปไทเป และเข้าไปท่องในโลกเฟซบุคและเขียนเว็บบล็อก) 
- ได้รู้จักใครบ้างที่ทำให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปหรือได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ (พบนักศึกษาหน้าใหม่ๆ พบผู้คนคุ้นเคยที่เพ่ิงเผยด้านที่ไม่เคยรู้จัก พบผู้คนใหม่ๆ ในกิจกรรมต่างๆ ที่ได้เข้าร่วม พบผู้คนในโลกอินเทอร์เน็ต และมีแมวใหม่มาอยู่ด้วยตัวหนึ่ง) 
 
วันหยุดปีใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว งานการที่หวังพึ่งช่วงเวลาวันหยุดยาวเพื่อสะสาง ก็ไม่ได้ก้าวหน้าไปสักเท่าใดนัก แต่ที่ดูเหมือนผ่านไปอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าคือเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา พร้อมๆ กับเดินหน้าเข้าสู้ปีใหม่ด้วยการกลับไปทำงานประจำและสะสางงานเก่า ผมก็ยังหวังว่าปีหน้าจะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ และเดินทาง และทำกิจกรรมทางสังคม และเข้าร่วมงานวิชาการ และพบปะใครต่อใครอีกมากมายที่ยังไม่เคยได้ทำมาก่อนไม่ให้น้อยหน้าหนึ่งปีที่ผ่านมา

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา