Skip to main content

หากเรียกร้องเรื่องทรงผม ก็ต้องเรียกร้องเรื่องชุดนักเรียนนักศึกษาด้วย จะได้เป็นก้าวแรกของการอภิวัฒน์การศึกษาไทยอย่างจริงจังเสียที พวกผู้ใหญ่ที่คอยเรียกร้องนักเรียนกับครูอาจารย์ ให้สอนให้เด็กรู้จักคิดน่ะ พวกท่านเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ชุดนักเรียนนักศึกษาเป็นปราการปิดกั้นเสรีภาพการคิดอย่างไร และเด็กๆ เองก็ควรเข้าใจด้วยว่า การควบคุมเรือนร่างเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมแบบอำนาจนิยมอย่างไร

การบงการร่างกายเป็นก้าวแรกของการบงการทางสังคม ในทางจิตวิทยาสังคม การควบคุมการขับถ่ายเป็นจุดแรกเริ่มของอำนาจควบคุมทางสังคมในตัวมนุษย์ การควบคุมเรือนร่างมีในทุกสังคม แต่ต่างรูปแบบและต่างวัตถุประสงค์กันออกไป อำนาจบนเรือนกายคืออำนาจที่ใกล้ตัวที่สุด สังคมอำนาจนิยมจึงอาศัยการควบคุมเรือนร่างเป็นเครื่องมือที่สำคัญทั้งสิ้น

สังคมที่บังคับให้สมาชิกสวมเครื่องแบบเป็นสังคมอำนาจนิยม สังคมแบบนี้มักควบคุมการแสดงออกด้านต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมการแสดงออกทางเรือนร่าง เช่น สังคมของคนเคร่งศาสนาหรือนักบวช สังคมของค่ายทหาร โรงงานอุตสาหกรรม และบริษัทห้างร้านใหญ่ๆ สังคมลักษณะนี้ต้องการเอกภาพ จึงมีความเข้มงวดสูง และต้องควบคุมสมาชิก ไม่เว้นแม้แต่การแสดงออกทางเรือนร่าง สมาชิกในสังคมเหล่านี้จึงต้องแต่งกายให้เหมือนกัน สังคมเหล่านี้จึงมีระเบียบการแต่งกายที่เข้มงวด

ไปๆ มาๆ เครื่องแบบไม่เพียงเป็นเครื่องมือควบคุมทางสังคม แต่เครื่องแบบยังกลายเป็นตัวสถาบันของอำนาจในตัวของมันเอง เมื่อมันสวมลงมาในตัวแล้ว กลายเป็นว่าผู้สวมใส่ต้องเคารพมัน เครื่องแบบกลายเป็นนายเหนือเรา เครื่องแบบกลายเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจในตัวของมันเอง เครื่องแบบกลายเป็นตัวสถาบันที่เข้ามาครอบเราเมื่อเราสวมใส่ เราเป็นเพียงร่างทรงของเครื่องแบบ

คำถามคือ ในโรงเรียน ในสถาบันการศึกษา ในมหาวิทยาลัย ซึ่งเราต้องการปลูกฝังวัฒนธรรมของการใช้ความคิด การแสดงความคิดเห็น ความกล้าแสดงออก เราจะยังต้องควบคุมการแสดงออกขั้นพื้นฐานอย่างหนึ่งคือการแสดงออกของเรือนร่างไปทำไม หากเราควบคุมนักเรียนนักศึกษาให้แต่งกายอย่างไร ย่อมหมายถึงว่า เรากำลังควบคุมให้พวกเขาอยู่ในระบบระเบียบ กำลังลดทอนความเป็นคนของพวกเขา กำลังใช้อำนาจกดพวกเขาอยู่ด้วย

หลักการต่างๆ สำหรับบังคับให้นักศึกษาใส่เคร่่ืองแบบจึงล้วนเป็นข้ออ้าง ไม่ใช่เหตุผล เป็นข้ออ้างที่ยกมาเพื่อกลบเกลื่อนการใช้อำนาจควบคุม หากใช้เหตุผล ข้ออ้างเหล่านี้ล้วนฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น

(1) ข้ออ้างเรื่องความประหยัด? ฟังไม่ขึ้น การที่พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเสียเงินซื้อชุดนักเรียนในวันเปิดเทอมแต่ละภาคสิ้นเปลืองเพียงใด ย่อมรู้กันดี ในต่างจังหวัดห่างไกล การบังคับให้เด็กใส่ชุดนักเรียนเป็นปัญหามายาวนาน และอันที่จริง เมื่อเทียบคุณภาพของเนื้อผ้าและความสะดวกสบายแล้ว เสื้อยืดและกางเกงยีนส์ทั้งถูกและทนกว่าชุดนักเรียนนักศึกษาแน่นอน แถมเด็กๆ และนักศึกษายังสามารถใส่ได้ทุกโอกาส ไม่ใช่เอาไว้ใส่ไปโรงเรียนไปสถานศึกษาเท่านั้น 

แต่หากไม่ใส่ชุดนักเรียน การเปิดโอกาสให้สามารถหาเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสมกับอากาศ ลักษณะนิสัย รสนิยม และกำลังทรัพย์ของผู้ปกครองเอง จะช่วยให้ผู้ปกครองและเด็กๆ มีทางเลือกมากขึ้น แทนที่จะสิ้นเปลืองเงิน พลังงาน และสิ่งแวดล้อม ไปกับการพยายามรักษาความขาวของเสื้อนักเรียน เสื้อยืดราคาย่อมเยากับกางเกงยีนส์หรือกางเกงขาสั้นราคาประหยัดที่มีอยู่มากมายตามตลาดนัด จะช่วยให้ผู้ปกครองประหยัดได้เช่นกัน

(2) ข้ออ้างเรื่องความสะอาด? ฟังไม่ขึ้น การบังคับให้นักเรียนทั้งหญิงและชายต้องใส่รองเท้าหนังหรือผ้าใบและถุงเท้าตลอดเวลานั้น ขัดกับอากาศบ้านเราอย่างยิ่ง ยิ่งพวกนักเรียนมักวิ่งเล่นกันตลอด ทำให้เหงื่อสะสมในถุงเท้ารองเท้ามาก โรงเรียนส่วนใหญ่ก็ไม่มีห้องอาบน้ำรองรับ ไม่มีการให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในวิชาพละ มาแต่เช้าชุดไหน ก็เรียนพละชุดนั้น ใส่ชุดนั้นวิ่งเล่นต่อตอนเย็น แล้วกลับบ้านโหนรถเมล์ เบียดเสียดยัดทะนานกันก็ไปในชุดนั้น

มีเกร็ดเกี่ยวกับเท้าผมคือ ตอนเด็กๆ เท้าผมเป็นเชื้อราตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ผมซักรองเท้าทุกสัปดาห์จนสีซีดและพังไวจนต้องเปลืองเงินซื้อใหม่บ่อยๆ ส่วนถุงเท้า ผมซักเองตั้งแต่อายุ 10 ขวบ มันดำมากและเหม็นเพราะต้องถอดเดินในห้องเรียน จนผมพัฒนาวิธีซักถุงเท้าด้วยการซักถึง 3 น้ำ รอบแรกน้ำเปล่า ขยี้ถี่ๆ แรงๆ ความสกปรกจะออกไปจนย้อมให้น้ำใสๆ กลายเป็นดำเลยทีเดียว รอบสองใช้ผงซักฟอก รอบสุดท้ายน้ำเปล่า แต่จนแล้วจนรอด เท้าผมก็ยังเป็นเชื้อรา มีใครเคยสนใจเท้านักเรียนบ้างหรือไม่ สนใจสุขภาพบนเรือนกายจากการบังคับให้แต่งตัวแบบไม่เหมาะสมกับสภาวะอากาศร้อนชื้นบ้างหรือไม่ 

พอเข้ามหาวิทยาลัย ที่ธรรมศาสตร์ ส่วนใหญ่ผมดำเนินชีวิตแบบ "3 ย" คือเสื้อยืด กางเกงยีนส์ รองเท้ายาง ไม่เคยมีชุดนักศึกษา เคยใส่กางเกงสีดำ เสื้อเชิ้ตขาว รองเท้าหนังไปเรียนอยู่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ไม่เคยมีเข็มขัดหัวตรามหาวิทยาลัย ชีวิตปลายเท้าผมดีขึ้นมาก ไม่เป็นเชื้อราอีกต่อไป และทำให้เพิ่งเข้าใจว่า ที่ผ่านมาเท้าตัวเองไม่ปกติ 

แต่มีวิชาหนึ่ง ผมใส่รองเท้าแตะ กางเกงยีนส์ เสื้อยืดเข้าไปเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ซึ่งก็เหมือนๆ กับไปเรียนวิชาอื่นๆ แต่ที่จริงผมตั้งใจจะไปเรียนวิชานี้มาก เพราะสนใจเนื้อหา แต่อาจารย์ไม่ค่อยเปิดสอน วันแรกเข้าไป เจออาจารย์ดุเอาว่า "เธอแต่งตัวแบบนี้แสดงว่าไม่เคารพอาจารย์และวิชานี้เลย" ผมไหว้อาจารย์ ไม่ได้ขอโทษแต่ร่ำลา แล้วหันหลังเดินออกจากห้อง ไปถอนวิชานั้นทันที 

(3) ข้ออ้างเรื่องความเหมาะสมกับเพศและวัย? ฟังไม่ขึ้น การบังคับให้นักเรียนหญิงนุ่งกระโปรงและสวมรองเท้าหนัง ซึ่งเป็นแบบของรองเท้าที่ใส่ไม่สบายเลย นับเป็นการกดขี่ทางเพศ เป็นการควบคุมการเคลื่อนไหวร่างกายของเด็กผู้หญิง แถมการนุ่งกระโปรงยังล่อแหลมต่อการล่วงละเมิดทางเพศได้มากกว่าการสวมกางเกง

เมื่อเร็วๆ นี้เห็น infographic ที่แชร์กันมากๆ ว่าประเทศไหนยังบังคับให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแต่งชุดนักศึกษาอยู่แล้วขัดใจ เนื่องจากรวมประเทศเวียดนามไว้กับไทยด้วย คนทำคงนั่งเทียนคิดเอาเองว่าเวียดนามคงบังคับเหมือนไทย แต่ที่จริงเวียดนามไม่ได้บังคับให้นักศึกษามหาวิทยาลัยแต่งชุดนักศึกษา ไม่มีชุดนิสิตนักศึกษาในเวียดนาม แม้แต่ชุดนักเรียนหญิงเวียดนามก็ยังเป็นกางเกงเลย ไม่บังคับให้ต้องนุ่งกระโปรง

(4) ข้ออ้างเรื่องไม่ให้ไขว้เขวไปแต่งตัวยั่วเพศ? ฟังไม่ขึ้น การแต่งกายเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออก เป็นการแสดงออกทางเรือนร่าง การแต่งกายแสดงความคิดเกี่ยวกับตัวเอง แสดงการให้ความหมายแก่ตัวเอง เป็นการสื่อสารทางสังคมและการปฏิสัมพันธ์กับสังคมที่อาศัยอยู่ ผู้แต่งกายทุกคนจึงต้องรู้จักตนเอง รู้จักเลือกที่จะบอกว่าฉันเป็นใคร เลือกที่จะสื่อสารกับสังคมที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่ได้เพื่อเรียกร้องความสนใจทางเพศเท่านั้น 
 
ตรงกันข้าม ดังที่เราก็เห็นๆ กันอยู่ว่า ปัจจุบันชุดนักเรียนชุดนักศึกษากลายเป็นวัตถุทางเพศ ยั่วยุกามารมณ์ได้ไม่แพ้บิกินี่เช่นกัน
 
หากปลดแอกจากการใส่ชุดนักเรียนนักศึกษา การแสดงออกย่อมหลากหลายกว่านี้ เหมือนการแต่งตัวของวัยรุ่นทั่วไปเมื่อเขาไม่ได้ไปโรงเรียนหรือไม่ได้เข้าห้องเรียน ไม่ใช่ว่าทุกคนอยากจะย่ัวสวาทกันตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าชุดรัดรูป แหว่งเว้าที่นั่นที่นี่จะยั่วยวนทุกคนได้เสมอไป และไม่ใช่ว่าการแสดงออกของวัยรุ่นจะต้องมุ่งกระตุ้นเร้าทางเพศกันตลอดเวลา
 
ที่สำคัญคือ การแสดงออกทางร่างกายเป็นด้านหนึ่งของการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะดูสร้างสรรค์หรือไม่ในสายตาผู้ใหญ่ก็ตาม การแต่งกายเป็นการบอกเล่าความคิด ความรู้สึก ความหมาย กระทั่งจิตวิญญาณของผู้สวมใส่ ไม่เช่นนั้นทำไมนักบวช ทหาร ข้าราชการ จึงไม่แต่งกายให้เหมือนไปกันหมดทั้งประเทศเล่า 
 
หากเด็กวันนี้ถูกปิดกั้นการแสดงออก ทำให้ไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้ว่าตนเองเป็นใคร ผ่านเรือนร่าง ผ่านการแต่งกายของพวกเขา แล้วเราจะคาดหวังให้เขาโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดต่อสิ่งต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไรเล่า จะให้พวกเขาสร้างสรรค์ความคิดความอ่านที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเองได้อย่างไร จะให้พวกเขากล้าแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ให้สังคมและประเทศชาติได้รับรู้ได้อย่างไร ถ้าแม้แต่กับร่างกายของเขาเองก็ยังไม่ให้พวกเขาคิดเห็น ไม่ให้พวกเขาแสดงออก

 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
ขอแสดงความคารวะจากใจจริงถึงความกล้าหาญจริงจังของพวกคุณ พวกคุณแสดงออกซึ่งโครงสร้างอารมณ์ของยุคสมัยอย่างจริงใจไม่เสแสร้ง อย่างที่แม่ของพวกคุณคนหนึ่งบอกกล่าวกับผมว่า "พวกเขาก็เป็นผลผลิตของสังคมในยุค 10 ปีที่ผ่านมานั่นแหละ" นั่นก็คือ พวกคุณได้สื่อถึงความห่วงใยต่ออนาคตของสังคมไทยที่พวกคุณนั่นแหละจะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อไปให้สังคมได้รับรู้แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปฏิกิริยาของสังคมต่อการกักขังนักศึกษา 14 คนได้ชี้ให้เห็นถึงการก้าวพ้นกำแพงความกลัวของประชาชน อะไรที่กระตุ้นให้ผู้คนเหล่านี้แสดงตัวอย่างฉับพลัน และการแสดงออกเหล่านี้มีนัยต่อสถานการณ์ขณะนี้อย่างไร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ในโลกนี้มีสังคมมากมายที่ไม่ได้นับว่าตนเองเป็นกลุ่มชนเดียวกัน และการแบ่งแยกความแตกต่างของกลุ่มคนนั้นก็ไม่ได้ทาบทับกันสนิทกับความเป็นประเทศชาติ ชาว Rohingya (ขอสงวนการเขียนด้วยอักษรโรมัน เพราะไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงตามภาษาพม่า) ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลุ่มคนที่ไม่ได้มีขอบเขตพื้นที่ที่อาศัยครอบครองอยู่ทาบกันสนิทกับขอบเขตพื้นที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ช่วงเวลาของการสัมภาษณ์นักศึกษาใหม่ในแต่ละปีถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผมจะใช้อัพเดทความเปลี่ยนแปลงของสังคมหรือทำความเข้าใจสังคม จากมุมมองและประสบการณ์ชีวิตสั้นๆ ของนักเรียนที่เพิ่งจบการศึกษามัธยม ปีที่ผ่านๆ มาผมและเพื่อนอาจารย์มักสนุกสนานกับการตรวจสอบสมมติฐานของแต่ละคนว่าด้วยประเด็นต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งทางการเมือง บางทีก็ตรงกับที่มีสมมติฐานไว้บ้าง บางทีก็พลาดไปบ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อวาน (31 พค. 58) ผมไปเป็นเพื่อนหลานสาววัย 13 ปี ที่ชวนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลการ์ตูนญี่ปุ่นที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท ผมเองสนับสนุนกิจกรรมเขียนการ์ตูนของหลานอยู่แล้ว และก็อยากรู้จักสังคมการ์ตูนของพวกเขา ก็เลยตอบรับคำชวน เดินทางขึ้นรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าไปกันอย่างกระตือรือล้น
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สนามบินที่ไหนๆ ก็ดูเหมือนๆ กันไปหมด อยู่ที่ว่าจะออกจากไหน ด้วยเรื่องราวอะไร หรือกำลังจะไปเผชิญอะไร ในความคาดหวังแบบไหน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"ปับ เจียน ความ เจ้า ปัว ฟ้า" แปลตามตัวอักษรได้ว่า "หนังสือ เล่า เรื่อง เจ้า กษัตริย์ (แห่ง)ฟ้า" ซึ่งก็คือไบเบิลนั่นเอง แต่แปลเป็นภาษาไทดำแล้วพิมพ์ด้วยอักษรไทดำ อักษรลาว และอักษรเวียดนาม เมื่ออ่านแล้วจะออกเสียงและใช้คำศัพท์ภาษาไทดำเป็นหลัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กรณีการออกเสียงชื่อชาว Rohingya ว่าจะออกเสียงอย่างไรดี ผมก็เห็นใจราชบัณฑิตนะครับ เพราะเขามีหน้าที่ต้องให้คำตอบหน่วยงานของรัฐ แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงให้ตายตัวเบ็ดเสร็จว่าควรจะออกเสียงอย่างไรกันแน่ ยิ่งอ้างว่าออกเสียงตามภาษาพม่ายิ่งไม่เห็นด้วย ตามเหตุผลดังนี้ครับ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันนี้ (7 พค. 58) ผมสอนวิชา "มานุษยวิทยาวัฒนธรรม" ที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเป็นวันสุดท้าย มีเรื่องน่ายินดีบางอย่างที่อยากบันทึกไว้ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
มันคงมีโครงสร้างอะไรบางอย่างที่ทำให้ "ร้านสะดวกซื้อ" เกิดขึ้นมาแทนที่ "ร้านขายของชำ" ได้ ผมลองนึกถึงร้านขายของชำสามสี่เมืองที่ผมเคยอาศัยอยู่ชั่วคราวบ้างถาวรบ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เมื่อปี 2553 เป็นปีครบรอบวันเกิด 80 ปี จิตร ภูมิศักดิ์ มีการจัดงานรำลึกใหญ่โตที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเอ่ยถึงจิตรทีไร ผมก็มักเปรยกับอาจารย์ประวัติศาสตร์จุฬาฯ ท่านหนึ่งว่า "น่าอิจฉาที่จุฬาฯ มีวิญญาณของความหนุ่ม-สาวผู้ชาญฉลาดและหล้าหาญอย่างจิตรอยู่ให้ระลึกถึงเสมอๆ" อาจารย์คณะอักษรฯ ที่ผมเคารพรักท่านนี้ก็มักย้อนบอกมาว่า "ธรรมศาสตร์ก็ต้องหาคนมาเชิดชูของตนเองบ้าง"
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วันที่ 30 เมษายน 2558 เป็นวันครบรอบ 40 ปี "ไซ่ง่อนแตก"Ž เดิมทีผมก็ใช้สำนวนนี้อยู่ แต่เมื่อศึกษาเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ก็กระอักกระอ่วนใจที่จะใช้สำนวนนี้ เพราะสำนวนนี้แฝงมุมมองต่อเวียดนามแบบหนึ่งเอาไว้