Skip to main content

ช่วงสั้นๆ ของชีวิตผมมีโอกาสได้รู้จักคนในแวดวงนักเขียนรูป ผ่านครูสอนวาดเส้นให้ผมคนหนึ่ง ครูผมคนนี้มีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาสนิทสนมกันดี ชื่อไสว วงษาพรหม เมื่อคืน ได้สนทนากับคนในแวดวงศิลปะ ที่เรือนชานแห่งหนึ่งที่มีไมตรีให้เพื่อนฝูงเสมอ ผมจึงเพิ่งทราบว่าไสวเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว ลอง google ดูพบว่าเขาเสียชีวิตเมื่อ 22 สิงหาคม 2551

ครั้งแรกที่เจอไสว ผมประทับใจมาก ผมคิดว่าไม่มีใครที่รู้จักไสวแล้วจะไม่พูดถึงทรงผมหัวฟูของเขา ที่ปกคลุมหน้าและจมูกแป้นๆ ของเขา ระหว่างนั้นเขายังมีสถานภาพนักศึกษาคณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร เขาทักผมด้วยภาษาถิ่นบ้านเกิดเขา พอผมตอบกลับ เขาบอกว่า "อ้าว! คนไทยหรอ? นึกว่าลาว" ผมยิ้มๆ งงๆ เพราะเพิ่งรู้ว่าคนอีสานเรียกคนบางกอกว่า "คนไทย"

ไสวเป็นคนน่าคบหา อัธยาศัยดี มีรอยยิ้มเสมอ ผมเจอไสวอีกไม่กี่ครั้ง แต่ก็เหมือนรู้จักกันมานาน อาจจะเพราะเขาเป็นคนใจดีกับทุกคน สมัยนั้นไสวเป็นศิลปินสีน้ำดาวรุ่งที่โด่งดังมาก เขาเล่าให้ผมฟังว่า พอเรียนถึงสักปีสอง ตามหลักสูตรเขาก็จะเรียนเขียนสีน้ำ ไสวบอกเขาชอบสีน้ำมาก และก็คิดว่าเขายังเรียนสีน้ำไม่จบสักที แม้ว่าหลักสูตรจะให้เรียนสั้นๆ แต่ไสวบอก "ก็เราคิดว่าเรายังเรียนสีน้ำไม่จบนี่นา จะให้ทิ้งสีน้ำขยับไปเขียนสีน้ำมันได้อย่างไร" 

ไสวก็เลยตระเวนหาวัตถุแห่งการแต้มสีน้ำของเขาไปเรื่อยๆ ทำอย่างนั้นจนกระทั่งได้เปิดงานแสดงเดี่ยว ยิ่งในยุคนั้นเป็นยุคฟองสบู่ ภาพเขียนสีน้ำไสวแม้บางชิ้นจะเล็กๆ ขนาดเท่ากระดาษ A4 เมื่อสักปี 2528-2530 ไสวก็ทำเงินได้ไม่ต่ำกว่าภาพละ 5,000-8,000 บาทแล้ว แสดงงานแต่ละครั้งไสวจึงได้เงินเป็นกอบเป็นกำมาก

ภาพเขียนสีน้ำของไสวบางมาก สมัยที่ผมรู้จักเขา เขาชอบเขียนทุ่งหญ้า ทุ่งข้าว ภูเขา บางทีเขาใช้สีสดๆ แต่ไสวแทบจะไม่เขียนสีทับกันเลย เขาใช้วิธีแทรกสีเข้าไปในแต่ละทีพู่กันอย่างไรไม่ทราบ ทำให้สีมันเหลื่อมๆ กันตลอด เขาเขียนแนวสีชุ่ม งานฉ่ำตาตลอดทั้งชิ้น ไม่เน้นให้เป็นรูปเป็นร่าง เลยทำให้งานเขาแลดูเหมือนอยู่ระหว่างงาน impressionist กับ abstract 

ผมไม่ได้เจอไสวอีกนาน จนกระทั่งเมื่อผมจบปริญญาตรีใหม่ๆ ไปทำงานบริษัทโฆษณา ช่วงนั้นไสวก็คงเหมือนศิลปินคนอื่นๆ ที่การเงินตกสะเก็ด ไสวรับงานเขียนภาพประกอบงานโฆษณาซึ่งเพื่อนเขาที่ทำงานในบริษัทเดียวกับผมติดต่อให้ ผมรับหน้าที่ติดตามงานของไสว ก็เลยได้เจอและคุยกับไสวอีก

มีวันหนึ่ง ผมนัดเจอเขาที่โรงอาหารเศรษฐฯ มธ. ท่าพระจันทร์ ไสวบอกว่า "เราชอบพวกธรรมศาสตร์ว่ะ" ผมถาม "ทำไมล่ะ" ไสวบอก "เราชอบมาอ่านงานเขียนตามกำแพงข่าว เราเรียนศิลปะ เขียนงานอะไรแบบนี้ไม่ได้ วิเคราะห์สังคมไม่เป็น ไม่ได้อ่านหนังสือแบบพวกนาย" ผมพูดตอบไปว่า "แต่เราก็เขียนรูปไม่ได้อย่างพวกนาย" 

เขายิ้มๆ แล้วเราก็คุยเรื่องงานศิลปะกัน สนทนาไปสักพักไสวก็เปรยขึ้นมาว่า "นายคุยเรื่องศิลปะได้เยอะมาก รู้เรื่องศิลปะดีพอสมควร นายน่าจะมาเป็นผู้จัดการให้เราว่ะ เราอยากได้ผู้จัดการคอยติดต่อโน่นนี่ ติดต่อแกลอรี่ ติดต่อสื่ออะไรให้" ผมยิ้ม บอก "ทำไม่เป็นหรอก"

เมื่อรู้ว่าเขาเสียชีวิตแล้ว ผมอึ้งพอสมควร ไม่ได้สนิทกับไสว ไม่ได้เจอเขาบ่อยนัก แต่เหมือนคนรู้จักกันมานาน ชีวิตผมเองก็คงเหมือนกับหลายๆ คน ที่เป็นผลมาจากส่วนผสมเล็กน้อยของคนหลายๆ คน หนึ่งในนั้นมีไสว วงษาพรมรวมอยู่ดัวย เมื่อคืนก็เลยดื่มอาลัยให้ไสว แล้วก็ขอเขียนคำอาลัยไสวสั้นๆ ไว้ตรงนี้

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
  ขอบอกว่า วันนี้นอยกับบูราวอย (Michael Burawoy) พอสมควร
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมติดตามละคร "แรงเงา" อย่างใกล้ชิด...จากที่เพื่อนๆ เล่ากันน่ะ ไม่ได้ดูเองหรอก (เพราะไม่มีทีวีดู ไม่ชอบดูทีวี และไม่ดูทีวีมาหลายปีแล้ว) แต่ก็เกิดสงสัยว่า "ทำไมไอ้ผอ.มันโง่งี้(วะ)" ถ้าจะตอบว่า "ผู้ชายหล่อก็เหมือนผู้หญิงสวยนั่นแหละ มันโง่" ก็คงจะดูโง่ไปหน่อย ก็เลยลองคิดต่อดูว่า หนึ่ง ที่จริงไม่ได้มีแต่ ผอ.ในละครแรงเงาโง่อยู่คนเดียวหรอก พระเอกละครไทยกี่เรื่องต่อกี่เรื่อง มันก็โง่แบบนี้กันทั้งนั้นแหละ ส่วนใหญ่เลยนะผมว่า 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ปิดเทอมนี้อดพานักอ่านตัวยงคนหนึ่งที่บ้านไปงานสัปดาห์หนังสือ เพราะเธอขาแพลง เจ็บถึงขั้นเข้าเฝือกและใช้ไม้เท้าเดิน เธอบอก "เอาไว้มีงานอีกครั้งลุงต้องพาหนูไปนะ" วันนี้ก็เลยขอเขียนอวยนักเขียนสักหน่อย (คนเราไม่ต้องคอยหาทางวิจารณ์ข้อด้อยคนอื่นกันทุกเมื่อเชื่อวันก็คงสามารถจรรโลงสังคม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาสี่วัน ถ้าจะให้บอกว่าประทับใจอะไรกับปราสาทหินบ้าง คงยากที่จะบอก เพราะวิ่งผ่านหินก้อนต่างๆ มากมายเสียจนไม่ทันได้หยุดคิดกับอะไรต่างๆ ดีที่ได้นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และนักมานุษยวิทยามากมายมาให้ความรู้ข้างๆ หูเวลาท่านถกเถียงกัน จึงพอจะเก็บเกี่ยวเชื่อมโยงอะไรมาได้บ้าง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ยุกติ มุกดาวิจิตร