Skip to main content

นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่อาชีพนักวิชาการเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาความคิดความอ่านตลอดเวลา นักวิชาการจึงไม่ควรมีขอบเขตของความคิดความอ่าน พร้อมๆ กับที่ไม่ควรปิดกั้นขอบเขตของความคิดคนอื่น 

ไม่ว่าสังคมจะชอบหรือไม่ชอบความคิดเห็นของนักวิชาการก็ตาม แต่หากความคิดทางวิชาการวางอยู่บนหลักเหตุผลและข้อมูลที่หนักแน่นโดยไม่ละเมิดกฎหมายแล้ว นักวิชาการก็เพียงทำตามหน้าที่ของตนเอง ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิชาการในสาขาวิชาไหน หากศึกษาสูงๆ ขึ้นไปจนถึงระดับอุดมศึกษา แล้วจบมาทำงานค้นคว้าวิจัย งานเขียน และงานสอนระดับอุดมศึกษา คุณก็จะต้องมีจริต มีวินัย และเข้าใจภาพสังคมวิชาการแบบเดียวกันนี้ทั้งสิ้น เว้นแต่ว่าคุณจะไม่ได้ผ่านระบบอุดมศึกษาแบบสากลตามที่โลกเขายอมรับกันในปัจจุบัน เว้นแต่ว่าคุณจะยกเลิกระบบมหาวิทยาลัยแบบสากลแล้วเรียนสอนกันแบบเดินตามครู ตามผู้ใหญ่ ก็จงย่ำเท้าอยู่กับที่กันไป 

ความจริงข้อนี้ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวกัน ผู้คนทั่วไปในสังคมที่มีใจเป็นธรรมเขาก็ย่อมจะเข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ในเมื่อในขณะนี้เราอยู่ในสภาพที่บ้านเมืองมีความคิดแปลกประหลาด สิ่งที่ควรเข้าใจกันง่ายๆ ก็กลับไม่เข้าใจ ก็คงต้องอธิบายกันบ้าง ว่าทำไมการทำงานวิชาการจึงต้องมีเสรีภาพ ลองจินตนาการถึงนักวิทยาศาสตร์สักคนหนึ่ง หากเขาเรียนในระดับต้น เขาแค่เข้าใจหลักการของวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วยการตั้งคำถามต่อสิ่งรอบตัว แล้วพยายามหาคำตอบจากการสังเกต หรือหากจำเป็นก็สร้างแบบการทดลองขึ้นมา เพื่อหาข้อสรุปทั่วไป หรือไม่ก็เพื่อพิสูจน์ว่าข้อเสนอที่เขามีอยู่ หรือข้อเสนอที่คนอื่นมีอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่ หากแต่เพียงเท่านี้เขาผู้นี้ก็ยังจะไม่ได้เป็นนักวิชาการ เพราะเขายังไม่ได้ค้นพบอะไรใหม่ หากเขาไม่คิดค้นวิธีที่จะเข้าใจอะไรใหม่ๆ เขาแค่รู้อะไรเท่าที่คนอื่นรู้ เขายังไม่ได้รู้อะไรที่คนอื่นยังไม่รู้  

ในทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ความใหม่ของผลงานวิจัยอยู่ตั้งแต่การค้นหาคำถามใหม่ๆ การค้นหาแนวทางการตอบคำถามเดิมด้วยคำตอบใหม่ๆ การค้นพบแหล่งข้อมูลใหม่ๆ หรือการตั้งคำถามใหม่เพื่อให้ได้คำตอบใหม่ๆ ความแปลกใหม่อาจจะวางอยู่บนฐานของความรู้เดิม หรืออาจเป็นความรู้ใหม่ถอดด้ามโดยสิ้นเชิง ซึ่งมักไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก เช่น นักประวัติศาสตร์อาจค้นพบหลักฐานใหม่ เพื่อทำความเข้าใจยุคสมัยที่เคยเข้าใจกันมาแบบหนึ่ง หรือนักประวัติศาสตร์บางคนเสนอมุมมองใหม่ต่อหลักฐานประวัติสาสตร์ชุดเดิม อันเนื่องมาจากการได้มุมมองแบบใหม่เปลี่ยนไปจากเดิม หรือส่วนนักสังคมวิทยาซึ่งมักทำงานวิจัยแบบนักวิทยาศาสตร์ เขาอาจตั้งข้อสมมุติฐานจากการค้นคว้าทางเอกสารและจากงานวิจัยของคนอื่น แล้วต้องการทดสอบดูว่าแนวทฤษฎีที่ศึกษากันมานั้นสามารถเข้าใจปรากฏการณ์ใหม่ที่เขาพบได้หรือไม่ หรือหากจำเป็นก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนทฤษฎีที่มีอยู่ เพื่อที่จะได้สามารถอธิบายปรากฏการณ์ใหม่ๆ 

คงไม่ต้องอธิบายนะครับว่าทำไมสังคมวิชาการจึงต้องการความใหม่ แต่ในเมื่อมีบางคนที่ยังอาจไม่เข้าใจก็จะขออธิบายสั้นๆ ว่า ที่สังคมวิชาการต้องการความใหม่ ก็เพราะสังคมวิชาการสากลแบบที่ชาวโลกเขาเป็นกันนั้นให้คุณค่ากับการขยายขอบเขตความรู้ออกไปเรื่อยๆ ความก้าวหน้าทางวิชาการวัดกันที่การเสนอข้อเสนอใหม่ๆ ในการทำงานวิชาการในระดับสูงไม่ว่าจะเป็นการทำวิทยานิพนธ์ หรือการทำงานวิจัย นักวิจัยจะตั้งคำถามวิจัยว่าอะไรก็ตาม แต่คำถามสำคัญที่สุดที่นักวิจัยจะต้องตอบให้ได้คือ งานที่จะทำนี้ให้อะไรใหม่ในแวดวงวิชาการของตนเองบ้าง การให้อะไรใหม่อาจเป็นการต่อยอดจากความรู้เดิมขึ้นไปอีกหน่อยก็ยังดี หรืออาจเป็นการค้นพบอะไรใหม่โดยสิ้นเชิงได้ก็ยิ่งดี 

ยกตัวอย่างเช่น ในวิชาการสายมานุษยวิทยาที่ผมคุ้นเคย นักมานุษยวิทยาอาจค้นพบสังคมใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครศึกษามาก่อน เช่น อาจารย์ผมท่านหนึ่งที่เลือกศึกษาตามแนวทางนี้ ท่านเปิดแผนที่หาเลยว่ามีสังคมไหนบ้างที่ยังไม่มีใครศึกษา แล้วก็มีจริงๆ ในหมู่เกาะแปซิฟิก เหนือประเทศออสเตรเลีย แต่นั่นคือเมื่อสัก 30 ปีที่แล้ว ปัจจุบันแทบจะไม่เหลือสังคมใหม่ๆ ให้ค้นพบอีกแล้ว ข้อดีของการพบสังคมใหม่ๆ ก็คือการได้พบว่า มีวิถีชีวิตมนุษย์ที่แตกต่างออกไปจากที่เราคุ้นเคยอีกมาก เพื่อเป็นทางเลือกให้มนุษย์ที่เคยคิดว่าเราจะต้องอยู่แบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น อย่างอาจารย์ผมคนนี้เธอสนใจเรื่องความสัมพันธ์ของผู้หญิงกับผู้ชาย สังคมที่เธอพบเป็นสังคมที่ฐานะของผู้หญิงทัดเทียมกับผู้ชายมาก เป็นการพิสูจน์ว่าสังคมที่แตกต่างจากตะวันตกที่ผู้หญิงมีสิทธิไม่เท่าผู้ชายนั้นมีอยู่จริง พูดง่ายๆ คือ ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเป็นช้างเท้าหลัง 

แต่บางทีนักมานุษยวิทยาบางคนอาจค้นพบแง่มุมใหม่ๆ ในสังคมที่เคยศึกษากันมาแล้ว เช่น มีการพบด้านของวัฒนธรรมผู้หญิง ในสังคมที่เคยมีนักมานุษยวิทยาชื่อดังศึกษามาก่อนแล้ว แต่เขากลับศึกษาเฉพาะด้านที่เป็นสังคมของผู้ชาย จะด้วยความไม่ระวังของเขาเองจึงทึกทักเอาว่าข้อมูลจากผู้ชายก็บอกเล่าความเป็นไปของสังคมได้ครบถ้วนแล้ว หรืออาจจะด้วยการละเลยผู้หญิงก็แล้วแต่ ข้อค้นพบนี้ดีหลายอย่าง หนึ่งคือเราจะได้เข้าใจสังคมนั้นมากขึ้น นอกจากนั้น ยังทำให้เราต้องระวังว่าสังคมที่เราศึกษายังมีด้านอื่นๆ ที่เราละเลยหรือไม่ หรืออย่างน้อยเราต้องเผื่อใจไว้ด้วยว่าผลงานวิจัยของเราไม่ได้สามารถอธิบายอะไรได้ทุกอย่าง ยังคงมีบางด้านบางมุมที่เราอธิบายไม่ได้หลงเหลืออยู่ รอให้คนอื่นหรือเราเองกลับไปศึกษาเพิ่มเติม ที่จริงยังมีวิธีอื่นๆ อีกที่จะค้นหาความใหม่เพื่อขยายความรู้ แต่แค่นี้คงพอให้เห็นภาพได้บ้างว่าทำไมนักวิชาการจึงต้องการความใหม่และความใหม่สำคัญต่องานวิชาการอย่างไร

 

ที่จะต้องย้ำคือ ความแปลกใหม่ที่สังคมวิชาการต้องการนี้ได้มาด้วยเสรีภาพทางวิชาการ หากไม่มีเสรีภาพทางวิชาการ เช่น ห้ามไปศึกษาสังคมอื่นๆ ศึกษาเฉพาะสังคมที่เราเชื่อกันว่าดีงามเป็นอุดมคติ อย่างที่เชื่อกันว่าสุโขทัยเป็นต้นแบบการเมืองการปกครองไทยที่ดีก็พอแล้ว นักวิชาการก็คงจะย่ำเท้าไปยังที่เดิมๆ ไม่ได้ต้องไปหาสังคมที่ไหนใหม่ๆ เพราะแค่ศึกษาสังคมที่เชื่อกันว่าเป็นสังคมในอุดมคติที่ไหนในอดีตสักแห่ง ยึดเป็นสรณะ แล้วเลิกค้นหาความจริงนอกเหนือจากสังคมนั้น อย่างนี้ไม่เรียกว่างานวิชาการ เพราะเป็นการจำกัดเสรีภาพในการค้นหาความจริง นอกจากนั้น หากไม่มีเสรีภาพทางวิชาการนักวิชาการก็จะวิจารณ์กันไม่ได้ ไม่มีอิสระในการแสดงความคิดความอ่าน จะท้าทายครูอย่างเป็นเหตุเป็นผลด้วยข้อมูลหลักฐานก็ไม่ได้ อย่างนี้ก็ไม่เป็นวิชาการ เพราะไม่สามารถตั้งคำถามใหม่ๆ หรือห้ามถามคำถามที่ครูไม่เคยถาม ที่ครูอาจตอบไม่ได้ อย่างนี้ก็จะไม่มีวันได้อะไรใหม่ๆ มีแต่การท่องบ่นตำราเดิมๆ ก็ไม่ต้องมีการทำงานวิชาการ เรียนตามครูก็พอแล้ว 

 

สังคมวิชาการจึงเป็นคนละเรื่องกันกับสังคมของการสั่งสอน สังคมวิชาการมีหลักการพื้นฐานสำหรับการสั่งสอน แต่ถึงที่สุดแล้ว สังคมวิชาการสอนให้คนคิดเอง สอนให้เป็นตัวของตัวเอง เพื่อจะได้สร้างสรรค์ ค้นหาความรู้ใหม่ๆ มาเพื่อสังคม ที่ใครจะมาสั่งให้นักวิชาการสอนว่านักการเมืองดีต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อะไรน่ะ แบบนั้นไม่ใช่เรียกการทำงานวิชาการ ท่านจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ แต่นักวิชาการมักเรียกการสอนแบบนั้นว่าการเทศนา สังคมวิชาการในปัจจุบันไม่ใช่สังคมเทศนา นักวิชาการที่ดีไม่ได้สอนให้ลูกศิษย์เชื่อ แต่สอนให้ลูกศิษย์คิดค้นอะไรใหม่ๆ ถึงที่สุดคิดอะไรที่เกินเลยไปจากครู จะล้มครูก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องล้มก็ได้ คิดต่อยอดจากครูก็ได้ หรือจะหาครูใหม่ไม่เดินตามครูเดิมก็ได้

ฉะนั้น การที่นักวิชาการหวงแหนเสรีภาพทางวิชาการก็เพราะเสรีภาพทางวิชาการคือหลักประกันอาชีพของพวกเขา หากนักวิชาการคนไหนไม่หวงแหนเสรีภาพทางวิชาการ เขาก็คงเป็นได้แค่ผู้ผลิตซ้ำความเชื่อเดิมๆ หรือไม่ก็กลายเป็นทาสของระบบ หรือไม่ก็คอยเกาะเกี่ยวผลประโยชน์จากการแอบอิงอยู่กับผู้เผด็จการ เพื่อกีดกันความเห็นทางวิชาการของคู่แข่งทางความคิดออกไป เพื่อให้มีแต่ความเห็นของตนเองเท่านั้นที่ถูกต้อง

คนประเภทนี้ไม่ควรถูกเรียกว่านักวิชาการ เพราะเป็นคนขี้ขลาดทางความคิด เกรงกลัวความเห็นที่แตกต่าง ไร้น้ำยาทางวิชาการ กระทั่งยอมเอาหน้าไปซุกใต้ปีกอำนาจเผด็จการทหาร เพื่อให้มีเพียงความเห็นของตนเท่านั้นที่จะได้แสดงออก

แต่ทว่า เสรีภาพทางวิชาการไม่ได้เป็นเพียงเสรีภาพในการประกอบการงานอาชีพของนักวิชาการ เสรีภาพทางวิชาการมีความหมายมากยิ่งกว่านั้น เสรีภาพทางวิชาการคือส่วนหนึ่งของเสรีภาพที่เป็นหลักประกันขั้นพื้นฐานของสังคมประชาธิปไตย นั่นคือเสรีภาพในการแสดงความเห็น และที่ใหญ่กว่านั้นคือเสรีภาพในการแสดงออก หากพิจารณาแบบกลับด้านกันว่า ถ้านักวิชาการในสังคมเราไม่มีเสรีภาพทางวิชาการแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับสังคม

ประการแรก สังคมจะสูญเสียข้อเท็จจริง ความรู้วางอยู่บนหลักเหตุผลในการวิเคราะห์และข้อเท็จจริง ความรู้อาจไม่ได้มีมุมมองเดียว ความรู้ที่ถูกนำเสนออาจไม่รอบด้าน นักวิชาการที่มีใจเป็นธรรมย่อมรู้ดีว่า ความจริงเท่าที่ตนค้นพบนั้นไม่ได้สมบูรณ์หนักแน่นเสียจนหาข้อผิดหามุมมองที่แตกต่างออกไปหรือหาข้อมูลที่แตกต่างกันไปมาหักล้าง หรืออย่างน้อยเสริมเติมให้สมบูรณ์ขึ้นไม่ได้ เพียงแต่ความจริงเท่าที่ค้นพบมาจากข้อจำกัดที่นักวิชาการทุกคนมี ไม่ว่าจะศาสตราจารย์หรือนักวิจัยฝึกหัด ล้วนมีข้อจำกัด หากสังคมปิดกั้นเสรีภาพทางวิชาการ สังคมนั้นก็จะมีโอกาสได้รับรู้ข้อเท็จจริงอย่างจำกัดไปด้วย เมื่อความรู้จำกัด การพัฒนาสังคมจะไปได้ดีได้อย่างไร

ประการต่อมา สูญเสียแนวทางการวิเคราะห์ นอกจากข้อเท็จจริงแล้ว ความรู้ยังต้องอาศัยกรอบการวิเคราะห์ข้อมูล ไม่มีความรู้ชุดไหนที่สรุปมาจากข้อมูลล้วนๆ ความรู้ข้อสรุปทุกข้อมาจากมุมมองแบบใดแบบหนึ่งเสมอ หากปิดกั้นแนวการวิเคราะห์บางอย่าง ก็จะทำให้ขาดแนวทางที่เป็นทางเลือกแก่การวิเคราะห์ โลกเราสมัยหนึ่งนั้น ซีกโลก ตะวันตกŽ เคยปิดกั้นความรู้แบบมาร์กซิสม์ (Marxism) และความรู้แบบ ตะวันออกŽ มาก่อน การปิดกั้นแนวการวิเคราะห์ความรู้ทำให้เราสูญเสียมุมมองในการวิเคราะห์ เช่น ความรู้แบบมาร์กซิสม์ที่สอนเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสังคม ความขัดแย้งในสังคม และการเข้าใจความเชื่อมโยงด้านต่างๆ ของมนุษย์ทั้งความเชื่อ สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ขณะที่แนววิเคราะห์สังคมศาสตร์อื่นๆ มักเน้นเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งของมนุษย์ นี่ทำให้เราต้องรอจนถึงทศวรรษที่ 1970s มหาวิทยาลัยในซีกโลกตะวันตกจึงจะสามารถศึกษาแนวคิดนี้ได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วแนวคิดนี้เกิดมาก่อนหน้าเกือบร้อยปีแล้ว

ประการที่สาม สูญเสียความเสมอภาค สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการคือสังคมที่มีความเสมอภาค เพราะการทำงานวิชาการไม่เห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมอะไร ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจารย์ตำแหน่งสูงส่ง มีประสบการณ์ยาวนานแค่ไหน มีไอคิวสูงปรี๊ดขนาดไหน เขาก็ไม่ได้มีอำนาจทางวิชาการสูงไปกว่านักวิชาการคนอื่นๆ ไม่แม้จะสูงไปกว่านักเรียนของเขา เพราะในห้องเรียน ในบริบททางวิชาการ เขาจะต้องยอมรับฟังคนอื่น เขาจะต้องยอมรับข้อคิดเห็นของนักเรียนที่ให้เหตุผลหรือข้อมูลโต้เถียงเขา สังคมที่มีหลักเสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นสังคมเปิด เปิดให้ความคิดเห็นไหลเวียนแลกเปลี่ยนกันได้ เปิดให้เกิดการถกเถียงกันอย่างเสมอหน้า ไม่ต้องยอมกันเพียงเพราะคู่ถกเถียงอาวุโสกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน หรือมีตำแหน่งใหญ่โตกว่า สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการยอมให้ใครก็ได้เป็นนักวิชาการ หากงานศึกษาของเขาวางอยู่บนเหตุผลและข้อมูลที่หนักแน่นน่ารับฟัง สังคมแบบนี้ไม่กีดกันการเรียนรู้ ไม่กีดกันการเข้าถึงความรู้ด้วยตนเอง ให้ความเสมอภาคกันบนพื้นฐานของการทำงานวิชาการ

ประการที่สี่ สูญเสียการตรวจสอบผู้มีอำนาจ สังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการจะยอมรับการที่นักวิชาการวิจารณ์ผู้มีอำนาจได้ ถือว่าเป็นอีกกลไกหนึ่งของการตรวจสอบผู้นำ และอันที่จริง เนื่องจากใครก็เป็นนักวิชาการได้หากว่าเขาใช้หลักการทางวิชาการในการวิเคราะห์แล้วจึงวิจารณ์ ดังนั้น ในสังคมที่มีเสรีภาพทางวิชาการ ประชาชนคนไหนก็สามารถใช้หลักวิชาการวิจารณ์ผู้นำได้ สังคมที่ไร้เสรีภาพทางวิชาการจึงไม่เปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบผู้นำได้ ช่องทางที่ประชาชนจะมีส่วนร่วมในการเมืองการปกครองจึงถูกปิดลงอย่างในประเทศไทยปัจจุบัน ยิ่งนักการเมืองถูกจำกัดบทบาท ยิ่งการเลือกตั้งอันเป็นช่องทางในการแสดงอำนาจตรวจสอบของประชาชนถูกปิดตาย ก็ยิ่งต้องเปิดให้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ไม่อย่างนั้นแล้วการใช้อำนาจก็จะยิ่งขาดการควบคุม ขาดการตรวจสอบ

ประการสุดท้าย ประชาชนในสังคมจะถูกผู้มีอำนาจละเมิดได้โดยง่ายมากยิ่งขึ้น สังคมที่ถูกผู้มีอำนาจปิดปากจะยิ่งเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจฉ้อฉล ไม่มีใครสามารถสะท้อนเสียงของผู้ที่ถูกละเมิดได้ ผู้คนที่ถูกอุ้มตัวสูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ก็ไม่สามารถรายงานได้ ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ การใช้อำนาจคุกคามประชาชน ไล่ประชาชนออกจากพื้นที่ทำกินที่เขาอาศัยอยู่ยาวนาน ก็ไม่สามารถสะท้อนได้ ไม่สามารถวิเคราะห์ในที่สาธารณะได้


การมีเสรีภาพทางวิชาการจึงไม่ใช่เป็นเพียงหลักประกันของการประกอบอาชีพนักวิชาการ หากแต่การมีเสรีภาพทางวิชาการยังหมายถึงการให้หลักประกันว่า ใครก็สามารถเป็นนักวิชาการได้ และใครก็ตามก็มีเสรีภาพในการแสดงออกเสรีภาพในการให้ความเห็นได้ สังคมแบบนั้นจึงเป็นสังคมเปิด เป็นสังคมที่ประชาชนมีอำนาจแสดงออกได้อย่างเสรีในขอบเขตของกฎหมายที่ชอบธรรม เสรีภาพทางวิชาการเป็นเสรีภาพของทั้งสังคม เสรีภาพทางวิชาการจึงสำคัญต่อสังคมทั้งสังคม ไม่ใช่เพียงเพื่อให้นักวิชาการสามารถแสดงความเห็นต่อสาธารณะได้เท่านั้น

นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่ความรู้ ข้อเสนอ มุมมองของนักวิชาการที่ทำงานอย่างตรงไปตรงมามักไม่ถูกใจผู้มีอำนาจ นักวิชาการไม่จำเป็นต้องท้าทายอำนาจ แต่ความรู้ทางวิชาการในตัวของมั่นเองนำมาซึ่งอำนาจอีกอย่างหนึ่งที่มีพลังท้าทายอำนาจจากแหล่งอื่น สังคมที่ให้เสรีภาพทางวิชาการจึงเป็นสังคมที่ผู้มีอำนาจเผด็จการไม่ชอบ เพราะสังคมแบบนั้นจะให้คุณค่ากับการขยายความรู้ ซึ่งต้องท้าทายอำนาจการครอบงำ ท้าทายการปิดกั้นความคิดอยู่เสมอไป

 

(ที่มา:มติชนรายวัน 13 ตุลาคม 2557)

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา