Skip to main content

การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากการสอนหนังสือในระดับโรงเรียนก็คงจะตรงที่ว่า ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนการสอนมาก่อน อาจจะมีการอบรมเรื่องการเรียนการสอนบ้าง มีการประเมินผลให้ผู้สอนพิจารณาปรับปรุงตนเองบ้าง มีการประเมินตนเองบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้ว ผู้สอนมีส่วนสร้างระบบการเรียนการสอนด้วยตนเอง

หากถามว่า แล้วผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยเรียนรู้การสอนมาจากไหน ผมว่าส่วนใหญ่เรียนรู้มาจากที่ตนเองเรียนมา เรียนรู้จากอาจารย์และระบบการจัดการเรียนการสอนที่แต่ละคนร่ำเรียนมา มากกว่านั้นก็อาจจะได้จากการแลกเปลี่ยนกับอาจารย์รุ่นพี่รุ่นน้อง ลองผิดลองถูกกันไปและเลือกแนวทางที่ถูกจริตของแต่ละคนกันไป

คนที่เริ่มสอนใหม่ๆ ให้ยืนหน้าชั้นสัก 1 ชั่วโมง ไม่กี่นาทีก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว อาจารย์ใหม่มักเตรียมตัวสอนมาก จนบางครั้งมากเกินไป เพราะกลัวว่าจะยืนปากแข็งอยู่หน้าชั้นเรียน หรือกลัวหมดเรื่องพูด อาจารย์เก่าๆ มักอาศัยความเก๋า ลากเอาประสบการณ์มากมายมาแปลงเป็นบทเรียนได้ไม่รู้จบ ยิ่งใครมีมุกตลกมาก ก็ยิ่งพาให้ชั้นเรียนดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่อาจารย์บางท่านก็ใช้บทบรรยายเข้มๆ ที่เรียกร้องการสอบของนักเรียน ในการประคองให้ชั้นเรียนเงียบกริบไปได้จนจบภาคการศึกษา

เมื่อต้นปีการศึกษาที่แมดิสัน มีอาจารย์ใหม่คนหนึ่ง เป็นชาวฝรั่งเศส เพิ่งจบมหาวิทยาลัยในอเมริกา มาสอนห้องเรียนขนาดใหญ่ สอนวันแรกก็เป็นข่าวดังไปทั่วมหาวิทยาลัยเพราะแกใช้สื่อการสอนออนไลน์ประกอบตลอดเวลา คือเนื่องจากเป็นห้องใหญ่ แกกลัวจะสื่อสารได้ไม่ทั่วถึง ก็เลยให้นักศึกษาส่งข้อความคำถามหรือข้อวิจารณ์ต่อประเด็นในห้องบรรยายใหญ่ ส่งผ่านโซเชียลมีเดียที่เปิดค้างไว้ตลอด แล้วให้ TA ในห้องคอยนำเสนอขึ้นจอใหญ่ไปพร้อมๆ กับการบรรยายเลย ห้องเรียนนี้กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งเมื่อจะจัดการสอบกลางภาคผ่านสื่อออนไลน์ สุดท้าย สื่อการสอนใหม่ เทคนิคใหม่ๆ นี้จะเปลี่ยนห้องเรียนไปอย่างไร ทั้งมหาวิทยาลัยกำลังรอผลกันอยู่

การสื่อสารในห้องเรียนเป็นปฏิกิริยาระหว่างนักเรียนกับผู้สอน บางครั้งก็เกิดการตีความที่ผิดพลาดระหว่างกันได้ โดยเฉพาะในห้องเรียนขนาดใหญ่ ในอดีตอันใกล้ที่ผ่านมา ห้องเรียนที่มหาวิทยาลัยวิสคอนซินเกิดประเด็นการดูถูกทางชาติพันธ์ุกันบ่อยๆ มีครั้งหนึ่ง นักศึกษาเดินออกจากห้องเรียนก่อนเวลา 2 นาที ขณะที่อาจารย์กำลังบรรยายเรื่องการละเมิดสิทธิที่ทำกินของชนพื้นเมืองอเมริกันโดยคนขาว อาจารย์พูดตามหลังนักศึกษา 2 คนนั้นว่า "นี่เป็นตัวอย่างของคนขาวที่งี่เง่าไม่ยอมเรียนรู้ปัญหาอะไร" หลังห้องเรียนนี้ มีอีเมลกระหน่ำถล่มผู้สอนอย่างหนัก เพราะปรากฏว่านักเรียน 2 คนนั้นต้องรีบออกไปเข้าห้องสอบอีกวิชาหนึ่งที่จะเริ่มใน 2 นาทีนั้น

เมื่อสอนๆ มาได้ครึ่งเทอม ก็เลยทำให้คิดถึงวิธีการสอนที่ผมมักใช้ ซึ่งก็ไม่สามารถสรุปมาเป็นข้อๆ ได้ง่ายๆ แต่แค่อยากรวบรวมหลักการบางอย่างที่ใช้ในห้องเรียนแบบสัมมนาว่าผมพยายามจัดการอย่างไร

1. การอธิบาย ไม่ให้มากเกินไป ไม่ให้น้อยเกินไป ผมยึดหลักว่า จะพยายามไม่อธิบายก่อนที่นักเรียนจะลองคิดเองก่อน ไม่อธิบายมากจนกระทั่งไม่มีช่องให้นักเรียนไม่ได้คิดเอง ไม่อธิบายน้อยกระทั่งนักเรียนไม่เข้าใจ ซึ่งก็ยากทั้งสองด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งโจทย์หรือตั้งประเด็นถกเถียงให้นำไปสู่การเข้าใจเนื้อหาที่ต้องการให้นักศึกษาเข้าใจ โดยไม่บอกก่อนว่าผลจากการคิดไปในเส้นทางนี้จะทำให้นำไปสู่ข้อสรุปอะไร แต่หลายต่อหลายครั้งก็ต้องยอมเฉลยบทเรียนให้นักศึกษาฟัง ก็คือแทรกการเล็คเชอร์เข้าไปนั่นแหละ เพราะบางทีก็เกรงว่าผู้เรียนจะไม่เข้าใจทั้งหมด

บางทีก็ยากเหมือนกันที่จะตัดสินว่า ผู้เรียนเข้าใจสิ่งที่เขาอ่านมาอย่างที่เขาพูดหรือแสดงสีหน้าหรือเปล่า ผมไม่เชื่อว่าการทำข้อสอบจะวัดผลการเรียนในระดับอุดมศึกษาได้ดี แต่เชื่อว่าหากผู้เรียนได้เรียนรู้จริงๆ แล้วจะใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วเอง แต่ในห้องเรียน บางครั้งก็วัดไม่ได้ว่าบทเรียนที่พยายามให้เขาเรียนรู้นั้น เขารู้แล้วหรือยัง ก่อนที่เขาจะสามารถไปทบทวนเองและค้นคว้าต่อเองได้ บางทีก็คิดว่าตนเองไว้ใจนักศึกษามากเกินไปจนกลัวว่าเขาได้บทเรียนไม่พอ

2. การตอบโต้กับการวิจารณ์ การเรียนในห้องเรียนสัมมนามักต้องอ่านเอกสารกันก่อนเข้ามาเรียน แล้วแลกเปลี่ยนความรู้กัน ที่น่าสนใจคือ นักเรียนแต่ละซีกโลกจะมีมุมมองต่อเอกสารที่ห้อ่านแตกต่างกัน ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นผลจากค่านิยมหรือระบบคุณค่าที่สังคมพวกเขาหล่อหลอมมาด้วย นักเรียนอเมริกันถูกสอนให้วิจารณ์งานเขียนจากมุมมองแบบเสรีนิยม และหลักความเสมอภาค เน้นหลักความสมเหตุสมผลและการใช้หลักฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยทั่วๆ ไปก็จะถือว่าไปด้วยกันได้กับการศึกษาสมัยใหม่ การวิจารณ์ก็จะไปกันได้อย่างสนุกมาก แต่ถึงที่สุดแล้ว เราจะทำอย่างไรผู้สอนจึงจะประคับประคองให้การวิจารณ์นั้นแหลมคมขึ้น พร้อมๆ กับทำให้นักเรียนได้บทเรียนจากเรื่องราวที่อ่านด้วย ไม่ใช่อ่านแบบจับผิดอย่างเดียว

แต่ส่วนนักเรียนจากเอเชียรวมทั้งนักเรียนไทยทั่วไป จะกลับมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง เพราะมักวิจารณ์จากค่านิยมอนุรักษ์นิยม บางครั้งใช้หลักศาสนา หลักศีลธรรม หรือบางทีก็ไปได้แค่ว่าข้อเขียนนี้อธิบายไม่ชัด เขียนภาษาไม่ดี แต่บอกไม่ได้ว่าไม่ชัดอย่างไร ไม่ดีอย่างไร ข้อยุ่งยากสำหรับผมคือ จะทำอย่างไรให้พวกเขายอมรับข้อเสนอแบบอื่นๆ ที่แตกต่างจากระบบคุณค่าที่เขามีอยู่ก่อนแล้ว ด้วยเหตุผลและหลักฐานแบบวิทยาศาสตร์ ด้วยวิธีคิด ด้วยมุมมอง แบบที่เขายังไม่คุ้นเคย โดยไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเรายัดเยียด  

3. การติชม ต้องรู้จักชื่นชมนักศึกษา ไม่ว่าจะในแง่ไหน แล้วติอย่างเป็นระบบ ข้อนี้นักศึกษาไทย หรือจากประสบการณ์การสอนชั้นเรียนนานาชาติ นักศึกษา "เอเชียน" รวมทั้งนักศึกษายุโรป จะเรียกร้องจากผู้สอนน้อยกว่านักศึกษาอเมริกัน ซึ่งผมว่าเป็นสิ่งที่ไม่เอื้อต่อการศึกษา เป็นการ "ตามใจ" เอาอกเอาใจผู้สอนจนเคยตัว ผู้เรียนต้องรู้จักเรียกร้องเอาจากผู้สอน ขณะเดียวกัน ผู้สอนก็ต้องอธิบายผู้เรียนได้อย่างชัดเจนว่าทำไมจึงให้คะแนนอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ว่าดี ดีอย่างไร ที่ว่าไม่ดี ไม่ดีอย่างไร

มีหลายครั้งที่ผมสอนนักศึกษาอเมริกันที่มาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง เขามักจะยอมรับไม่ได้ว่าทำไมผมถึงให้เกรดเขาต่ำกว่า A บางคนเขียนอีเมลมาถามอย่างยืดยาวแล้วตามมาคุยด้วยถึงห้องทำงาน บางคนให้อธิบายว่าทำไมสิ่งที่เขาตอบอย่างสมเหตุสมผลจึงทำให้ได้คะแนนน้อย หลายครั้งผมต้องตอบไปว่าก็เพราะในเมื่อเรียนวิชานี้แล้ว ก็ต้องได้รับบทเรียนบางอย่างที่ผมตั้งเป้าหมายและได้บอกไปแล้วแต่แรก ในเมื่อคำตอบอย่างสมเหตุสมผลของคุณมันไม่ได้แสดงว่าคุณได้เรียนสิ่งที่ผมสอน ก็ต้องบอกให้รู้ว่ายังไม่ใช่ ต้องปรับปรุงตัว

4. ระวังการละเมิด ทางเพศ เชื้อชาติ สัญชาติ ชาติพันธ์ุ สิ่งเหล่านี้ต้องระวังให้มากในคำพูด ในการอธิบาย บางครั้งคนพูดอาจหลุดการเหยียดหยามในเรื่องเหล่านี้จากคำพูดที่ไม่ระวังตัวอย่างการพูดล้อเลียนต่างๆ การตลกมักจะทำให้เผลอหลุดการเหยียดหยามต่างๆ ออกมาได้ บางทีนอกจากนักเรียนจะไม่ขำแล้วยังก่อปัญหาด้วย ต้องระวังปากระวังคำให้มาก

เมื่อเร็วๆ นี้ ผมเพิ่งรู้ว่าแม้แต่ "Black accent" ก็เป็นคำพูดดูหมิ่นไปได้หรือเป็นคำพูดที่มีความหมายลบไปได้ เพราะคำว่า accent กลายเป็นคำที่มีความหมายลบไปแล้ว เนื่องจากเป็นการสื่อว่า "ผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐาน" นักเรียนอเมริกันแก้ให้เป็นคำว่า "Black vernacular" แทน ส่วนนักเรียนคนหนึ่งใช้คำว่า "tribe" โดยไม่ได้ตั้งใจเหยียดหยามใคร แต่ก็ทำให้ต้องอภิปรายกันเกือบครึ่งชั่วโมงว่าทำไมปัจจุบันการใช้คำนี้จึงมีปัญหา คำนี้มีความหมายเชิงลำดับชั้นวิวัฒนาการ จึงแฝงอคติชาติพันธ์ุ แถมยังลดทอนความแตกต่างในสังคมเดียวกันลง ทำให้เข้าใจว่าทุกคนในสังคมเดียวกันนั้นเหมือนกันหมด

5. การยอมรับผิด เมื่อนักเรียนแย้งผู้สอนอย่างมีเหตุผล มีหลักฐานที่ชัดเจน ผู้สอนก็ต้องฟัง การใช้เหตุผลและหลักฐานของผู้สอนต้องชัดเจน ข้อนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ปกติมากๆ แต่เมื่อสวมหัวโขนเป็นผู้สอนแล้ว หลายคนลืมตัว คิดว่าจะพูดอะไรก็ได้ อย่างเมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมประทับใจมากที่นักเรียนอเมริกันคนหนึ่งถามผมหลังห้องเรียนเลิกว่า ตัวอย่างหนึ่งที่ผมเพิ่งพูดไปในชั้นนั้น ผมได้มาจากไหนมีหลักฐานอะไรหรืออ้างอิงใคร ผมตอบไม่ได้ชัดเจน ก็เลยต้องยอมรับว่ายังสรุปแบบนั้นไม่ได้ และก็ต้องระวังตัวให้มากขึ้นเมื่อจะพูดอะไร

แต่หลายคนก็หลีกเลี่ยงการตอบโต้ของนักเรียน ด้วยการจัดการเรียนการสอนแบบทางเดียว บรรยายอย่างเดียว ไม่ให้นักเรียนอ่านหนังสือ ข้อดีของการบรรยายอย่างเดียวในระบบมหาวิทยาลัยแบบไทยๆ คือ ผู้สอนได้ตำรามากมายเอาไว้ขอตำแหน่งทางวิชาการ นักเรียนได้เอกสารมาใช้ท่องสอบอย่างเป็นระบบ แต่นักเรียนจะไม่สามารถสร้างกระบวนการเรียนรู้ของตนเองได้ การสร้างสรรค์ของนักเรียนอาจไม่เป็นระบบเพราะไม่ได้ตอบโต้กับผู้สอนที่มีประสบการณ์การคิดการวิจัยมากกว่า

6. การประคองให้ห้องเรียนไปพร้อมๆ กัน ห้องเรียนหนึ่งห้องก็มักมีนักเรียนที่มีทักษะไม่เท่ากัน มีควารู้พื้นฐานที่แตกต่างกัน บางคนแสดงออกมาก ตรงประเด็นดี แต่บางทีก็จะล้ำคนอื่นมากไป ส่วนบางคนแสดงออก แต่ยังหลงประเด็นบ้าง ก็ต้องดึงกลับมา บางคนไม่กล้าแสดงออก อาจจะด้วยข้อจำกัดของการสื่อสาร ข้อจำกัดของลักษณะนิสัยขี้อาย ซึ่งไม่เหมาะกับการเรียนในระดับสูง และอาจด้วยไม่ค่อยได้ถูกฝึกให้ต้องกล้าแสดงความคิดเห็น แต่ถึงที่สุดแล้ว สิ่งที่ยากคือการประคองให้ทั้งห้องไปด้วยกัน

ในห้องเรียนขนาดใหญ่ มหาวิทยาลัยในอเมริกาอาศัยระบบผู้ช่วยสอน ในการจี้ผู้เรียนในห้องติวที่เล็กลง ในเมืองไทยก็มีความพยายามใช้ระบบนี้อยู่บ้าง แต่ในห้องเรียนสัมมนาขนาดเล็ก ที่ทุกคนอยู่ต่อหน้าต่อตากัน บางครั้งสิ่งที่ยากในการประคับประคองให้นักเรียนไปพร้อมๆ กันคือการให้ความสำคัญกับประเด็นแลกเปลี่ยนที่หลงทางไปบ้าง แล้วดึงกลับมาอยู่ในร่องรอยเดียวกัน อย่างที่ไม่ทำให้นักเรียนที่ตามไม่ทันหรือหลงทางรู้สึกแย่จนไม่กล้าแสดงออกอีก

การจัดการห้องเรียนในมหาวิทยาลัยฝรั่ง ก็ไม่ได้ยากหรือง่ายไปกว่าห้องเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไทย อยู่แต่ว่าผู้สอนจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจให้เป็นอย่างไรมากกว่า เพียงแต่ในเมืองไทยขณะนี้ มีปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้มากมาย มีการละเมิดเสรีภาพในการแลกเปลี่ยนความเห็นมากมาย ก็ปล่อยไปตามเวรตามกรรมก็แล้วกันครับ

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา