Skip to main content

บอกอีกครั้งสำหรับใครที่เพิ่งอ่านตอนนี้ ผมเขียนเรื่องนี้ต่อเนื่องกันมาชิ้นนี้เป็นชิ้นที่ 5 แล้ว ถ้าจะไม่อ่านชิ้นอื่นๆ (ซึ่งก็อาจชวนงงได้) ก็ขอให้กลับไปอ่านชิ้นแรก ที่วางกรอบการเขียนครั้งนี้เอาไว้แล้ว อีกข้อหนึ่ง ผมยินดีหากใครจะเพิ่มเติมรายละเอียด มุมมอง หรือประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป แต่ขอให้แสดงความเห็นแบบ "ช่วยกันคิด" หน่อยนะครับ

 
ก่อนเข้าเรื่อง บางคนอาจสงสัยว่าทำไมผมไม่เขียนเรื่องการประกันคุณภาพ ทำไมไม่เขียนถึงพวก TQF หรือ มคอ. อะไรพวกนั้น ที่ไม่เขียนเพราะเรื่องเหล่านั้นผมเขียนมามากแล้ว ถ้าใครรู้จักผมก็จะรู้ว่าผมและเพื่อนนักวิชาการมากมายทั้งสู้ทั้งทะเลาะกับเรื่องนี้มามากแล้ว แต่ก็ไม่เกิดผล ผมสรุปว่านั่นก็เพราะการบริหารการอุดมศึกษาเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมานี้เป็นการบริหารแบบ "แบ่งกันรวบอำนาจ" ระหว่าง สกอ. กับผู้บริหารมหาวิทยาลัย ส่วนคณาจารย์ บุคคลากร นักศึกษา พ่อแม่ผู้ปกครองน่ะ ก้มหน้าก้มตาทำงานและจ่ายเงินเลี้ยงระบบต่อไป 
 
ดูอย่างเรื่อง มคอ. นั่นปะไร ทุกวันนี้ 80-90% ของ มคอ. ที่กรอกๆ กันอยู่น่ะเถื่อนนะครับ (ยกเว้นสถาบันที่ขยันสร้างระบบประเมินของตนเองอย่างจุฬาฯ) ถ้าไม่เถื่อนก็ต้องมี มคอ. 1 ครับ ผมถามอาจารย์มหาวิทยาลัยสาขาสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์หน่อยครับว่า พวกท่านเคยเห็น มคอ. 1 ของสาขาวิชาท่านไหมครับ ไม่มีหรอก หัวไม่มี มีแต่หางเอาไว้รัดคอพวกท่านอยู่ทุกวันนี้แหละ เพราะอะไร แล้วจะมีไหม เอาไว้มีโอกาสเมื่อไหร่ค่อยเล่าก็แล้วกันครับ
 
กลับมาที่เรื่องที่ตั้งใจจะเขียนวันนี้ดีกว่า ในโลกวิชาการสากล ขอยกตัวอย่างสหรัฐอเมริกาอีก (หันมาทางนี้บ่อย เพราะเราอยากมีชื่อในลำดับมหาวิทยาลัยต้นๆ ไม่ใช่หรือ แล้วการประเมินพวกนั้นน่ะ ส่วนใหญ่ชื่ออันดับต้นๆ ก็มหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ ทั้งนั้น ถ้าไม่อยากให้อ้างสหรัฐฯ ก็เลิกสนใจการจัดอันดับพวกนั้นเสียสิ) การเริ่มงานในมหาวิทยาลัยวิจัยนั้น ถ้าได้งานที่มีตำแหน่งแน่นอน เขาเรียก tenure track คือเดินบนเส้นทางที่จะได้ "ครองตำแหน่ง" ก็จะได้ตำแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ หรือ ผศ. ทันที
 
เมื่อเริ่มเส้นทางแล้ว นอกจากงานสอนปีละสัก 3-4 วิชาและช่วยงานบริหารตามสมควรแล้ว ที่สำคัญคือต้องพิมพ์งาน ต้องพิมพ์บทความในวารสารชั้นนำระดับนานาชาติ 5-6 ชิ้นภายในระยะ 4-5 ปี หรือหากโชคดีได้พิมพ์หนังสือก็จะยิ่งได้เป็นรองศาสตราจารย์เร็ว เป็น รศ. เมื่อไหร่ก็คือได้ "ครองตำแหน่ง" นั้น เมื่อมีผลงานอีกระยะหนึ่ง โดยมากนับจากการพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง หรือพิมพ์บทความจำนวนหนึ่งที่ได้รับการประเมินค่าสูง ก็จะได้เป็นศาสตราจารย์เต็มภาคภูมิ
 
แต่ในประเทศไทย เส้นทางเป็นอย่างนี้ครับ เริ่มเข้าทำงานก็เป็นอาจารย์เฉยๆ หากจบปริญญาเอก หลังทำงาน 3 ปีจึงจะขอ ผศ. ได้ ต้องส่งบันทึกการสอน 1 วิชา ต้องมีงานวิจัย ต้องพิมพ์บทความวิชาการ เมื่อได้ ผศ. แล้ว ต้องทำงานอีก 3 ปีจึงขอ รศ. ได้ ผลงานคือ บันทึกการสอน 1 วิชา งานวิจัยใหม่ที่พิมพ์เผยแพร่ พิมพ์หนังสือหรือตำราหนึ่งเล่ม จากนั้นอีก 2 ปีจึงจะขอตำแหน่ง ศ. ได้ โดยต้องทำวิจัยใหม่แล้วพิมพ์ ต้องพิมพ์ตำราหรือหนังสืออีกเล่ม ที่เขาย้ำเสมอคือ งานเหล่านี้ห้ามเอาวิทยานิพนธ์มาทำนะครับ
 
นี่ผมสรุปเกณฑ์ง่ายๆ นะครับ มีรายละเอียดอื่นๆ อีก เช่น ต้องได้ผลการประเมินระดับเท่าไหร่ หากจะขอข้ามขั้น ก็มีเกณฑ์ต่างหากอีก อย่างที่บางคนทำผลงานสะสมไว้แล้วขอ ศ. ทีเดียวเลย ยังมีรายละเอียดอีกว่า อะไรคือตำรา อะไรคืองานวิจัย อะไรคือหนังสือ รายละเอียดพวกนี้หาเอกสารดาวน์โหลดมาอ่านได้ไม่ยากนะครับ เกณฑ์เหล่านี้โดยทั่วไปเหมือนกัน เพราะอยู่ใต้อำนาจของ สกอ. เหมือนกันทั้งสิ้น 
 
ใครจะกินอุดมการณ์บอกว่า ทำงานวิชาการไม่ได้หวังตำแหน่งทางวิชาการอะไรก็ตามสบายนะครับ ผมคนหนึ่งล่ะที่ไม่ใช่ ตำแหน่งทางวิชาการไม่ใช่เพียงมีบรรดาศักดิ์ติดข้างหน้าให้ยิ่งใหญ่อะไร แต่มันหมายถึงความมั่นคงในชีวิตทางกายภาพ แต่ละตำแหน่งมีค่าตำแหน่งตอบแทน และหากไม่ขอตำแหน่งทางวิชาการ ระดับเงินเดือนก็จะตัน ผมไม่ได้มีทรัพย์สมบัติอะไรติดตัวมากมายมายพอที่จะจะเก็บค่าเช่ากินไปได้ มีแต่แรงสมองเท่านั้นที่ขายกินอยู่ทุกวันนี้ อีกอย่าง ปัจจุบันระบบพนักงานจะยิ่งบีบให้อาจารย์ต้องขอตำแหน่งตามกำหนดเวลา 
 
ย้อนกลับไปดูเกณฑ์นะครับ ถ้าใครทำได้ตามนั้น หลังจบ ดร. แล้ว ก็ใช้เวลาเพียง 8 ปี ก็จะได้เป็นศาสตราจารย์ แต่ใครจะทำได้ครับ ทำงานอย่างไรกันครับ ทั้งทำวิจัยใหม่่ 3 งานวิจัย และพิมพ์หนังสือ 3-4 เล่ม พร้อมๆ กับสอนหนังสือปีละ 6-7 วิชา ภายใน 8 ปีใครจะทำได้ครับ นี่ยังไม่นับว่าแต่ละคนยังต้องช่วยทำงานบริหารกันบ้างอีก แม้จะไม่ถึงกับบ้าอำนาจอยากได้ตำแหน่งบริหารก็เถอะ สำหรับในสหรัฐอเมริกา ในสาขาทางสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ผมเห็นส่วนใหญ่เขาใช้เวลากันประมาณ 10 ปีทั้งนั้น เร็วกว่านี้แทบเป็นไปไม่ได้ แถมของเรายังยากกว่าเพราะต้องทำวิจัยใหม่เอี่ยมทุกๆ 2-3 ปี
 
ข้อสำคัญที่น่าสังเกตคือ ความแตกต่างกันระหว่างระบบของสหรัฐฯ กับระบบของไทยมีสองประการสำคัญคือ หนึ่ง ของไทยไม่ให้ความสำคัญกับการพิมพ์ผลงานในวารสารทางวิชาการ และสอง ของไทยไม่ให้นำเอาผลงานวิทยานิพนธ์มาต่อยอดเพื่อทำเป็นผลงานวิชาการ แต่ของสหรัฐฯ และผมว่าในอังกฤษและประเทศมหาอำนาจทางวิชาการอื่นๆ ก็เป็นอย่างนั้น เขาให้ความสำคัญกับการพิมพ์งานในวารสารและยินดีให้พัฒนางานจากวิทยานิพนธ์ไปเป็นหนังสือเล่มเพื่อใช้ขอผลงาน
 
แน่ล่ะที่คุณภาพวารสารทางวิชาการของไทยเทียบกันไม่ได้กับวารสารทางวิชาการในโลกสากล อย่างเช่นในโลกภาษาอังกฤษ แต่ถึงอย่างนั้น ถึงนักวิชาการไทยคนไหนจะพิมพ์บทความในวารสารวิชาการชั้นนำของโลกได้ ซึ่งยากเย็นมาก ต้องแก้กันไม่ต่ำกว่า 3 รอบ บางวารสารต้องเสียเงินเพื่อขอให้เขาอ่านประเมินให้ซึ่งก็อาจจะไม่ผ่าน แต่ก็ไม่ใช่ไม่เคยมีคนไทยได้พิมพ์งานระดับนั้นนะครับ มีอยู่บ่อยไป แต่ผลงานของเขาก็จะไร้ค่าในโลกวิชาการไทย ไม่สามารถนำมาขอตำแหน่ง รศ. หรือ ศ. ได้ จะใช้ขอ ผศ. ได้ก็แค่่ชิ้นเดียวพอ ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ยากขนาดนั้นด้วย 
 
แล้วอย่างนี้ใครจะอยากเขียนบทความพิมพ์ในวารสารล่ะครับ ยิ่งต้องบากบั่นอดทนเขียนภาษาอังกฤษ ต้องทนคำวิจารณ์โหดๆ จากนักวิชาการในโลกที่เราก็แทบจะไม่รู้จัก เพื่อจะได้ตีพิมพ์งานในวารสารวิชาการระดับโลกที่ชาวโลกเขาจะได้อ่านกัน ยิ่งไม่รู้จะทำไปทำไม เพราะไม่ได้ประโยชน์อะไรกับอนาคตทางวิชาการ แถมยังเปลืองตัวเปลืองเวลา เสียโอกาสที่จะไปผลิตงานวิจัยถูๆ ไถๆ เพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการแม้ไม่มีชาวโลกที่ไหนอ่านกันไม่ดีกว่าหรือ 
 
ส่วนงานวิทยานิพนธ์ เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมอาจารย์ที่จบจากต่างประเทศมาส่วนมากไม่พิมพ์วิทยานิพนธ์กัน ส่วนหนึ่งคงเพราะอายที่ผลงานไม่ดีพอ แต่ผมว่านั่นไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงหรอกครับ บางคนคิดว่า คงเพราะอาจารย์มีงานมาก ไม่มีเวลา อาจารย์ผมพร่ำถามตลอดว่า ทำไมไม่อยากพิมพ์งานล่ะ อาจารย์ในต่างประเทศก็ไม่เข้าใจว่า วิทยานิพนธ์ที่ทุ่มเททำกันแทบตาย ทำไมไม่พิมพ์ล่ะ ก็ลองกลับไปดูการประเมินขอตำแหน่งทางวิชาการสิครับ มันเหมือนกับโลกสากลเขาเสียเมื่อไหร่ล่ะ
 
วิทยานิพนธ์ ทั้งที่ทำในมหาวิทยาลัยไทยและทำในมหาวิทยาลัยต่างประทเทศจำนวนมากเป็นงานที่มีคุณภาพดีไม่ด้อยไปกว่างานวิจัยของอาจารย์ ลองคิดดูว่า หากนักศึกษามีความสามารถเป็นนักวิจัยที่ดี เขาจะได้เปรียบอาจารย์มากแค่ไหน เขาไม่ต้องสอน ไม่ต้องทำงานบริหาร ส่วนใหญ่ยังอายุน้อย มีภาระส่วนตัวน้อย ยังมีกำลังวังชาดี ทำงานหามรุ่งหามค่ำได้ เดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ส่วนมากบ้าบิ่นเพราะยังไม่มีห่วงมาก 
 
เมื่อเทียบกับงานวิจัยของอาจารย์ วิทยานินพธ์จึงมีโอกาสดีได้มากกว่า และหากวิทยานิพนธ์ได้รับการสานต่อ พัฒนาขึ้น เพิ่มงานวิจัย เพิ่มการวิเคราะห์ให้แหลมคม ขัดเกลาจากการไปลองเสนอเป็นบทความเวทีระดับชาติ ระดับนานาชาติ แบบที่มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ในโลกเขายอมรับกัน ผลงานวิชาการไทยจะดีขึ้นกว่านี้แน่นอน แล้วทำไมสังคมไทยไม่ลงทุนกับคนเหล่านี้ล่ะครับ ทำไมลงทุนกับคนชราแล้วสูญเสียเงินวิจัยไปโดยที่ไม่มีใครสามารถไปเก็บหนี้ได้ล่ะ ทำไมโลกวิชาการไทยไม่ยอมรับผลงานจากวิทยานิพนธ์ล่ะ
 
แต่ระบบวิชาการในประเทศนี้มันบ้าขนาดไหนผผมจะเล่าต่อ ใครที่ทำงานวิชาการอยู่ก็คงรู้อยู่แล้วว่า ทุกวันนี้ระบบประกันคุณภาพเรียกร้องอะไรบ้าง ตัวชี้วัดหนึ่งที่สำคัญคือการพิมพ์งานในวารสารที่ได้มีคะแนนสูงๆ คือวารสารอะไรล่ะ ก็ต้องวารสารนานาชาติใช่ไหมครับ วนกลับไปอ่านข้างบนสิครับ อาจารย์จะอยากทำไหมครับ แต่คณะถูกบีบและเรียกร้องอาจารย์ลงมาอีกทีตลอดนะครับ 
 
อีกตัวชี้วัดคือการถูกอ้างอิงในวารสารที่มีคะแนนสูงๆ ก็วารสารอะไรอีกล่ะครับ ต้องวารสารนานาชาติใช่ไหมครับ แล้วถ้าอาจารย์ไทยมุ่งพิมพ์หนังสือภาษาไทย พิมพ์ตำราภาษาไทย แล้วชาวโลกที่ไหนเขาจะมาอ่านกันล่ะครับ งานคุณต้องดีเด่นขนาดไหนกันเชียวที่ชาวโลกเขาจะมายอมแปลไปอ่านกันหรือยอมมาทนอ่านจากภาษาไทยกัน
 
บางมหาวิทยาลัยไทยมีเงินอัดฉีดให้นะครับ แต่จะพิมพ์งานระดับนานาชาติเพื่อมาบากหน้าให้กรรมการของมหาวิทยาลัยประเมินเพื่อขอเงินอัดฉีดไปทำไม่ล่ะครับ พิมพ์งานในวารสารนานาชาติดีๆ สักชิ้นน่ะ ใช้เวลาเป็นปีนะครับ สู้เอาเวลาไปทำวิจัยอะไรสักเรื่องแล้วพิมพ์ภาษาไทย แล้วซุกใต้ถุนตึกไว้ แล้วทำสำเนาส่งไปขอตำแหน่งทางวิชาการไม่ดีกว่าเหรอครับ นี่ไงครับ มันบ้าขนาดไหนระบบของไทยทุกวันนี้น่ะ
 
แต่บางมหาวิทยาลัยไทยก็ดูฉลาดแต่ก็เหมือนเอาเปรียบนักศึกษานะครับ ให้นักศึกษาส่งวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ แต่เมื่อแต่ละคนจบไปแล้วก็ไม่สามารถเขียนอะไรเป็นภาษาอังกฤษได้อีกเลย เพราะเรียนก็ใช้ภาษาไทย พอต้องส่งวิทยานิพนธ์ภาษาอังกฤษจะทำอย่างไร ก็จ้างคนแปลสิครับ ผมไม่โทษนักศึกษาหรอก แต่โทษความกลวงของโลกวิชาการไทยมากกว่า ตบตาเก่งกันจนติดอันดับมหาวิทยาลัยโลกหลักหลายร้อยก็ยังดีขอให้มีชื่อว่าติดก็พอ
 
การทำงานวิชาการในมหาวิทยาลัยก็ต้องหวังที่จะสร้างความรู้ใหม่ๆ เป็นหลัก หากแต่กระบวนการสร้างความรู้แบบไหนที่จะเอื้อให้เกิดการพัฒนาของความรู้ในสังคมไทยและสังคมโลก พร้อมๆ กับที่จะทำให้อาจารย์มีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย ระบบของการประเมินค่าทางวิชาการก็จะต้องเกื้อหนุนสอดคล้องกันไปไม่ใช่หรือ 

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา