Skip to main content

วันที่ 30 เมษายน 2558 เป็นวันครบรอบ 40 ปี "ไซ่ง่อนแตก"Ž เดิมทีผมก็ใช้สำนวนนี้อยู่ แต่เมื่อศึกษาเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ก็กระอักกระอ่วนใจที่จะใช้สำนวนนี้ เพราะสำนวนนี้แฝงมุมมองต่อเวียดนามแบบหนึ่งเอาไว้

วันที่ 30 เมษายน 2518 (ค.ศ.1975) เป็นวันสิ้นสุด "สงครามเวียดนาม" ก็จริง แต่นั่นยังไม่ใช่การสิ้นสุดของมรดก สงครามเวียดนามŽ และ สงครามเย็นŽ เพราะสงครามกับคอมมิวนิสต์อย่างน้อยในภูมิภาคนี้ก็ไม่ได้สิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิงหลัง สงครามเวียดนามŽ สิ้นสุดลง (ผมจงใจใช้อัญประกาศ "..."Ž กำกับชื่อสงครามต่างๆ ซึ่งหมายถึงสงครามเดียวกัน แต่รู้จักกันจากหลายมุมมองในชื่อต่างกัน) อย่างที่รู้กันคือ ในประเทศไทย สงครามกับคอมมิวนิสต์ยังคงดำเนินต่อมาจนทศวรรษ 2520 บางคนถือเอานโยบาย 66/23 เป็นหมุดหมายของการสิ้นสุด ส่วนใน สปป.ลาว "สงครามลับ" หลังสงครามเวียดนามยังคงดำเนินต่อเนื่องมาอีกหลายปี จนถึงยุค น้าชาติŽ หรือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ในทศวรรษ 2530 นั่นแหละจึงจางหายไป 

 

กลับไปที่คำถามว่า "สงครามเวียดนามŽ" เป็นสงครามระหว่างใครกับใครกันแน่ และ เราŽ อย่างน้อยคนไทยควรเข้าใจสถานะของสงครามนี้อย่างไร มี 2-3 เรื่องที่เป็นทั้งประสบการณ์ตรงที่กระอักกระอ่วนและจากการศึกษาประวัติศาสตร์และทำวิจัยในประเทศเวียดนามมาร่วม 20 ปี

สถานะของประเทศไทยใน "สงครามอินโดจีนครั้งที่สองŽ" (อีกชื่อหนึ่งของสงครามเวียดนาม) เป็นสถานะที่คนไทยแทบไม่ได้เรียนรู้ หรือรู้ก็รู้ในแบบที่สร้างความเกลียดชังประเทศและชาวเวียดนามต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ นึกย้อนกลับไปเมื่อสัก 30 กว่าปีก่อน หลายคนคงเคยได้ยิน urban folklore หรือ ตำนานชาวเมืองŽ ในประเทศไทยสมัยหนึ่งที่ว่า กินก๋วยเตี๋ยวญวนแล้วจู๋Ž คือจะทำให้อวัยวะเพศชายหดตัว ไม่สู้ หรือบางเวอร์ชั่นก็บอกว่ากุดไปเลย เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้ยินอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เพื่อนอาจารย์มหาวิทยาลัยไทยคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เคยมีเรื่องเล่าว่าสาวเวียดนามซ่อนใบมีดโกนไว้ในอวัยวะเพศ จินตนาการเอาเองก็แล้วกันว่าทำไมหนุ่มไทยจะต้องกลัวถ้าไม่คิดถึงความสัมพันธ์พิเศษอะไรกับสาวเวียดนาม 

ในทางตรงกันข้าม นิยายไทย ภาพยนตร์ไทย และเพลงลูกทุ่งไทย เช่น นิยายชุด ผู้กองยอดรักŽ หรือเพลง เสียงเรียกจากหนุ่มไทยŽ (น่าจะรวมทั้งละครโทรทัศน์ ฮอยอันฉันรักเธอŽ ที่เคยโด่งดังด้วย จนทำให้เมือง โห่ยอานŽ กลายเป็นหนึ่งในเมืองที่นักท่องเที่ยวไทยนิยมไปช่วงวันหยุดยาวมากที่สุดเมืองหนึ่งของเวียดนาม) ที่กล่าวถึงทหารไทยไปรบที่เวียดนาม กลับมักให้ภาพทหารไทยกลัวๆ กล้าๆ ไปรบกับเวียดนามแล้วได้สาวเวียดนามเป็นภรรยา แล้วสุดท้ายก็ทอดทิ้งกลับมา หรือไม่ก็สนุกกันชั่วครั้งชั่วคราวแล้วต้องพรากจากกันไป เรื่องราวความรักระหว่างทหารไทยกับสาวเวียดนามนี้ฟังดูแล้วเข้าทำนองโกโบริกับอังศุมาลิน เป็นภาพความรักโรแมนติกระหว่างคู่สงคราม 

น่าสังเกตว่า ในเนื้อเรื่องทำนองนี้ พระเอกจะเป็น ผู้รุกรานŽ ที่ชวนหลงใหล ส่วนนางเอกก็จะเป็น ผู้ถูกรุกรานŽ ที่สมยอมกับการถูกรุกราน เหมือนกับจะช่วยอธิบายสถานะการรุกรานและการยอมรับการรุกรานด้วยเพศสัมพันธ์ได้อย่างชวนฝัน

ภาพลักษณ์เวียดนามแบบนี้ช่างขัดกันกับตำนานชาวเมืองที่กล่าวถึงโรคจู๋และเครื่องเพศใบมีดโกนข้างต้น ผมเดาว่าตำนานข้างต้นที่ทำให้ เวียดนามŽ = สาวแสบŽ ไปถึงกระทั่งสร้างตำนาน การตอนรวมหมู่Ž เกิดขึ้นหลังจาก ไซ่ง่อนแตกŽ ขณะที่ตำนาน ความรักชวนฝันŽ ระหว่างทหารไทยกับสาวเวียดนามถูกสร้าง (น่าจะอย่างเป็นระบบ) ในยุคที่ไทยร่วมรบกับสหรัฐ ในสงครามระหว่างเวียดนามเหนือกับเวียดนามใต้ แต่ความหมายที่ตำนานทั้งสองยุคมีร่วมกันก็คือ ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามทั้งสองลักษณะเป็นภาพความสัมพันธ์ที่มีนัยทางเพศ ความสัมพันธ์ไทยกับเวียดนามในจินตนาการพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยเป็นเพศสัมพันธ์ที่ทั้งชวนหลงใหลและน่าหวาดระแวง แต่คำถามที่ตามมาอีกคำถามคือ แล้วคนเวียดนามล่ะ เขามองความสัมพันธ์ตนเองกับไทยในยุคสงครามอย่างไร

ในระหว่างที่เริ่มทำวิจัยในเวียดนามเมื่อเกือบ 15 ปีก่อน ผมเพิ่งเริ่มรู้ว่าคนเวียดนามเรียกสงครามเดียวกันนี้ว่า "สงครามอเมริกันŽ" เพราะ เขาŽ (คือคนเวียดนามส่วนหนึ่ง) ถือว่าเป็นสงครามที่สหรัฐอเมริกาเข้ามารบกับคนเวียดนาม แต่สงครามนี้ซับซ้อนมากกว่านั้น เพราะยังเป็น "สงครามกลางเมืองŽ" ระหว่างคนเวียดนามด้วยกันเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐ ดึงทหารเวียดนามเข้ามาร่วมรบในสงครามมากขึ้น จนกลายเป็นสงครามระหว่างทหารเวียดนามเหนือ (ที่คนไทยเรียกตามฝรั่งอเมริกันว่า เวียดกงŽ) กับทหารเวียดนามใต้

แต่นั่นก็ยังไม่ซับซ้อนพอ เพราะถ้าจะว่าไป ความสำเร็จŽ ของเวียดนามเหนือ หรือ ความล้มเหลวŽ ของเวียดนามใต้ เป็นความผิดพลาดของรัฐบาลเวียดนามใต้เองด้วย ตั้งแต่สมัยรัฐบาลโง ดิ่ง เสียบ (Ng™ô Đình Diệฺm ถ้าสำเนียงภาคใต้จะออกเสียงว่า โง ดิ่น เหยียบ) ที่ได้รับการสนับสนุนจากประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี ดำเนินนโยบายล้มเหลวในการปราบปรามและกดทับกำราบผู้คนที่เห็นต่างจากรัฐบาลมากมาย รวมทั้งกดขี่ชนกลุ่มน้อยในเขตที่สูงภาคใต้ และเหยียดศาสนาพุทธยกย่องโรมันคาทอลิกที่ตนนับถือจนชาวพุทธไม่พอใจ (มีเรื่องเล่าว่า ที่โง ดิ่ง เสียบได้รับแรงหนุนจาก JFK นั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะความเป็นชาวคาทอลิกเช่นเดียวกัน)

กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ความล้มเหลวของรัฐบาลเวียดนามใต้ที่มีอยู่ก่อนแล้วนั่นเองก็มีส่วนในการทำลายความมั่นคงของรัฐบาลเวียดนามใต้ และมีส่วนในการสร้างแนวร่วมของผู้ต่อต้านรัฐบาลในเวียดนามใต้ ให้คนเวียดนามใต้เองร่วมมือเปิดทางหรือเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับ สงครามปลดปล่อยŽ เวียดนามใต้ สหรัฐ และกองทัพเวียดนามใต้จึงล้มเหลวในการแยกแยะหมู่บ้านที่สนับสนุนรัฐบาลออกจากหมู่บ้านที่สนับสนุนเวียดนามเหนือ ก็เพราะพวกเขาก็คือคนในที่มีใจให้กับรัฐบาลเวียดนามเหนือนั่นเอง 

พวกเขาก็คือชาวเวียดนามใต้ที่ร่วมมือกับชาวเวียดนามเหนือรบกับทหารเวียดนามใต้ที่สหรัฐสนับสนุนนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม ที่ยิ่งซับซ้อนขึ้นไปอีกคือการเข้าร่วมสงครามนี้โดยชาติต่างๆ มากมายยิ่งกว่าเพียงสองชาติคือสหรัฐอเมริกากับเวียดนาม นี่ทำให้เมื่อศึกษาเกี่ยวกับสงครามในเวียดนาม ผมจึงถูกบังคับให้ต้องอ่านเอกสารทั้งจากสหรัฐอเมริกาเอง จากเวียดนาม จากฝรั่งเศส รวมทั้งจากออสเตรเลียที่ส่งทหารไปร่วมรบไม่น้อยเช่นกัน แต่ที่ยังขาดการศึกษาจริงจังคือ บทบาทของไทยในสงครามเวียดนามนี้ และทำให้บางคนเรียกสงครามนี้ว่า สงครามอินโอจีนครั้งที่สองŽ (ครั้งแรกคือสงครามระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามกับฝรั่งเศสสิ้นสุดปี 1954 ครั้งที่สามคือสงครามระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาและจีนปี 1979)

เมื่อราวๆ ปี 2547 มีครั้งหนึ่งที่ผมไปเดินอยู่ในหมู่บ้านในเวียดนามเหนือ ระหว่างที่กำลังจะเริ่มบทสนทนากับผู้เฒ่าคนหนึ่ง ท่านก็ถามผมว่า ทำไมประเทศเธอยอมให้สหรัฐอเมริกามาตั้งฐานทัพแล้วมาทิ้งระเบิดที่บ้านเราŽ ผมอึ้งไปชั่วขณะ แล้วตอบกลับไปว่า แต่ผมทำงานในมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งโดยผู้ที่ช่วยเหลือลุงโฮมาตลอดนะครับŽ ก็เลยพอจะปิดปากผู้เฒ่าคนนั้นไปได้บ้าง เพราะชาวเวียดนามพอจะรับรู้กันอยู่ว่าปรีดี พนมยงค์ มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเวียดนามในระหว่างยุคสงครามอินโดจีนครั้งแรก

และนี่ก็แสดงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามไปด้วยในตัว

คำกล่าวประเภทว่า คนเวียดนามทุกคนรักชาติŽ คนเวียดนามชาตินิยมŽ คนเวียดนามหวงแหนประเทศ ต่อสู้ปกป้องประเทศจากต่างชาติŽ จึงถูกเพียงส่วนเดียว เพราะต้องถามต่อไปว่า ใครเป็นคนพูดคำนั้น ไม่ใช่คนเวียดนามใต้ทุกคนจะไม่ยินดีกับ การบุกเข้ายึดไซ่ง่อนŽ ของทหารเวียดนามเหนือ และไม่ใช่ชาวเวียดนามเหนือทุกคนที่ยินดีกับ การปลดปล่อยเวียดนามใต้Ž ไม่ต่างกับการที่คนอเมริกันจำนวนมากที่ต่อต้านการที่ผู้นำประเทศ นำประเทศสหรัฐเข้าสู่สงครามเวียดนามและสงครามอื่นๆ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากคนอเมริกันจำนวนมากจนถึงทุกวันนี้ คนเวียดนามทุกฝ่ายทั้งสูญเสียและได้รับประโยชน์ ประเทศเวียดนามก็ไม่ต่างจากสังคมไหนๆ ที่ไม่ได้เรียบง่าย ไม่ได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวเสมอกันไปหมด 

สังคมไทยก็ควรเริ่มทำความเข้าใจความซับซ้อนของบทบาทตนเองต่อความสูญเสียของผู้คนและสังคมในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ถึงทุกวันนี้ แม้แต่ความซับซ้อนของความขัดแย้งในสังคมไทยเอง คนไทยยังไม่อยากเข้าใจเลย คงหวังที่จะให้เข้าใจความซับซ้อนของโลกรอบตัวได้ยากยิ่งเข้าไปอีก

ที่มา : มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 4 พ.ค. 2558 

========================================

หมายเหตุ: ขอบันทึกไว้ว่า

1. บทความชิ้นนี้ มติชนตัดข้อความสำคัญตอนหนึ่งออกจากต้นฉบับอีกครั้งหนึ่ง คือตอนที่ผมกล่าวถึงการเสด็จเยือนเวียดนามใต้ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันเมื่อปี 1959 ซึ่งนับเป็นการเสด็จเยือนต่างประเทศครั้งแรกในฐานะประมุขของพระองค์ 

2. ที่ไม่แน่ใจคือ มติชนพิมพ์อักษรเวียดนามในฉบับที่พิมพ์ลงกระดาษหรือเปล่า แต่ในฉบับออนไลน์มีความผิดพลาดเรื่องนี้ ต่อไปหากเขียนเรื่องเวียดนามลงมติชน ผมคงต้องเลี่ยงการใช้อักษรเวียดนาม ซึ่งก็เหมือนไม่ให้เกียรติเพื่อนบ้าน และยิ่งดูน่าอายหากคนศึกษาเวียดนามเขียนถึงเวียดนามแล้วไม่ใช้อักษรเวียดนามในการพิมพ์งาน

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
อันที่จริงผมก็นึกไม่ถึงว่าจะมีคนสนใจข่าวนี้กันมากนัก เรื่องอาจจะเป็นเพราะมีการใช้คำในการรายงานข่าวเบื้องต้นอย่างคลาดเคลื่อนไป ก็เลยทำให้เป็นที่น่าตกใจ แต่อีกนัยหนึ่งก็ชี้ให้เห็นปัญหาการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนจนกระทั่งเมื่อมีการแสดงการต่อต้านด้วยการปฏิเสธที่จะอยู่ใต้อำนาจกดทับนั้น คนก็จึงตอบรับกันอย่างกระหน่ำ อย่างไรก็ดี ผมก็อยากชี้แจงให้กระจ่างเพิ่มเติมว่า ทำไมผมจึงเลือกที่จะแสดงสถานภาพในการเดินทางมาต่างประเทศของผมในครั้งนี้เพิ่มเติมผ่านข้อเขียนนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เพิ่งผ่านมาเพียง 5 เดือนอาจจะยังเร็วเกินไปที่จะถามว่า หลังรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 แล้วขบวนการประชาชนจะเป็นอย่างไรต่อไป แต่หากมองย้อนกลับไป แล้วมองไปข้างหน้าอีกสักหน่อย ก็น่าจะลองคิดถกเถียงกันบ้างว่า ขบวนการประชาชนน่าจะไปทางไหนต่อไป
ยุกติ มุกดาวิจิตร
TED รายการบรรยายสาธารณะที่มีชื่อเสียงและผมก็ติดตามเรียนรู้มาสม่ำเสมอ ได้เผยแพร่คลิปบรรยายของคีท เชน นักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอข้อถกเถียงว่า ภาษามีความเชื่อมโยงกับการออมตั้งแต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ผมเพิ่งได้ยินเกี่ยวกับการศึกษานี้มาตั้งแต่ต้นภาคการศึกษานี้ในชั้นเรียนวิชามานุษยวิทยาภาษา ที่นักศึกษาคนหนึ่งเอ่ยถึงการศึกษานี้ และเพิ่งได้ดูด้วยตัวเองเมื่อ 3-4 วันก่อนนี้เอง เห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยนำไปให้นักศึกษาดูและถกเถียงกันในชั้น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การอัตวินิบาตกรรมของคุณนวมทอง ไพรวัลย์ทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง นัยหนึ่งถือว่าเป็นการประท้วงต่อการรัฐประหาร อีกนัยหนึ่งถือเป็นการยืนยันความจริงจังและบริสุทธิ์ใจต่ออุดมการณ์ อีกนัยหนึ่งอาจปลุกเร้าสำนึกของผู้ร่วมอุดมการณ์ หรืออีกนัยหนึ่งก็เกรงว่าจะเป็นความสูญเสียที่สูญเปล่า
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยแตกต่างจากการสอนหนังสือในระดับโรงเรียนก็คงจะตรงที่ว่า ผู้สอนในระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้เรียนการสอนมาก่อน อาจจะมีการอบรมเรื่องการเรียนการสอนบ้าง มีการประเมินผลให้ผู้สอนพิจารณาปรับปรุงตนเองบ้าง มีการประเมินตนเองบ้าง แต่ถึงที่สุดแล้ว ผู้สอนมีส่วนสร้างระบบการเรียนการสอนด้วยตนเอง
ยุกติ มุกดาวิจิตร
"อาร์บอรีทั่ม" (Arboretum) เป็นสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ร่วม 3 พันไร่ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน สวนนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ในบริเวณที่ตั้งมหาวิทยาลัย แต่ก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก หากขยันเดิน สักชั่วโมงหนึ่งก็ถึง ถีบจักรยานไปก็สัก 20 นาที อาจเร็วกว่าขับรถที่ต้องเจอกับป้ายหยุด ทางแยก ไฟสัญญาณ กว่าจะถึงก็สัก 30 นาที
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการมิได้มีสถานภาพพิเศษแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในสังคม เพียงแต่อาชีพนักวิชาการเป็นอาชีพที่ต้องพัฒนาความคิดความอ่านตลอดเวลา นักวิชาการจึงไม่ควรมีขอบเขตของความคิดความอ่าน พร้อมๆ กับที่ไม่ควรปิดกั้นขอบเขตของความคิดคนอื่น 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
กว่า 3 เดือนที่ผ่านมาผมไปชมการแสดงดนตรีไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ นึกเสียดายที่เมื่อ 10 กว่าปีก่อนที่มาเรียนไม่ค่อยมีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้เลย เมื่อวานนี้ (ตามเวลาที่อเมริกา) ผมก็เพิ่งออกจากห้องแสดงดนตรีมา จนทำให้ผมคิดขึ้นมาได้ว่า นี่ผมอยู่ในโลกไหนกัน แล้วทำไมที่ที่ผมอยู่เป็นปกติเขาถึงไม่ทำสถาบันการศึกษาให้เป็นสถานที่บ่มเพาะความเจริญของจิตใจได้อย่างนี้บ้าง 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เดอร์ แรธสเคลเลอร์เป็นบาร์เบียร์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-แมดิสัน ตั้งอยู่ในตึกกิจกรรมนักศึกษา (ที่นี่เรียกว่า Memorial Union) ตึกกิจฯ นี้ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1928 โน่นเลย บาร์เบียร์แห่งนี้ก็น่าจะอายุไม่น้อยไปกว่าตึกที่มันอาศัยอยู่เท่าใดนัก
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สัปดาห์ที่ผ่านมาผมเข้าร่วมกิจกรรมสังคมวิชาการซ้ำซ้อนกันหลายงาน ตั้งแต่บรรยายเรื่องการทำวิจัยในเวียดนามให้นักศึกษาบัณฑิตศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฟัง ต่อด้วยปาร์ตี้ประจำปีของศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาของมหา'ลัยวิสคอนซิน ซึ่งเป็นงานแบบ potluck party และก็ฟองดูปาร์ตี้เล็กๆ ที่บ้านอาจารย์ท่านหนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าขนมปังจุ่มชีสต้มเดือด ทั้งหมดนั้นได้อะไรสนุกๆ มามากมาย
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผ่านมาได้ 3 สัปดาห์ วิชาที่ผมสอนที่วิสคอนซินเริ่มสนุกขึ้นเรื่อยๆ ในห้องมีนักเรียน 10 คน ขนาดพอๆ กับที่เคยสอนที่ธรรมศาสตร์ แต่ที่ต่างคือในห้องเดียวกันนี้มีทั้งนักเรียนปริญญาตรี โท และเอกเรียนร่วมกัน เพียงแต่ข้อกำหนดของงานและความคาดหวังจากนักเรียนระดับ ป.ตรีกับ ป.โท-เอก ย่อมแตกต่างกัน
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ท่านถามอย่างนี้กับสื่อมวลชน ต่อหน้าสาธารณชน ใครเขาจะกล้าตอบ ก็ในเมื่อท่านมีปืนอยู่ในมือ ใครเอาปืนจี้หัวท่านไว้แล้วท่านจะตอบความในใจที่ขัดความรู้สึกเขาได้ไหมล่ะ เรื่องแค่นี้น่าจะเข้าใจนะ