Skip to main content

เมื่อวาน (31 พค. 58) ผมไปเป็นเพื่อนหลานสาววัย 13 ปี ที่ชวนให้ไปเที่ยวงานเทศกาลการ์ตูนญี่ปุ่นที่โรงแรมแห่งหนึ่งแถวถนนสุขุมวิท ผมเองสนับสนุนกิจกรรมเขียนการ์ตูนของหลานอยู่แล้ว และก็อยากรู้จักสังคมการ์ตูนของพวกเขา ก็เลยตอบรับคำชวน เดินทางขึ้นรถเมล์ ต่อรถไฟฟ้าไปกันอย่างกระตือรือล้น

คนรุ่นผมน่าจะเป็นรุ่นแรกๆ ที่อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นในประเทศไทย คนก่อนรุ่นผมในประเทศไทยอาจจะยังไม่มีการ์ตูนให้อ่านดาดดื่นแบบที่เราเห็นกันในปัจจุบันเลยด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่การ์ตูนญี่ปุ่นเลย อุตสาหกรรมการ์ตูนทั้งอเมริกัน ญี่ปุ่น และไทย ก็น่าจะเริ่มที่มีคนรุ่นผมเป็นผู้บริโภคหลักนี่แหละ ในประเทศไทย การ์ตูนไม่ว่าจะสัญชาติอะไรก็ตามจึงมีภาพความเป็นเด็ก หรืออย่างน้อยก็เด็กกว่าคนรุ่นพ่อแม่ผมอยู่เสมอ พวกเขาจะไม่มีทางเข้าใจความเติบโตตามวัยของคนอ่านการ์ตูนได้เลย 

ถ้าบอกไปก็จะเป็นการฟ้องอายุเสียเปล่าๆ ว่าการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผมอ่านเมื่อเริ่มเข้าสู่ทีนเอจน่ะ รุ่นแรกๆ เลยคือ "แคนดี้" แต่เนื่องจากการ์ตูนญี่ปุ่นราคาแพง ผมกับพี่สาวก็จะหาทางหารายได้พิเศษด้วยการเอาของจากแถวบ้านไปขายเพื่อนที่โรงเรียน เอากำไรนิดหน่อย แล้วเก็บเงินไปซื้อการ์ตูนมาแบ่งกันอ่าน พี่สาวผมเป็นคนคิดวิธีหารายได้แบบนี้ เธอหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กๆ เราก็เลยได้อ่านแคนดี้กันแทบจะทุกเล่มตั้งแต่เมื่อหนังสือแต่ละตอนแปลวางแผงเลยทีเดียว 

นอกจากการ์ตูนญี่ปุ่น ผมก็ชอบอ่านการ์ตูนไทยเหมือนกัน "การ์ตูนเล่มละบาท" ที่เป็นการ์ตูนช่องแบบไทยๆ ลายเส้นและเรื่องเล่าแบบไทยๆ อย่างผลงานของ "เตรียม ชาชุมพร" นับเป็นแหล่งบันเทิงอันยิ่งใหญ่อ่านซ้ำไปซ้ำมาได้ไม่รู้เบื่อ หรือไม่อาจเบื่อได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อยามฤดูร้อนที่ต้องไปอาศัยอยู่กับยายในเขตชนบทของอยุธยา ซึ่งห่างไกลจากตัวเมืองมาก จะได้การ์ตูนสักเล่ม สองเล่ม ก็จะต้องรอว่าเมื่อไหร่พวกน้าๆ จะมาเยี่ยมแล้วพานั่งเรือหางยาวเข้าเมือง ผมก็เลยให้คุณค่ากับการพาหลานไปงานการ์ตูนด้วยเหตุนี้เช่นกัน 

ย้อนกลับมางานเมื่อวาน ผมกับหลานที่มีเพื่อนจากโรงเรียนเธอติดไปด้วยอีหนึ่งคน ไปถึงงานตั้งแต่เช้า คนยังมาไม่มาก ก็จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้มาร่วมงานมากหน่อย ผมตื่นเต้นมากที่ได้พบว่า นี่มันเป็นงานนักเขียนการ์ตูนอินดี้รุ่นเยาว์เลยทีเดียว หากดูจากอายุแล้ว คนที่ผลิตการ์ตูนแล้วนำการ์ตูนมาขายเองในงานนี้ อย่างมากน่าจะอายุไม่เกิน 25 ปี ที่เด็กสุดอาจจะสัก 14-15 ปี ทั้งหมดเป็นเด็กไทย นักเขียนรุ่นเยาว์เหล่านี้เล่าว่า ปีนี้ไม่รู้เป็นอะไร งานแบบนี้จัดถี่มาก แทบจะเดือนละครั้ง พวกเขาก็คอยเอาผลงานไปขายตามงานเหล่านี้แหละ 

ภาพโต๊ะเล็กๆ เด็กวัยรุ่น ทั้งหญิงและชาย 2-5 คนนั่งเบียดเสียดกันหน้าหนังสือ รูปภาพ สมุด ที่พวกเขาผลิตกันขึ้นมาเองแล้วมาวางขายกัน รวมทั้งหมดได้สักเกือบร้อยแผง นับเป็นภาพตื่นตาตื่นใจผมเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเป็นตัวของตัวเอง เป็นคนตัวเล็กๆ ที่หน้าตาและจิตใจสดใส แต่มีความซับซ้อนทั้งในวิธีคิดและจินตนาการ อย่างน้อยก็ในแบบที่เขาเข้าใจสิ่งต่างๆ แล้วกลั่นกรองมันออกมาเป็นถ้อยคำ ภาพเขียน สีสัน เส้นสาย ทำให้ผมคิดว่า สังคมการ์ตูนสมัยนี้ช่างห่างไกลจากสังคมการ์ตูนสมัยผมมากนัก สมัยก่อนผมก็ได้แต่การ์ตูนเก็บไว้อ่านคนเดียว หรือไม่ก็ให้เพื่อนดูไม่กี่คน 

นักเขียนการ์ตูนรุ่นเยาว์เหล่านี้ พวกเขาส่วนหนึ่งรู้จักกันและกันผ่านโลกออนไลน์ เช่น มีนักเขียนการ์ตูนเจ้าหนึ่ง หลังงานเริ่มได้เพียง 2 ชั่วโมง ทั้งๆ ที่คนมางานยังไม่มาก คือน้อยกว่าคนที่เอาผลงานมาขายเสียอีก แต่ผลงานของเจ้านี้หมดแล้ว หลานผมรีบไปหาซื้อสมุดสเก็ตช์ภาพว่างๆ มีเพียงปกที่มีรูปลายเส้นของเขาพิมพ์อยู่ได้มาเป็นเล่มสุดท้ายพอดี เจ้าของผลงานจึงวาดการ์ตูนลายเส้นสดๆ ให้พร้อมแจกลายเซ็น ทำเอาหลานผมปลื้มไปเลย เธอบอกว่ารู้กันดีว่านักเขียนการ์ตูนรายนี้มีชื่อเสียง หลานผมเองเธอก็ชอบวาดการ์ตูนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ฝีมือใช้ได้พอสมควรทีเดียว แต่เธอหลงใหลลายเส้นของนักเขียนรายนี้มาก 

ผมได้คุยกับการ์ตูนนิสต์รุ่นเยาว์หลายคน มีเจ้าหนึ่ง นั่งกันอยู่ 5-6 คน พวกเขาจริงจังกับการเขียนนวนิยาย แล้ววาดภาพประกอบ แต่เขาคิดลูกเล่นส่วนตัวของสำนักพิมพ์เขาเองคือ การใช้ QR Code ติดแทนพิมพ์เป็นภาพประกอบลงไปในหนังสือนิยายแฟนตาซีพิมพ์กระดาษของพวกเขา แล้ว QR Code จะโยงผู้อ่านไปสู่ภาพประกอบที่ฝากไว้ในโลกออนไลน์ พวกเขาอธิบายว่าการทำภาพประกอบนิยายแบบนี้ช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าถึงภาพที่สวยงามกว่าภาพขาวดำ แล้วยังสามารถนำภาพไปพิมพ์ออกมาใช้ได้หากผู้อ่านชอบ พวกเขาอ้างว่าเป็นเจ้าแรกๆ ที่ใช้เทคนิคนี้ในการทำภาพประกอบนิยายแฟนตาซี 

ผมได้คุยกับอีกเจ้าหนึ่ง เป็นนักเขียนมังงะหรือการ์ตูนช่อง เธอมีผลงานหลายเล่มทีเดียว มักเลือกเขียนเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์หญิง-ชาย หรือบางเรื่องก็หญิง-หญิง พอผมเอื้อมมือไปหยิบเล่มหนึ่งที่หนาหน่อย แถมวางไว้หลายเล่ม แสดงว่าคงคาดว่าจะขายดี นักเขียนการ์ตูนตกใจใหญ่ เธอบอกว่า "อันนั้นเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิงค่ะ" ผมก็บอก "อ้าว ไม่รู้ครับ เห็นเล่มหนาๆ แค่อยากดู" แต่ผมดูก็ไม่รู้เรื่องอยู่ดี เพราะเดี๋ยวนี้เขานิยมทำให้เปิดแบบหนังสือญี่ปุ่น เลยกลายเป็นว่าผมเปิดจากหลังมาหน้า ดูไม่รู้เรื่อง 

อีกคนที่น่าสนใจมานั่งขายอยู่คนเดียว หลานผมสนใจเข้าไปดูด้วย ก็เลยลองคุยกับเธอดู รายนี้เล่าว่าเธอเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เรียนวรรณกรรมเยาวชน ชอบเขียนเรื่องและภาพประกอบวรรณกรรมเยาวชน หนังสือเธอน่าสนใจที่ เธอวาดรูปและเล่าเรื่องในแนวหนังสือนิทานเด็กอายุไม่เกิน 5-6 ขวบ คือใช้ตัวหนังสือน้อย ขนาดตัวใหญ่ๆ แล้วมีรูปมากหน่อยเต็มหน้ากระดาษ ขนาดหนังสือก็ใหญ่หน่อย แต่รูปและเรื่องเป็นเรื่องแฟนตาซีแต่แฝงแนวคิดเชิงปรัชญา 

อีกกลุ่มหนึ่งที่ผมได้สนทนาด้วยนิดหน่อยคือนักวาดการ์ตูนในอีกห้องหนึ่ง พวกเขาและเธอ (ส่วนใหญ่ผู้หญิง) มานั่งวาด "ภาพเหมือน" แนวการ์ตูนญี่ปุ่น ตามสไตล์ของแต่ละคน ที่นั่งกันอยู่มีร่วม 50 คน แต่ละคนแสดงผลงานตนเอง เพื่อให้ผู้มาในงานได้สั่งภาพ ราคาก็ไม่แพง ถ้าเฉพาะลายเส้นก็ราวๆ 20 บาท ถ้าลงสีน้อยหน่อยก็ 50 บาท มากหน่อยก็อาจจะเป็น 100 -120 บาท แล้วแต่ขนาดของภาพด้วย แต่ส่วนมากก็ขนาดโปสการ์ดเล็กๆ หลานผมก็ร่วมมนุกด้วย เธอถ่ายภาพตัวเองลงโทรศัพท์มือถือของการ์ตูนนิสต์ 3 เจ้าด้วยกัน พอแต่ละเจ้าวาดเสร็จ เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันก็เป็นคนละสไตล์จริงๆ ชวนให้เพลิดเพลินดี 

นักเขียนการ์ตูนเหล่านี้ส่วนมากเรียนมาทางศิลปะ จึงมีทักษะในการเขียนภาพค่อนข้างดี แถมพวกเขายังมีสไตล์ขของตัวเอง มีคนหนึ่งที่ผมชอบเลยเข้าไปคุยด้วย เป็นหนุ่มเรียนสถาปัตย์ ชอบวาดรูปโมโนโครม ลายเส้นแบบสถาปัตย์ คือมีการตัดขอบเส้นคมๆ ด้วยปากกา แต่อีกสไตล์ที่ผมชอบคือ เขาชอบวาดแนวพู่กันจีน เขาใช้พู่กันสมัยใหม่ที่บีบสีออกมาจากด้ามเลย แล้ววาดรูปลงน้ำหนักตามความจางหรือเข้มของนำ้หมึก แต่คงไม่มีใครชอบสไตล์เขานัก ผิดกับนักเขียนภาพผู้หญิง ที่วาดรูปกุ๊กกิ๊กน่ารัก บางคนลงสีแก้มการ์ตูนแดงเรื่อย แบบเดียวกับที่เธอแต่งหน้าตัวเอง สไตล์สีสันและลายเส้นหวานๆ ถูกจริตกับชาวการ์ตูนในงานนี้ที่มีเด็กผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เจ้าหนุ่มที่ผมชอบงานเขาก็เลยยังไม่มีคนจ้าง 

ก่อนจะกลับ ช่วงบ่ายต้นๆ คนเยอะขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาคนแต่ง "คอสเพล" เริ่มเดินกันขวั่กไขว่ ที่จริงหลานผมก็ขนชุดไปแต่งคอสเพลในงานเหมือนกัน แต่เป็นคอสเพลบ้านๆ เธอใส่ไม่นานแล้วถอดเสียก่อน ไม่ใช่เพราะอายหรอก แต่เพราะอยากถ่ายรูปให้นักเขียนการ์ตูนวาดมากกว่า  

งานนี้ทั้งงานเปิดหูเปิดตาผมมาก ไม่นึกมาก่อนเลยว่าสังคมของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งในบ้านเราพัฒนามาได้ถึงเพียงนี้ พวกเขามีโลกของตัวเอง มีแวดวงของตัวเอง มีความคิดความใฝ่ฝันของพวกเขาเอง เห็นเด็กกลุ่มนี้แล้วผมว่าโลกมีความหวังอย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่ว่าพวกเขาจะเข้าใจโลกกว้างอย่างไร อย่างน้อยตัวหนังสือ ความคิด จิตนาการ เส้นสาย และสีสัน คงจะขัดเกลาให้พวกเขาเป็นคนที่มีคุณภาพและรู้จักรักเพื่อนมนุษย์มากยิ่งกว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่พวกเขา และเผ็นพื้นฐานไปสู่การเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง เป็นระบบ ต่อไปได้อีกมาก

บล็อกของ ยุกติ มุกดาวิจิตร

ยุกติ มุกดาวิจิตร
เกียวโตไม่ใช่เมืองที่ผมไม่เคยมา ผมมาเกียวโตน่าจะสัก 5 ครั้งแล้วได้ มาแต่ละครั้งอย่างน้อย ๆ ก็ 7 วัน บางครั้ง 10 วันบ้าง หรือ 14 วัน ครั้งก่อน ๆ นั้นมาสัมมนา 2 วันบ้าง 5 วันบ้าง หรือแค่ 3 ชั่วโมงบ้าง แต่คราวนี้ได้ทุนมาเขียนงานวิจัย จึงเรียกได้ว่ามา "อยู่" เกียวโตจริง ๆ สักที แม้จะช่วงสั้นเพียง 6 เดือนก็ตาม เมื่ออยู่มาได้หนึ่งเดือนแล้ว ก็อยากบันทึกอะไรไว้สักเล็กน้อยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นักวิชาการญี่ปุ่นที่ผมรู้จักมากสัก 10 กว่าปีมีจำนวนมากพอสมควร ผมแบ่งเป็นสองประเภทคือ พวกที่จบเอกจากอังกฤษ สหรัฐอเมริกา กับพวกที่จบเอกในญี่ปุ่น แต่ทั้งสองพวก ส่วนใหญ่เป็นทั้งนักดื่มและ foody คือเป็นนักสรรหาของกิน หนึ่งในนั้นมีนักมานุษยวิทยาช่างกินที่ผมรู้จักที่มหาวิทยาลัยเกียวโตคนหนึ่ง ค่อนข้างจะรุ่นใหญ่เป็นศาสตราจารย์แล้ว
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สองวันก่อนเห็นสถาบันวิจัยชื่อดังแห่งหนึ่งในประเทศไทยนำการเปรียบเทียบสัดส่วนทุนวิจัยอย่างหยาบ ๆ ของหน่วยงานด้านการวิจัยที่ทรงอำนาจแต่ไม่แน่ใจว่าทรงความรู้กี่มากน้อยของไทย มาเผยแพร่ด้วยข้อสรุปว่า ประเทศกำลังพัฒนาเขาไม่ทุ่มเทลงทุนกับการวิจัยพื้นฐานมากกว่าการวิจัยประยุกต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งควรส่งเสริมการทำวิจัยแบบที่สามารถนำไปต่อยอดทำเงินได้ให้มากที่สุด
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ต้นปีนี้ (ปี 2559) ผมมาอ่านเขียนงานวิจัยที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมมาถึงเมื่อวานนี้เอง (4 มกราคม 2559) เอาไว้จะเล่าให้ฟังว่ามาทำอะไร มาได้อย่างไร ทำไมต้องมาถึงที่นี่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
นับวัน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะยิ่งตกต่ำและน่าอับอายลงไปทุกที ล่าสุดจากถ้อยแถลงของฝ่ายการนักศึกษาฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อันถือได้ว่าเป็นการแสดงท่าทีของคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยต่อการแสดงออกของนักศึกษาในกรณี "คณะส่องทุจริตราชภักดิ์" ที่มีทั้งนักศึกษาปัจจุบันและศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมอยู่ด้วย ผมมีทัศนะต่อถ้อยแถลงดังกล่าวดังนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
สำหรับการศึกษาระดับสูง ผมคิดว่านักศึกษาควรจะต้องใช้ความคิดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างเป็นระบบ เป็นชุดความคิดที่ใหญ่กว่าเพียงการตอบคำถามบางคำถาม สิ่งที่ควรสอนมากกว่าเนื้อหาความรู้ที่มีอยู่แล้วคือสอนให้รู้จักประกอบสร้างความรู้ให้เป็นงานเขียนของตนเอง ยิ่งในระดับปริญญาโทและเอกทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ถึงที่สุดแล้วนักศึกษาจะต้องเขียนบทความวิชาการหรือตัวเล่มวิทยานิพนธ์ หากไม่เร่งฝึกเขียนอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีทางเขียนงานใหญ่ ๆ ให้สำเร็จด้วยตนเองได้ในที่สุด 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ผมไม่เห็นด้วยกับการเซ็นเซอร์ ไม่เห็นด้วยกับการห้ามฉายหนังแน่ๆ แต่อยากทำความเข้าใจว่า ตกลงพระในหนังไทยคือใคร แล้วทำไมรัฐ ซึ่งในปัจจุบันยิ่งอยู่ในภาวะกะลาภิวัตน์ อนุรักษนิยมสุดขั้ว จึงต้องห้ามฉายหนังเรื่องนี้
ยุกติ มุกดาวิจิตร
ใน บทสัมภาษณ์นี้ (ดูคลิปในยูทูป) มาร์แชล ซาห์ลินส์ (Marshall Sahlins) นักมานุษยวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยชิคาโกให้สัมภาษณ์ต่อหน้าที่ประชุม ซาห์สินส์เป็นนักมานุษยวิทยาอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งที่แวดวงมานุษยวิทยายังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน เขาเชี่ยวชาญสังคมในหมู่เกาะแปซิฟิค ทั้งเมลานีเชียนและโพลีนีเชียน ในบทสัมภาษณ์นี้ เขาอายุ 83 ปีแล้ว (ปีนี้เขาอายุ 84 ปี) แต่เขาก็ยังตอบคำถามได้อย่างแคล่วคล่อง ฉะฉาน และมีความจำดีเยี่ยม
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การรับน้องจัดได้ว่าเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง เป็นพิธีกรรมที่วางอยู่บนอุดมการณ์และผลิตซ้ำคุณค่าบางอย่าง เนื่องจากสังคมหนึ่งไม่ได้จำเป็นต้องมีระบบคุณค่าเพียงแบบเดียว สังคมสมัยใหม่มีวัฒนธรรมหลายๆ อย่างที่ทั้งเปลี่ยนแปลงไปและขัดแย้งแตกต่างกัน ดังนั้นคนในสังคมจึงไม่จำเป็นต้องยอมรับการรับน้องเหมือนกันหมด หากจะประเมินค่าการรับน้อง ก็ต้องถามว่า คุณค่าหรืออุดมการณ์ที่การรับน้องส่งเสริมนั้นเหมาะสมกับระบบการศึกษาแบบไหนกัน เหมาะสมกับสังคมแบบไหนกัน เราเองอยากอยู่ในสังคมแบบไหน แล้วการรับน้องสอดคล้องกับสังคมแบบที่เราอยากอยู่นั้นหรือไม่ 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
การได้อ่านงานทั้งสามชิ้นในโครงการวิจัยเรื่อง “ภูมิทัศน์ทางปัญญาแห่งประชาคมอาเซียน” ปัญญาชนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (และที่จริงได้อ่านอีกชิ้นหนึ่งของโครงการนี้คืองานศึกษาปัญญาชนของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนามคนสำคัญอีกคนหนึ่ง คือเจื่อง จิง โดยอ.มรกตวงศ์ ภูมิพลับ) ก็ทำให้เข้าใจและมีประเด็นที่ชวนให้คิดเกี่ยวกับเรื่องปัญญาชนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ผมคงจะไม่วิจารณ์บทความทั้งสามชิ้นนี้ในรายละเอียด แต่อยากจะตั้งคำถามเพิ่มเติมบางอย่าง และอยากจะลองคิดต่อในบริบทที่กว้างออกไปซึ่งอาจจะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กับผู้วิจัยและผู้ฟังก็สุดแล้วแต่
ยุกติ มุกดาวิจิตร
เชอร์รี ออร์ตเนอร์ นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเนปาล แต่ภายหลังกลับมาศึกษาสังคมตนเอง พบว่าชนชั้นกลางอเมริกันมักมองลูกหลานตนเองดุจเดียวกับที่พวกเขามองชนชั้นแรงงาน คือมองว่าลูกหลานตนเองขี้เกียจ ไม่รู้จักรับผิดชอบตนเอง แล้วพวกเขาก็กังวลว่าหากลูกหลานตนเองไม่ปรับตัวให้เหมือนพ่อแม่แล้ว เมื่อเติบโตขึ้นก็จะกลายเป็นผู้ใช้แรงงานเข้าสักวันหนึ่ง (ดู Sherry Ortner "Reading America: Preliminary Notes on Class and Culture" (1991)) 
ยุกติ มุกดาวิจิตร
วานนี้ (23 กค. 58) ผมไปนั่งฟัง "ห้องเรียนสาธารณะเพื่อประชาธิปไตยใหม่ครั้งที่ 2 : การมีส่วนร่วมและสิทธิชุมชน" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวันด้วยความกระตืนรือล้น นี่นับเป็นงานเดียวที่ถึงเลือดถึงเนื้อมากที่สุดในบรรดางานสัมมนา 4-5 ครั้งที่ผมเข้าร่วมเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา เพราะนี่ไม่ใช่เพียงการเล่นกายกรรมทางปัญญาหรือการเพิ่มพูนความรู้เพียงในรั้วมหาวิทยาลัย แต่เป็นการรับรู้ถึงปัญหาผู้เดือดร้อนจากปากของพวกเขาเองอย่างตรงไปตรงมา