Dog

กล้วยปิ้งในหัวใจ

19 October, 2007 - 01:02 -- moon

แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ”

เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”

ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท

“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)

คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง ราดน้ำจิ้มเหนียวๆ แล้วใส่ไม้แหลมๆ ให้หนึ่งไม้
“สี่ลูกเอง แพงจัง” ฉันรำพึงกับตัวเอง แต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย คนขายเลยขมวดคิ้วใส่
“ราคานี้มาตั้งนานแล้วพี่”
“ค่ะ ค่ะ ขอโทษที ไม่ค่อยได้มาแถวนี้” ฉันอยากยิ้มให้เธอ แต่ก็รีบหันหลังออกจากแผงกล้วยด้วยความเกรงใจคนขาย กลัวเธอเข้าใจรอยยิ้มของฉันผิด

จุดหมายอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สองป้ายรถเมล์ แต่ฉันกำลังอยากชิมกล้วยปิ้งคนกรุง เลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ จะได้เดินไปกินไปอย่างสบายอารมณ์

มาตรฐานความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับฉัน กล้วยปิ้งนั้นฝาดไปหน่อย แถมน้ำจิ้มยังหวานแสบไส้ นึกถึงสีหน้าไร้อารมณ์ของคนขายแล้วเห็นใจเธอ ได้ยินว่า ธุรกิจกล้วยปิ้งปัจจุบันนี้มีการทำแฟรนไชส์แล้ว แสดงว่าคนไทยยังไม่เบื่อกล้วยปิ้ง แต่ทำไมหนอ เธอถึงมีหน้าตาเบื่อลูกค้าขนาดนั้น

แล้วฉันก็คิดถึงรอยยิ้มของยาย

ยายนั่งอยู่ในเพิงสังกะสีหน้าห้องแถวเก่าๆ ริมถนนในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน ตอนที่ฉันยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเพิงของยายเกือบทุกวัน

ยายจะมานั่งปิ้งกล้วยขายตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นวันที่ยายปวดเมื่อยจนลุกไม่ขึ้น แต่ทุกวันที่ยายมาขาย ยายจะมียิ้มแจ่มใสมาด้วยเสมอ เหลียวมองทีไร เห็นยายยิ้มทุกที จนฉันอยากจะคิดว่ายายยิ้มให้รถทุกคันที่ผ่านหน้ายายไป

รอยยิ้มนั้นเองที่ดึงดูดให้ฉันจอดรถซื้อกล้วยปิ้ง
“หนู้...” ยายจะขึ้นต้นแบบนี้ทุกครั้ง “ไปไหน้มาจ๊า กินกล้วยปิ้งของยายไหม้ อร่อยนาจ๊ะ”

เสียงเหน่อๆ ของยายทำให้ฉันต้องยิ้ม ยายก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นพูดด้วยสำเนียงจังหวัดไหน เพราะวัยกว่าแปดสิบของยายนั้น ย้ายตามลูกชายมาหลายจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ปี ทั้งอุตรดิตถ์ จันทบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา

“อู๊ย มันหลายแห่งเหลือเกิ๊น ย้ายจนยายเวียนหั้ว หนู้เอ๊ย ....”

เริ่มคุ้นหน้ากัน ยายก็ถามฉันว่า “หนู้ ค้ายอะไรหรือจ๊ะ” แกชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ที่ฉันมัดไว้ท้ายรถ ฉันจึงอธิบายว่าไม่ได้ขาย ของที่เต็มตะกร้าเกือบทุกวันนั้นคือกับข้าวหมา

ยายฟังเรื่องบ้านสี่ขาแล้วก็หัวเราะตาหยี  “เหมือนยาย เหมือนยาย”

ในกระจาดกล้วยของยาย ทุกวันจะมีถุงก๊อบแก๊บหลายถุงใส่ข้าวคลุกน้ำแกงบ้าง หัวปลาบ้าง ต้มเศษเนื้อบ้าง ยายบอกว่า “เอาไว้ให้หม้า”

มีหมามอมแมมหกเจ็ดตัว แวะเวียนมาหายายที่แผงกล้วยปิ้งทุกวัน ยายจะหยิบถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวโยนให้มันคาบไปกิน มีตัวหนึ่งมารอยายแต่เช้า กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนข้างๆ แผงของยายไปจนถึงเย็น พอยายกลับ มันก็กลับบ้าง ยายบอกว่ากลางคืนมันนอนไหนไม่รู้ แต่กลางวันมันมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับยาย

บางวันมันมีสีม่วงๆ เป็นหย่อมๆ เต็มตัว ยายเล่าว่ามันได้แผลมาจากไหนไม่รู้ ยายเลยเอายาสีม่วงใส่แผลให้ เมื่อแผลมันหาย ยายก็รีบบอกฉันให้ร่วมดีใจด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข เงินที่ฉันซื้อกล้วย ยายบอกว่าจะเอาไว้ช่วยหมาที่อดอยาก

วันหนึ่ง ยายเห็นฉันมีพลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วเนื่องจากถูกบานหน้าต่างกระแทกใส่ ยายรีบถามไถ่อาการอย่างห่วงใย แล้วหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงให้จนนับไม่ทัน

“ยายจ๋า หนูซื้อแค่สิบบาท ยายหยิบเกินแล้วยาย” ฉันรีบบอก
“ไม่เป็นไร้ กินกล้วยปิ้งของยาย หนู้จะได้ห้ายไวๆ” ยายยื่นกล้วยถุงใหญ่ (มีเกือบยี่สิบลูก) ให้แล้วบอกด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “อ้ะ ซิบบาท”

“สิบบาทยายขาดทุนแย่ แถมให้เยอะขนาดนี้หนูกินไปสามวันก็ไม่หมด” ฉันไม่ได้บอกว่า ที่ซื้อยายเมื่อวาน (และเมื่อวานซืน) ก็ยังไม่หมด
“ขาดทุนอาไร้ กล้วยถูกจะตายไป๊ กินไม่หมดก็เอาไปค้ายต่อ” ยายแนะนำ
“โธ่ หนูจะไปขายใครเล่ายาย” ฉันยิ้มขำ นึกถึงน้องๆ ที่ทำงานที่ถูกชวนแกมบังคับให้ช่วยกินกล้วยปิ้งทุกวัน ยิ่งช่วงที่แผลยังไม่หาย ยายจะแถมกล้วยให้จนฉันแทบกินแทนข้าว

คิดถึง “เจ้าชายน้อย” ของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรี และถ้อยคำที่ว่า
“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามก็อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง”

เจ้าชายน้อยและนักบินเดินอยู่ในทะเลทราย
“เธฮหิวน้ำเหมือนกันหรือ” นักบินถาม
เจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่พูดว่า น้ำอาจจะดีสำหรับหัวใจ

ทั้งสองพบบ่อน้ำเมื่อรุ่งสาง เจ้าชายน้อยขอให้นักบินตักน้ำในบ่อให้ นั่นเองคือสิ่งที่นักบินค้นพบ การเดินใต้แสงดาว การค้นพบบ่อน้ำกับเสียงเพลงของลูกรอก และแรงแขนของเพื่อนที่สาวถังน้ำขึ้นจากบ่อ ทำให้น้ำนั้นสดชื่นราวน้ำหวานในงานรื่นเริง

เจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า
“ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียว แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาต้องการ”
“ใช่ เขาไม่เคยพบมันหรอก” นักบินตอบ

เจ้าชายน้อยบอกว่า
“ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย”

แล้วเขาก็เสริมว่า
“แต่ตาของคนเราบอด สิ่งนั้นต้องหาด้วยหัวใจ”

กล้วยปิ้งราคาสี่ลูกยี่สิบบาทบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้อยากกินกล้วยปิ้ง เพียงแต่ฉันคิดถึงรอยยิ้มของยาย และรู้สึกว่า กล้วยปิ้งนั้นดีต่อหัวใจ

เมืองสายรุ้ง (11)

8 October, 2007 - 01:49 -- nalaka

ตอนนี้ปิดเทอมแล้ว สายรุ้งใช้เวลาอยู่กับแม่เกือบตลอด มีเพียงที่เขาออกไปเที่ยวเล่นกับเด่นหรือไปที่บ้านคุณตาเท่านั้นที่ห่างจากสายตาแม่ คุณตาจะสอนให้เขาปลูกต้นไม้ ให้เขาเห็นความสำคัญของต้นไม้ที่มีต่อชีวิตและต่อสิ่งแวดล้อม

“ต้นไม้แทบไม่เหลือแล้ว” คุณตาบ่น “มีแต่หมู่บ้านจัดสรร”,
คุณตาชอบบ่นเกี่ยวกับหมู่บ้านจัดสรรอยู่บ่อย ๆ คุณตาบอกว่าหมู่บ้านจัดสรรทำลายสิ่งแวดล้อม แต่สายรุ้งยังไม่เข้าใจว่าหมู่บ้านจัดสรรจะทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

แม่จะหาโอกาสพาสายรุ้งไปทำกิจกรรมต่างๆ อยู่บ่อยครั้งเพื่อไม่ให้สายรุ้งเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน   เย็นวันหนึ่งแม่พาสายรุ้ง เด่นและสุนัขโอเว่นไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ ที่นั่นมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้สายรุ้งเล่นสนุก

สายรุ้งชอบเล่นฟุตบอล เด่นเองก็ชอบเล่น มีเพื่อนหลายคนเล่นฟุตบอลอยู่ที่นั่นก่อนแล้ว สวนสาธารณะเป็นอีกที่หนึ่งที่เด็ก ๆ จะพากันมาเที่ยวเล่นช่วงปิดเทอม

สายรุ้งเปลี่ยนชุดเพื่อเตะฟุตบอล เขาดูน่ารักไม่หยอกในชุดของทีมฟุตบอลชื่อดัง เขามีชุดนักฟุตบอลของทีมดัง ๆ หลายชุดและเขารู้จักนักฟุตบอลชื่อดังหลายคน เด่นและเพื่อนที่โรงเรียนมักจะคุยกันในเรื่องนี้

หลังจากแบ่งทีมกันเรียบร้อยแล้วเด็ก ๆ ก็เริ่มเล่น เด็ก ๆ หัวเราะเวลาวิ่งชนกันและล้มไปด้วยกัน ดูเหมือนว่าของเล็กๆ เด็ก ๆ ไม่สามารถจะควบคุมทิศทางฟุตบอลได้ ฟุตบอลมาทางไหนเด็กก็เตะไปทางนั้น แต่สิ่งที่ทำให้เด็ก ๆ สนุกกันมากเป็นพิเศษคือเจ้าโอเว่นที่โดดเข้ามาร่วมเล่นด้วย มันไม่ยอมให้เสียชื่อโอเว่น

พวกเด็ก ๆ  พากันหัวเราะเมื่อโอเว่นเข้าไปแย่งลูกฟุตบอลกับพวกเขา พวกเขาเล่นไปหัวเราะไป เด็กบางคนลงไปนั่งหัวเราะงอหงายอยู่กับพื้นสนาม  โอเว่นวิ่งไล่บอลและคอรบครองบอลด้วยขาหน้าทั้งสอง ดูเหมือนมันพยายามโยกหลอกพวกเด็ก ๆ  แต่เด่น ชิงเอาบอลออกไปจากการครอบครองของโอเว่น แล้วเตะส่งไปให้คนอื่นอย่างรวดเร็ว โอเว่นจึงวิ่งไล่ตาม โอเว่นวิ่งไล่กวดเพื่อแย่งฟุตบอลกับพวกเด็ก ๆ  ที่กรูกันไปทางเดียว และมันก็วิ่งได้รวดเร็วกว่าเด็ก ๆ มาก

“หมาตัวนี้อยู่ทีมไหนเนี่ย”
“ให้มันเป็นกรรมการก็แล้วกัน” สายรุ้ง
“เล่นหมาชิงบอลกันดีกว่า” เด่นพูด
“มันได้เปรียบพวกเราเพราะมันมีตั้งสี่ขา”

เด็ก ๆ เตะบอลส่งกันไปมา ให้โอเว่นวิ่งไล่ เกมแบบนี้มันชอบอยู่แล้ว เด็กคนหนึ่งทำท่าตกใจเมื่อโอเว่นวิ่งไล่กวดและกระโดดเข้าใส่  เด็กคนนั้นทิ้งตัวล้มลงด้วยความจั๊กกะเดียมและหัวเราะอย่างยอมแพ้

แม่เงยหน้ามองสายรุ้งเป็นระยะ ในขณะที่เธอนั่งเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะใกล้สนามฟุตบอล เธอไม่อยากปล่อยเวลาให้ล่วงเลยผ่านไปเปล่า ๆ แม้แต่วินาทีเดียว คุณค่าของวันเวลาจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้ตระหนักว่าเวลาจะไหลผ่านไปเหมือนสายน้ำและไม่มีวันหวนกลับ ถ้าไม่ฉวยวันเวลาเอาไว้ก็จะไม่เหลืออะไรเลยและเวลาของเธอก็ไม่เหลือมากมายเหมือนคนอื่น การเตรียมให้พร้อมด้วยการใช้เวลาอย่างมีคุณค่ามากที่สุดทำให้ไม่ต้องมานั่งเสียดาย

สายรุ้งเล่นฟุตบอลจนเหงื่อไหลโชกท่วมตัว เขาก็เหมือนเด็กคนอื่นที่เพลิดเพลินและจริงจังในสิ่งที่ตนเองกำลังเล่น

แม่เรียกสายรุ้งและบอกว่าพอได้แล้ว สายรุ้งหอบหายใจ ใบหน้ามีสีแดง แม่เช็ดเหงื่อและบอกให้เขากับเด่นดื่มน้ำ
“เหนื่อยมากเลยแม่” เขาหัวเราะ “โอเว่นมันเล่นฟุตบอลเก่งเหมือนกันนะ”

แม่ปิดสมุด เธอเขียนหนังสือได้สามหน้าระหว่างลูกกำลังเล่นฟุตบอล ตอนนี้ถึงเวลาต้องกลับแล้ว

เจ้าโอเว่นเดินไปฉี่ไป มันชอบล้อรถเป็นพิเศษ รถคันไหนที่จอดอยู่มันก็จะฉี่ใส่ แต่แล้วมันก็เกิดอาการลุกลี้ลุกลนเมื่อเห็นสุนัขสีขาวสวยตัวหนึ่งกำลังเดินมา ท่าเยื้องย่างของสุนัขตัวนั้นงามสง่า เชิดหน้าชูคอ โอเว่นมองตาไม่กะพริบ มันวิ่งไปคาบเอากิ่งไม้มากึ่งหนึ่ง   มันกระโดดผกโผน   หมอบลงและยกก้นโด่งขึ้นเป็นสัญญาณว่า
“แน่จริงมาแย่งให้ได้สิ”

แต่สุนัขแสนสวยตัวนั้นไม่สนใจมันเลย โอเว่นจึงได้แต่ยืนดูสุนัขสาวสวยเดินจากไปด้วยดวงตาละห้อย

แม่พาสายรุ้งเดิมอ้อมไปตามทางเลียบลำธาร ลูกเต่าตัวหนึ่งคลานต้วมเตี้ยมที่กอหญ้าข้างลำธาร สายรุ้งเอามาอุ้มก่อนจะปล่อยให้มันคลานตามทางของมันต่อไป

พบกันวันคิดถึง

4 October, 2007 - 00:42 -- moon

ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัว

การเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว

นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย เพราะหมานั้นอายุสั้นกว่าคนหลายเท่า

วงการแพทย์พบว่า หมาแมวสามารถเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ และช่วยฟื้นฟูผู้ชราที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัว ฉันรู้สึกว่าชีวิตเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่น่าเชื่อว่าการคลุกคลีกับสัตว์ที่พูดไม่ได้ และ(บางครั้ง)เดาใจไม่ออก จะทำให้ฉันสามารถอยู่กับคนได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น ไม่มีเงื่อนไข และไม่คาดหวัง

นึกถึงเรื่อง “พบกันวันคิดถึง” หรือ See you anytime I want ของคิคุตะ มาริโกะ หนังสือภาพเล่มเล็กๆ ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานมหกรรมหนังสือเด็กโบโลนญา ปี 1999 และจำหน่ายมาแล้วกว่า 1,000,000 เล่มในประเทศญี่ปุ่น

เป็นเรื่องราวความผูกพันของเพื่อนรักคู่หนึ่ง ชิโระกับมิกิ

เหตุเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้า
พอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจัง
ผมจะได้พบมิกิจังเสมอ
แม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กัน
ภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เรายังคงเหมือนวันเวลานั้น
ผมพบกับมิกิจัง
ทุกเวลาที่คิดถึง

........

เป็นหนังสือที่หยิบเอาเรื่องความตายมาอธิบายได้อย่างสวยงาม ทั้งยังบอกวิธีรับมือกับความเศร้าได้อย่างอ่อนโยน ภาพลายเส้นง่ายๆ ของหมาน้อยในหนังสือ เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่อ่าน แม้บางครั้งจะดึงให้เรานึกถึงเรื่องที่อยากร้องไห้

หมาแมวบ้านสี่ขาล้วนมีความเป็นมาที่น่าเศร้า หลายตัวผ่านการถูกทำร้าย อดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและความรัก จึงเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งกายและใจ ถึงจะพลิกฟื้นคืนความแจ่มใสได้ แต่หลายตัวก็อายุไม่ยืนยาวนัก

การนั่งมองเพื่อนสี่ขาหมดลมหายใจในมือของฉันตัวแล้วตัวเล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเคยชิน การจากพรากแต่ละครั้งยังสะเทือนใจไม่ต่างกัน

ยุ่งยิ่งเป็นหมาเล็กๆ อีกตัวหนึ่งที่ฉันรับเลี้ยงไว้ ครั้งแรกที่พบกันนั้น เป็นระหว่างทางที่ฉันกลับจากการจัดรายการวิทยุที่ FM 103 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ลูกหมาตัวหนึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น แทบทุกตารางนิ้วของผิวหนังเต็มไปด้วยเห็บ หมัด และเหา ทั้งเกาะติดแน่นและไต่ยั่วเยี้ยเต็มตัวจนไม่อาจนับจำนวนได้

ฉันขนลุกเมื่อมองเห็บที่กระจุกอยู่เหมือนเมล็ดข้าวโพดในฝัก ลูกหมาตัวนี้กำลังจะตาย ดวงตากลมโตแต่เซื่องซึมของมันบอก พี่น้องตัวอื่นๆ ของมันถูกขายไปแล้ว เหลือแต่ยุ่งยิ่งที่ตัวเล็ก อ่อนแอ และไม่สวย แม่ของมันกำลังถูกบำรุงเพื่อท้องลูกครอกใหม่ ยุ่งยิ่งเป็นหมาที่ไม่มีใครอยากได้ แม้แต่เจ้าของของมัน

“ขอได้ไหม” ฉันถามเจ้าของ และเมื่อเขาบอกอย่างไม่สนใจว่า “ก็เอาไปสิ” ฉันจึงหยิบเจ้าตัวกระจ้อยร่อยเบาหวิวใส่ถุงและรีบพาไปหาหมอ สัตวแพทย์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นปริมาณเห็บหมัดบนตัวเจ้าหมาน้อย

ยุ่งยิ่งโตขึ้นเป็นหมาแคระแกร็นเพราะสุขภาพไม่ดี หมอบอกว่าหมาตัวนี้อายุไม่ยืน แต่ฉันพยายามยืดชีวิตมันไว้ให้นานที่สุด ให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ขาดไปในวัยเยาว์ แต่ยุ่งยิ่งเป็นโรคโลหิตจางและมีภูมิคุ้มกันต่ำ มันจึงป่วยบ่อยๆ ด้วยสารพัดโรค 

เกือบห้าปีที่วนเวียนกินยา ฉีดยา และให้น้ำเกลือ ยุ่งยิ่งอยู่กับฉันอย่างน่ารักน่าสงสาร มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว พอใจเพียงแค่ได้มานอนซุกเงียบๆ อยู่บนตัก และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันอุ้มไปเดินเล่น

ยุ่งยิ่งสามารถนั่งนิ่งๆ ได้นานครึ่งค่อนวัน มีเพียงดวงตากลมโตที่กลอกตามความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจากหมาตัวไหนๆ แม้ในชั่วโมงเจ็บปวดทุรนทุราย ตาคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่น

วันที่เขียนเรื่องนี้ ฉันเพิ่งขุดหลุมฝังยุ่งยิ่ง แดดจัดจ้าทำให้ผิวดินร้อนระอุ ทั้งแน่นและแข็ง เหวี่ยงจอบแต่ละทีสะเทือนไปทั้งไหล่ แต่ฉันก็พยายามขุดให้ลึกที่สุด เพื่อให้ถึงเนื้อดินเย็นๆ ข้างล่าง

ฉันบรรจงจัดท่านอนให้ยุ่งยิ่ง เกลี่ยดินกลบตัวมันจนแน่น แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนมันอยู่อีกนาน คิดว่าข้างใต้นั้นคงเย็นสบาย เจ้าหมาน้อยจะไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป

ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้ ทุกชีวิต จะคนหรือหมา สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่ผืนดิน

นึกถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่เคยนั่งอยู่บนพื้นดินใต้ต้นสะเดาเก่าแก่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน ลึกลงไปใต้โคนต้นสะเดา ฝังกระดูกของพ่อฉันไว้ ตอนนั้นฉันก็คุยกับพ่อว่า ข้างใต้นั้นคงเย็นสบายนะ พ่อน่าจะหลับสบาย ใช่ไหมพ่อ

ไม่มีใครจากไปอย่างแท้จริง
ตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอ
เราพบกับคนที่เรารัก
ทุกเวลาที่คิดถึง

เหมียว@สะพานควาย

27 September, 2007 - 02:35 -- moon

ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง

หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้

เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชน

เป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว คนอยากเลี้ยง(แต่แพ้)แมว รวมทั้งคนที่รักคนรักแมว(อีกที) มาคุยกัน ดูนิทรรศการแมวๆ ผลัดกันเล่าเรื่องแมว นินทาแมว วาดรูปแมว กินขนมเค้กหน้าแมว และช่วยกันซื้อเสื้อแมว(ให้คนใส่) เพื่อรายได้เล็กน้อยๆ จะมอบให้กองทุนแมวไร้เจ้าของแถบสะพานควาย ที่มีจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ

ที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง คือมีพ่อค้า แม่ค้า คนหาเช้ากินค่ำในย่านสะพานควาย แวะเวียนมาร่วมงานด้วยหัวใจอันอ่อนโยนของคนที่เมตตาสัตว์ร่วมชุมชน บางคนโผล่เข้ามาในผ้ากันเปื้อนมอมๆ มาคุยเรื่องแมว แล้วรีบผลุบกลับออกไปเพราะ “ทิ้งร้านเอาไว้นะเนี่ย”

อยากรู้จริงว่าสะพานควายมีแมวกี่ตัว

“ร้อยหกสิบเอ็ดตัวค่ะ” เด็กหญิงเล็กๆ ลูกหลานชาวสะพานควายที่มาร่วมงาน บอกเสียงดังฟังชัด แถมยืนยันด้วยการกางแผนผังให้ฉันดู เป็นแผนผังที่สถาปนิกใจดีชื่อพี่เบนวาดขึ้นมา มีชีวิตชีวาอันพลุกพล่านย่านสะพานควายแทรกอยู่ในห้างร้าน ตลาด อาคาร ถนน ต้นไม้ รวมทั้งประชากรแมวที่เธอบรรจงใส่ลงในภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ

“ไม่น้อยไปหรือคะ” ฉันแกล้งถาม ก้มดูแผนผังที่มีแมวแทรกอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ยิ้มกับขบวนแมวที่กำลังข้ามถนนกันเป็นพรวน

“หนูนับตั้งสองรอบ มีแค่นี้เองค่ะ” หนูน้อยตอบราวกับว่า จริงๆ มันมีมากกว่านี้

พี่นวล บ.ก.สำนักพิมพ์วงกลม เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของงาน พอฉันถามไถ่ว่าทำไมเธอจัดงานนี้ ทั้งๆ ที่เธอกลัวแมว

“เพราะพี่ชอบฟังคนคุยกันเรื่องแมว ฟังแล้วสนุกทุกทีเลย” พี่นวลตอบพลางยิ้มพลางอย่างอารมณ์ดี

นิทรรศการเล็กๆ ที่เล่าเรื่องแมวและคนรักแมวในชุมชนย่านสะพานควาย ทำให้เราได้รู้จักเสือน้อย แมวเปอร์เซียขี้หงุดหงิดที่ชอบนอนบนตู้แช่หน้าร้านขายของชำสวัสดี เสือน้อยมีใบหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ตอนที่พวกเราแวะเอาอาหารแมวไปให้ ฉันเกิดอยากรู้ว่าเสือน้อยกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เจ้าของร้านจ้องหน้ามันอยู่พักหนึ่งแล้วว่า “ไม่แน่ใจแฮะ” มือฉันที่กำลังเอื้อมไปหามันจึงหดทันที

เราได้รู้จักเหมียวใหญ่ แมวแสนงอนที่ร้านเสริมสวยของพี่อลิน กับถุงทอง แมวประจำร้านสมุนไพรและแผงลอตเตอรี่ที่หวงตัวสุดๆ พอพวกเราโผล่ไป มันรีบหนีไปซ่อน เห็นแต่ดวงตาแวววับที่จ้องมาจากใต้โต๊ะ

ยังมีเดี่ยว อ้วน และบราซิล สามแมวรู้มากที่พี่จรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัวหลีง้วนบอกว่า ตัวหนึ่งๆ จะขอลูกชิ้นกินวันละสามสิบลูก!!

ฉันคุยกับพี่เจี้ยบและพี่เลิศ คนขายไก่ย่าง ที่เลี้ยงอดีตแมวจรจัดไว้ในบ้านแปดตัว แมวนอกบ้าน(แถวศาลเจ้า) อีกเกือบสิบตัว พี่เจี๊ยบบอกว่าจ่ายค่าปลาทูวันละสิบเข่ง (ไม่นับค่าอาหารเม็ด นม และค่าทำหมัน) และแมวทุกตัวของพี่จะหอมกรุ่นเป็นพิเศษทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันอาบน้ำแมวประจำสัปดาห์

ไม่กี่วันมานี้เพิ่งมีคนเอาลูกแมวมาทิ้งอีกสองตัว พี่เจี๊ยบอดไม่ได้ต้องเอาอาหารและนมไปให้ด้วยความเวทนา ฉันเดาว่าไม่ช้า พี่ทั้งสองต้องเพิ่มค่าปลาทูแน่ๆ

โจโจ้ เป็นแมวตัวเบ้อเริ่มที่อยู่ร้านเสริมสวยของป้าหงษ์ ขนนุ่มแน่นของมันชวนลูบเล่นเป็นอย่างยิ่ง แรกๆ โจโจ้นอนนิ่งให้ลูบโดยไม่แสดงอาการใดๆ ฉันได้ใจลูบไม่หยุด โจโจ้คงรำคาญเลยลุกออกไปกางเล็บฝนกับขาโต๊ะดังแกรกกรากเหมือนจะบอกว่า ลองมาลูบอีกทีสิ

อีกตัวที่น่าทึ่งคือเจ้าแสตมป์ แมวเร่ร่อนที่ทุกๆ วันตอนตีห้าจะมาเกาประตูห้องแถวของพี่สุณี คนขายไก่สดในตลาดสุดาเพื่อขอกินมื้อเช้า บางวันแวะไปขอกินมื้อเย็นพี่สุณีที่แผงเสียด้วย หลายคนสงสัยว่ามันคิดได้ยังไงว่า ถ้าไม่เจอพี่สุณีที่บ้าน มันต้องไปหาในตลาด

ดำเป็นแมวไม่มีเจ้าของ ชอบมุดเข้าออกตรงรูกำแพงของโรงแรมสุภาพ แต่น้าศาสตร์ คนขับรถแท็กซี่จะมีอาหารเม็ดมาให้ดำและแมวเร่ร่อนไร้ชื่อตัวอื่นๆ เป็นประจำ บางวันก็เป็นปลาดุกย่างจากรถเข็นขายส้มตำแถวนั้น น้าศาสตร์มีความเชื่อส่วนตัวว่าแมวเป็นเทพเจ้า จึงตั้งจิตอธิษฐานด้วยความเคารพทุกครั้งที่ให้อาหารแมว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีโชคดีเกิดขึ้นกับน้าศาสตร์เสมอๆ

ยังมีเรื่องราวของไข่ตุ๋น สามสี ถุงเงิน โมโม่ โชค น้ำหวาน เก๋ง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บอกเล่าถึงชีวิตเล็กๆ ในย่านสะพานควายและหัวใจเอื้ออารีที่คนมีให้แมว

งานวันนั้น หลายคนยิ้ม หัวเราะและนั่งคุยกันอย่างสนิทใจทั้งที่ไม่รู้จัก แต่เราเชื่อมโยงกันโดยใช้แมวเป็นสะพาน จนฉันอยากจะเรียกย่านนั้นใหม่ว่า สะพานแมว

ถ้าใครมีโอกาสไปแถวสะพานควาย ไม่ต้องเสียเวลามองหาควาย แต่ลองสังเกตประชากรแมว ถ้าเจอก็ทักทายกันบ้างนะคะ ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะได้พบกัน และได้เป็นเพื่อนกัน ผ่านสายสัมพันธ์แบบเหมียวๆ ก็ได้

หรือไม่ต้องไปถึงสะพานควาย รอบๆ ตัวคุณก็อาจมีแมวหรือหมาไร้บ้านวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รอความรักความใส่ใจที่ยืนยันว่า โลกนี้ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิด

และสังคมอันอุดมด้วยคนแปลกหน้า ก็อาจดำรงอยู่ได้ด้วยสายใยที่มองไม่เห็นเช่นนี้เอง

เมืองสายรุ้ง (10)

26 September, 2007 - 07:43 -- nalaka

เมื่อมะม่วงต้นใหญ่ที่หน้าบ้านหักโค่นลง คุณปู่ เด่น และสายรุ้งก็จัดการเลื่อยออกเป็นท่อน ขัดอย่างดี แล้วทำเป็นโต๊ะกับม้านั่ง สายรุ้งมักจะชอบนั่งทำการบ้านตรงนั้น สัตว์หลากชนิดที่เลี้ยงไว้ก็จะเข้ามาห้อมล้อมสายรุ้ง โดยเฉพาะเจ้าโอเว่น สุนัขแสนรู้ ที่ชอบกระโดดให้ดูอยู่เสมอ

แล้วเวลาที่เด่นหรือเพื่อน ๆ มาหาสายรุ้งที่บ้าน โอเว่นก็มักจะอวดการกระโดดสูงให้เพื่อน ๆ ของสายรุ้งชม

แต่แล้วก็เกิดเหตุร้ายก็เกิดขึ้นกับโอเว่น จนต้องนอนซมไปหลายวัน

คืนหนึ่งมีฝนตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตาทั้งคืน ลมก็พัดแรง แล้วพอรุ่งเช้าปรากฏว่ากิ่งไม้หักรานไปหลายกิ่งเพราะแรงลมพัดกระหน่ำ ใบไม้หล่นเกลื่อนกราดเต็มลานหน้าบ้าน บนโต๊ะหน้าบ้านมีเศษกิ่งก้านของใบไม้อยู่เต็ม ตอนนั้นโอเว่นหลบอยู่แต่ในบ้านที่ปิดประตูมิดชิด แต่มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ กลิ่นของสัตว์ป่า

วันนั้นเป็นวันเสาร์ สายรุ้งไม่ต้องไปโรงเรียน เขาเอาไม้กวาดมากวาดลานบ้าน พื้นดินยังเปียกแฉะอยู่

โอเว่นวิ่งออกมากระโดดโลดเต้น มันเป็นยามเช้าที่อากาศดีมากหลังจากฝนตก มันได้กลิ่นหอมของดิน ของหญ้า ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยละล่องอยู่ในอากาศ แต่แล้วเมื่อเข้ามาใกล้กับโต๊ะหน้าบ้านและทำท่าว่าจะกระโดดข้ามไปนั้น มันก็ได้กลิ่นแปลก ๆ

โอเว่นดมตามกลิ่นนั้นไป จนพบว่าต้นตอมันอยู่ใต้โต๊ะท่อนมะม่วง ทันใดนั้นเองที่มันแลเห็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีเหลืองสลับดำแวววาวและยาวเหยียด ลำตัวส่วนหนึ่งซ่อนอยู่ในช่องใต้โต๊ะ แต่ส่วนหนึ่งก็โผล่พ้นออกมา มันม้วนตัวเองจนเป็นวงหลายชั้น ดูแล้วน่าขยะแขยงอย่างมาก ดวงตาหรี่เล็กของมันจ้องมาทางสุนัขอย่างประสงค์ร้าย

งูเหลือมตัวหนึ่งขดอยู่ใต้โต๊ะ มันกำลังจ้องมองมาที่โอเว่นเช่นเดียวกับที่โอเว่นกำลังจ้องมองมันอยู่ ท่าทางมันกำลังหิว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังหิว มันคงอยากจะกินสุนัขของสายรุ้งแน่ ๆ โอเว่นเห่าอย่างบ้าคลั่ง เส้นขนตั้งชัน ลุกลี้ลุกลน วิ่งวนไปมา

นัยน์ตาของงูแดงก่ำ ท่าทางโกรธจัด ฝนพายุคงทำให้มันลำบาก เป็นไปได้ว่ามันอาศัยอยู่ในทุ่งร้างที่อยู่สุดซอยที่มีหนองน้ำ และมีวัชพืชงอกสูงท่วมหัว แต่ก่อนทุ่งร้างแห่งนี้เคยเป็นบ้านและเรือกสวนมาก่อน แต่แล้วไม่รู้เหตุผลกลใด เจ้าของก็ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ ที่ทุ่งร้างแห่งนั้นมีสัตว์แปลก ๆ หลายชนิด เช่นตัวเงินตัวทองที่ดุร้าย มีเล็บและฟันที่คมกริบ

งูเหลือมตัวนี้ มีความยาวประมาณ 170 เซนติเมตรเห็นจะได้ ประกายแวววาวสะท้อนแสงแดดยามเช้า โอเว่นเห่าไม่ยอมหยุด ตอนแรกสายรุ้งไม่สนใจเสียงเห่าเพราะรู้นิสัยของสุนัขตัวนี้ดีว่า “โอเว่นเจออะไรนิดหน่อยมันก็เห่า”

แต่โอเว่นเห่าเสียงดัง วิ่งวนไป วนมา ซ้ายที ขวาที ในขณะที่งูใหญ่เริ่มขยับตัว มันเลื้อยอย่างเชื่องช้าแต่ทว่าเปี่ยมด้วยความระมัดระวัง

สายรุ้งเดินมาใกล้และบอกว่า “เอ็งจะเห่าอะไรนักหนา โอเว่น”
แต่แล้ว สายรุ้งชะงักด้วยความกลัวและความตกใจสุดขีดเมื่อเห็นงู แต่งูไม่สนใจสายรุ้ง เป้าหมายของมันคือโอเว่น

งูตัวนั้นเลื้อยอย่างแช่มช้าออกมาจากโต๊ะ ท่าทางมันไม่กลัวอะไรเลย มันจ้องมองสายรุ้งแวบหนึ่ง แต่โอเว่นก็เบนความสนใจของมัน ด้วยการกระโดดผกโผนทำท่าเหมือนจะเข้าไปกัด

สุนัขวิ่งวนไปรอบ ๆ งู ทำท่าเหมือนจะไปทางซ้ายแต่แล้วก็เอี้ยวตัวไปทางขวา หาโอกาสที่จะฝังคมเขี้ยวลงไปสักครั้ง

“โอเว่น ระวัง” สายรุ้งร้อง
สุนัขเห่าเสียงดังจนแม่ของสายรุ้งออกมาดู งูมักจะเลื้อยออกมาแบบนี้เสมอเวลาที่ฝนตกหนัก เธอบอกให้สายรุ้งวิ่งไปตามเพื่อนบ้านมาช่วย
“ถ้าเราไม่ไปทำให้มันโกรธ มันก็ไม่ทำอะไรหรอก”

อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับมาถึง สายรุ้งพบว่าโอเว่นกำลังอยู่ในวงรัดของงูเหลือม มันพันรอบตัวของสุนัขไว้อย่างแน่นหนา ความร้ายกาจโหดเหี้ยมเหลือเชื่อของงูปรากฏออกมา ในเวลาที่มันกำลังจะพิฆาตเหยื่อหรือศัตรูของมัน

โอเว่นหงายท้องแล้วม้วนไปมาตามการเคลื่อนที่ของงู
“แม่ไม่รู้จะทำอย่างไร” เธอบอกสายรุ้ง
“สุนัขยังไม่ตาย” เพื่อนบ้านคนหนึ่งพูดขึ้น

พวกผู้ใหญ่หลายคนช่วยกันงัดแงะเอาตัวโอเว่นออกมา แต่งูมันไม่ยอมปล่อย ใครคนหนึ่งจึงใช้มีดปักเข้าไปที่ลำตัวของงู ซึ่งก็ได้ผล มันคลายตัว เลือดไหลนองออกมา

“อย่าฆ่ามันนะ” แม่ของสายรุ้งบอก
สายรุ้งไม่รู้ชะตาของงูตัวนั้นว่าที่สุดแล้วเป็นอย่างไร เพราะใครคนหนึ่งเอามันใส่ถุงแล้วก็หิ้วออกไป มันอาจถูกฆ่าแล้วถลกหนังแบบที่เคยเห็นในโทรทัศน์หรือไม่ก็อาจจะถูกนำไปรักษาแล้วไปปล่อยที่ไหนสักแห่ง ส่วนโอเว่นต้องนอนแกร่วอยู่หลายวัน

“งูมันคงจะหิวน่ะลูก”
“ผมกลัวงูครับ”
สายรุ้งบอกแม่
“ที่อยู่ของมันถูกรุกราน มันจึงออกมาเพ่นพ่านอย่างนี้ ในทุ่งไม่มีอะไรให้มันกินแล้ว แต่เชื่อเถอะว่าถ้าเราไม่ทำร้ายมันก่อน มันก็จะไม่ทำร้ายเรา”
“ครับแม่”
สายรุ้งพูด แม่โอบกอดเขาไว้ รู้สึกโล่งใจ.

Subscribe to Dog