Skip to main content

ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัว

การเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว

นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย เพราะหมานั้นอายุสั้นกว่าคนหลายเท่า

วงการแพทย์พบว่า หมาแมวสามารถเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ และช่วยฟื้นฟูผู้ชราที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์

ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัว ฉันรู้สึกว่าชีวิตเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่น่าเชื่อว่าการคลุกคลีกับสัตว์ที่พูดไม่ได้ และ(บางครั้ง)เดาใจไม่ออก จะทำให้ฉันสามารถอยู่กับคนได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น ไม่มีเงื่อนไข และไม่คาดหวัง

นึกถึงเรื่อง “พบกันวันคิดถึง” หรือ See you anytime I want ของคิคุตะ มาริโกะ หนังสือภาพเล่มเล็กๆ ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานมหกรรมหนังสือเด็กโบโลนญา ปี 1999 และจำหน่ายมาแล้วกว่า 1,000,000 เล่มในประเทศญี่ปุ่น

เป็นเรื่องราวความผูกพันของเพื่อนรักคู่หนึ่ง ชิโระกับมิกิ

เหตุเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน
ชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้า
พอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจัง
ผมจะได้พบมิกิจังเสมอ
แม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กัน
ภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เรายังคงเหมือนวันเวลานั้น
ผมพบกับมิกิจัง
ทุกเวลาที่คิดถึง

........

เป็นหนังสือที่หยิบเอาเรื่องความตายมาอธิบายได้อย่างสวยงาม ทั้งยังบอกวิธีรับมือกับความเศร้าได้อย่างอ่อนโยน ภาพลายเส้นง่ายๆ ของหมาน้อยในหนังสือ เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่อ่าน แม้บางครั้งจะดึงให้เรานึกถึงเรื่องที่อยากร้องไห้

หมาแมวบ้านสี่ขาล้วนมีความเป็นมาที่น่าเศร้า หลายตัวผ่านการถูกทำร้าย อดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและความรัก จึงเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งกายและใจ ถึงจะพลิกฟื้นคืนความแจ่มใสได้ แต่หลายตัวก็อายุไม่ยืนยาวนัก

การนั่งมองเพื่อนสี่ขาหมดลมหายใจในมือของฉันตัวแล้วตัวเล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเคยชิน การจากพรากแต่ละครั้งยังสะเทือนใจไม่ต่างกัน

ยุ่งยิ่งเป็นหมาเล็กๆ อีกตัวหนึ่งที่ฉันรับเลี้ยงไว้ ครั้งแรกที่พบกันนั้น เป็นระหว่างทางที่ฉันกลับจากการจัดรายการวิทยุที่ FM 103 มหาวิทยาลัยขอนแก่น

ลูกหมาตัวหนึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น แทบทุกตารางนิ้วของผิวหนังเต็มไปด้วยเห็บ หมัด และเหา ทั้งเกาะติดแน่นและไต่ยั่วเยี้ยเต็มตัวจนไม่อาจนับจำนวนได้

ฉันขนลุกเมื่อมองเห็บที่กระจุกอยู่เหมือนเมล็ดข้าวโพดในฝัก ลูกหมาตัวนี้กำลังจะตาย ดวงตากลมโตแต่เซื่องซึมของมันบอก พี่น้องตัวอื่นๆ ของมันถูกขายไปแล้ว เหลือแต่ยุ่งยิ่งที่ตัวเล็ก อ่อนแอ และไม่สวย แม่ของมันกำลังถูกบำรุงเพื่อท้องลูกครอกใหม่ ยุ่งยิ่งเป็นหมาที่ไม่มีใครอยากได้ แม้แต่เจ้าของของมัน

“ขอได้ไหม” ฉันถามเจ้าของ และเมื่อเขาบอกอย่างไม่สนใจว่า “ก็เอาไปสิ” ฉันจึงหยิบเจ้าตัวกระจ้อยร่อยเบาหวิวใส่ถุงและรีบพาไปหาหมอ สัตวแพทย์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นปริมาณเห็บหมัดบนตัวเจ้าหมาน้อย

ยุ่งยิ่งโตขึ้นเป็นหมาแคระแกร็นเพราะสุขภาพไม่ดี หมอบอกว่าหมาตัวนี้อายุไม่ยืน แต่ฉันพยายามยืดชีวิตมันไว้ให้นานที่สุด ให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ขาดไปในวัยเยาว์ แต่ยุ่งยิ่งเป็นโรคโลหิตจางและมีภูมิคุ้มกันต่ำ มันจึงป่วยบ่อยๆ ด้วยสารพัดโรค 

เกือบห้าปีที่วนเวียนกินยา ฉีดยา และให้น้ำเกลือ ยุ่งยิ่งอยู่กับฉันอย่างน่ารักน่าสงสาร มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว พอใจเพียงแค่ได้มานอนซุกเงียบๆ อยู่บนตัก และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันอุ้มไปเดินเล่น

ยุ่งยิ่งสามารถนั่งนิ่งๆ ได้นานครึ่งค่อนวัน มีเพียงดวงตากลมโตที่กลอกตามความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจากหมาตัวไหนๆ แม้ในชั่วโมงเจ็บปวดทุรนทุราย ตาคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่น

วันที่เขียนเรื่องนี้ ฉันเพิ่งขุดหลุมฝังยุ่งยิ่ง แดดจัดจ้าทำให้ผิวดินร้อนระอุ ทั้งแน่นและแข็ง เหวี่ยงจอบแต่ละทีสะเทือนไปทั้งไหล่ แต่ฉันก็พยายามขุดให้ลึกที่สุด เพื่อให้ถึงเนื้อดินเย็นๆ ข้างล่าง

ฉันบรรจงจัดท่านอนให้ยุ่งยิ่ง เกลี่ยดินกลบตัวมันจนแน่น แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนมันอยู่อีกนาน คิดว่าข้างใต้นั้นคงเย็นสบาย เจ้าหมาน้อยจะไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป

ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้ ทุกชีวิต จะคนหรือหมา สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่ผืนดิน

นึกถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่เคยนั่งอยู่บนพื้นดินใต้ต้นสะเดาเก่าแก่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน ลึกลงไปใต้โคนต้นสะเดา ฝังกระดูกของพ่อฉันไว้ ตอนนั้นฉันก็คุยกับพ่อว่า ข้างใต้นั้นคงเย็นสบายนะ พ่อน่าจะหลับสบาย ใช่ไหมพ่อ

ไม่มีใครจากไปอย่างแท้จริง
ตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอ
เราพบกับคนที่เรารัก
ทุกเวลาที่คิดถึง

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…