Skip to main content

หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์
อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย
ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา
แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น

\\/--break--\>

เจ้าหนูทำหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย คงสงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มันยืดตัวยืนสองขา ชูจมูกสูดกลิ่นซ้ายทีขวาที วิ่งไปดมๆ ถ้วยอาหารที่เกลี้ยงเกลา วิ่งวนสำรวจรอบกรงและรอบตัวสตางค์อีกสองสามรอบ ท่าทางจะตัดสินใจได้ว่าไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว มันจึงวิ่งปรู๊ดลอดซี่กรงออกไป


แม่มองหน้าฉันอย่างอัศจรรย์ใจ บอกว่า

เออ จะงงกับแมวหรือหนูดีเนี่ย”

ความจริงก็ประหลาดอยู่ ที่บ้านสี่ขามีแมวตั้งเกือบห้าสิบตัว แต่ไม่เคยมีหนูถูกแมวจับ จะมีก็แต่คนจับ (หมายถึงหนูที่เผลอวิ่งเข้ากรงดักหนู แล้วแม่กับฉันก็หิ้วมันไปปล่อยในทุ่ง)
บางครั้งเราเห็นหนูวิ่งผ่านหน้าแมวเฉยๆ แล้วแมวก็มองหนูวิ่งผ่านหน้าเฉยๆ (เหมือนกัน)
ไม่รู้ว่าทำไมหนู
(บ้านนี้) ไม่กลัวแมว แล้วแมวก็ไม่ตื่นเต้นเมื่อเห็นหนู บางที มันอาจไม่รู้ว่าจะทำเรื่องแบบนั้นไปทำไม
บางเรื่องไม่รู้บ้างก็ดีเหมือนกันแฮะ” ฉันว่าอย่างนั้น


คิดถึงหนังสือภาพเรื่องหนึ่งของ
Tatsuya Miyanishi ถ้าใครยังไม่เคยอ่าน ฉันก็อยากเล่าให้ฟัง ถึงแม้เขาจะจัดระดับของหนังสือไว้ที่เด็กวัยอนุบาล แต่บางครั้ง (หลายครั้ง) ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ควรอ่านหนังสือของเด็กอนุบาลบ้าง

 


 

 

ครูกำลังสอนเรื่อง “ศัตรูที่ต้องระวัง” แต่ลูกหนูสามตัวเอาแต่คุยจุ๊กจิ๊กกันหลังตอไม้ รู้ตัวอีกที ชั้นเรียนก็เลิกแล้วสามหนูน้อยเลยชวนกันไปเก็บลูกพีช
ทันใดนั้น แมวตัวใหญ่เล็บยาวก็โผล่มาขวางหน้า ส่งเสียงขู่ดังสนั่นว่า
เมี้ยวววว!”

 

 

โอ้ว เสียงดังดีจัง (ฉันว่าเจ้าหนูคงออกจะทึ่ง) แทนที่จะตกใจ กลับชวนแมวไปเก็บลูกพีชเสียนี่!
อ๊ะ เข้าทาง แมวอาสาพาหนูทั้งสามขี่หลังไปด้วยกัน
หนูกินลูกพีชกันอย่างอร่อย ส่วนแมวทำเป็นอร่อย ในใจกระหยิ่มว่าอีกเดี๋ยวได้อร่อยกว่านี้แน่ๆ


ขากลับ สามหนูยังเก็บลูกพีชมาอีกสี่ลูก ช่วยกันประคับประคองมาบนหลังเพื่อนใหม่
ได้เวลาเลิกเล่นละครแล้ว เจ้าแมวใหญ่จึงข่มขวัญด้วยเสียงดังสนั่นอีกครั้งว่า “เมี้ยวววว!”
เมี้ยววว!” หนูน้อยทั้งสามรีบร้องตอบอย่างร่าเริง
เมี้ยว! ครั้งแรกที่เจอกัน คุณคงหมายถึง “สวัสดี” ใช่ไหม ฉะนั้น เมี้ยว! ครั้งหลังนี้ต้องหมายถึง “ลาก่อน” แน่ ๆ เจ้าหนูทั้งสามสรุปเสร็จก็แบ่งลูกพีชให้เพื่อนใหม่หนึ่งลูก ที่เหลือจะเอาไปฝากครอบครัวของตน

 

คุณมีครอบครัวไหมครับ” ลูกหนูตัวหนึ่งถาม
แน่นอน แมวก็มีครอบครัวเหมือนกัน แถมมีลูกตั้งสี่ตัวแน่ะ
โอ ถ้าอย่างนั้นลูกเดียวไม่พอแน่เลย หนูทั้งสามจึงพร้อมใจยกลูกพีชทั้งหมดให้แมว

 

 

คราวหน้าไปด้วยกันอีกนะ หนูน้อยบอกแมวแล้วโบกมือลา
เจ้าแมวโหดได้แต่โอบกอดลูกพีชสี่ลูก และส่งเสียงอย่างแผ่วเบาว่า “เมี้ยว”

 

 

หนังสือนิทานภาพอาจสร้างสรรค์ขึ้นสำหรับเด็กอนุบาล ที่โลกใบนิดน้อยยังอุดมไปด้วยเรื่องเล่นเรื่องกิน และมิตรภาพจริงแท้ เพื่อให้เด็กๆ เติบโตอย่างสะอาด และยังคงสะอาด ในวัยที่เรื่องเล่น เรื่องกิน และเรื่องมิตรภาพ กลายเป็นภาพหลายมิติ
บางครั้ง (หลายครั้ง) ฉันคิดว่าผู้ใหญ่ควรกลับไปอ่านหนังสือของเด็กอนุบาลบ้าง
อย่างน้อยก็เพื่อรำลึกถึงหัวใจบริสุทธิ์ และน้ำใจจริงแท้ที่เราทุกคนเคยมี

 

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…