Skip to main content

...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา

 

ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว

ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า)

บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา

(จะดราม่าไปไหน?)

นึกอยากเล่าเรื่องแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ หาสาระมิได้บ้าง เพราะบางครั้งความคิดก็ผลุบๆ โผล่ๆ ไม่ปะติดปะต่อ สงสัยจริงว่าจะมีใครทนฟังการพูดคุยแบบไม่มีหัวไม่มีหาง (ปี่ขลุ่ยก็ไม่มี) อย่างที่ฉันเป็น (ออกจะบ่อย) ได้บ้าง

 

มีอยู่วันหนึ่ง เกิดความสงสัยในบางเรื่องราวเลยไปตั้งคำถามกับเด็กๆ

เรื่องของเรื่องคืออยากจะเล่านิทาน ชวนเด็กวาดรูปและเล่นสี ก็เลยถามขึ้นมาดื้อๆ ว่า เด็กๆ จ๋า หนูคิดว่า เจ้าม้าลายมันสีดำลายขาว หรือสีขาวลายดำกันแน่น่ะฮึ

ช่างเป็นคำถามที่ไร้สาระสิ้นดี! อันนี้เป็นคำวิจารณ์จากเพื่อน(ไม่สนิท)คนหนึ่ง

แต่สำหรับเด็กๆ มันไม่ใช่อ้ะ! เนี่ย ปัญหาที่สั่นสะเทือนมวลมนุษยชาติกันเลยทีเดียว ดูได้จากการที่เด็กๆ คิดๆๆๆๆ แล้วก็พยายามตอบกันอย่างจริงจังจริงใจยิ่งกว่านักการเมืองอภิปรายในสภา อุ๊ปส์ ขออภัยค่ะ ผิดที่!

 

สาระของฉันไมได้อยู่ที่คำตอบถูกผิด แต่อยู่ที่ว่า ทำไมถึงคิดอย่างนั้น ตะหาก

เรียกว่าให้ความสำคัญกับกระบวนการคิด โอ้ว ฟังดูดีมีเหตุผล

หนูคนหนึ่งตอบว่า หนูว่าสีดำลายขาวค่ะ ทำไมล่ะคะ ฉันถามทันทีไม่ให้มีช่องว่าง

ก็สีดำมันมากกว่านี่คะ แล้วสีขาวก็เป็นเส้นๆ แบบนี้ไง (วาดเส้นๆ ให้ดูด้วย)

ใครบอก สีขาวลายดำตะหาก (อีกคนแย้งทันควัน) นี่ไงๆ มันมีสีขาวก่อน แล้วถึงทาสีดำทับลงไปแบบนี้ (วาดบ้าง)

 

ผมว่ามันไม่อยากสีนี้ร้อก! หนุ่มน้อยคนหนึ่งบอกอย่างมั่นใจ ฉันรีบตะครุบทันที แล้วหนูคิดว่ามันอยากสีอะไรคะ...

(ช้อบชอบ เด็กคิดนอกกรอบแบบนี้)

มันต้องอยากสีส้มลายสีเขียว ตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ ทำไมล่ะคะ ถามต่ออีก

ก็มันไม่อยากซ้ำกับใครไงคู! ทำท่าขมวดคิ้วแบบรำคาญความไม่รู้ของ “คู” เสียอีกด้วย

ฉันทำตาโต บอกว่า แหม อยากเห็นจัง! ได้ยินดังนั้น จิตรกรน้อยก็ลงมือวาดม้าลายส้มเขียวทันที

ทีนี้มากันใหญ่เลย หนูก็ว่ามันต้องสีชมพู ใครบอก! มันต้องลายสีฟ้ากับสีแดง ไม่ใช่! สีฟ้ากับสีเหลืองตาหาก

ม้าลายเริ่มมีสีมหัศจรรย์มากขึ้นเรื่อยๆ

แต่หนูว่ามันไม่อยากมีสีเลยซักสีเดียว! สาวน้อยคนหนึ่งเชิดหน้าประกาศ

แล้วม้าลายสีต่างๆ (รวมทั้งม้าไม่มีสี) ก็ควบกุบกับรอบตัวจนฉันตาลาย

 

ท่ามกลางความตาลาย ก็เกิดปิ๊งแวบว่า คราวหน้าเล่นเรื่องลายบ้างดีกว่า

ถ้าม้าลายไม่อยากลายเป็นริ้ว มันน่าจะลายอะไรดี ลายดอกไม้ดีมั้ย หรือว่าจะลายไทย ลายสก็อต ...อิอิ ได้ไอเดียหากินต่ออีกแล้วครับพี่น้อง

 

ครั้งหนึ่งเล่านิทานเรื่องเค้าแมวน้อยกลัวความมืด แล้วชวนเด็กๆ วาดรูปนกเค้าแมวตัวกลมๆ ตาโตๆ วาดไปคุยไป

อยู่ๆ ก็มีเด็กถามว่า คูขา ทำไมมันถึงชื่อนกเค้าแมวล่ะค้าคู...ครูค่ะ เด็กขา ครูรูรูรู...อย่าลืม ร เรือ สิคะ

ก็มันมีบางอย่างที่ดูเหมือนแมวสิคะ คำว่าเค้า หมายความว่ามีส่วนที่เหมือน คือนกมันมีส่วนเหมือนแมวอยู่นิดหน่อย

แล้วมันเหมือนแมวตรงไหนล่ะค้า....

เออ นั่นสิ ตรงไหนหว่า แต่คนอย่างฉันรึจะอับจนกับคำถามเด็กๆ เลยตอบไปว่า แล้วหนูๆ คิดว่าตรงไหนล่ะคะ

ฮิฮิ คิดไม่ออกก็ใช้วิธีถามกลับอย่างนี้แหละ นอกจากเอาตัวรอดได้แล้ว ยังช่วยส่งเสริมให้เด็กได้ฝึกทักษะการคิดหาเหตุผลอีกด้วย น้าน..มีหลักวิชาการอ้างอิงพร้อม

 

เด็กๆ หาเหตุผลกันใหญ่ เด็กคนหนึ่งตอบเสียงดัง รู้แล้วๆ ว่าเหมือนแมวตรงไหน...ตรงไหนคะ... ก็มีตาสองข้างเหมือนกันเลยไงคับคู! โอ้ว ให้คะแนนการสังเกตและการเชื่อมโยงเต็มสิบอ้ะค่ะ

คูขา แล้วนกกะแมวอะไรเกิดก่อนกันคะ...แน่ะ มีคนถามเลียนแบบฉันเข้าแล้ว เพราะวันก่อนๆ ฉันเคยถามว่า เด็กๆ จ๋า ไก่กับไข่ อะไรเกิดก่อนกันคะ

แล้ว...เอิ่ม แล้วหนูคิดว่าอะไรมาก่อนล่ะคะ...(ยังคิดไม่ทันเลยใช้มุขเดิม) แต่เด็กๆ คงเดาทางออก รีบบอกกันใหญ่ ไม่เอา ไม่เอา ครูบอกมาก่อนเซ่

ก็ได้ค่ะ พี่ เอ๊ยครูคิดว่า แมวต้องเกิดก่อนแน่นอนที่สุด

ทำไมครับ...ทำไมคะ...จริงหรอ...พี่รู้ได้ไง...ขี้โม้.. (อ๊ะ ไอ้คำวิจารณ์สุดท้ายนี้ดังมาจากไหนกัน?)

คือหยั่งนี้นะคะ... (รู้จริงมั้ยไม่รู้ละ ทำท่าอมภูมิไว้ก่อน)

...เวลาคนเขาตั้งชื่อนกชนิดนี้ เขาก็นึกๆๆ ว่าเอ จะชื่ออะไรดีน้า อ๊ะ นึกออกละ ก็มันดูมีเค้าแมวอยู่นิดๆ นะ งั้นให้ชื่อนกเค้าแมวแล้วกัน นี่แสดงว่าแมวต้องเกิดก่อน นกถึงเหมือนแมวได้ เด็กๆ ลองนึกดูสิคะ ถ้านกเกิดก่อนแมว ก็ต้องมีแมวเค้านกแล้วละสิ จริงมั้ย น้าน...งง...งงละสิ โฮ่ะ โฮ่ะ บอกแล้วไม่เคยจนมุมเด็ก

(แต่มาทบทวนทีหลัง ดูเหมือนสีหน้าเด็กๆ จะบอกว่า ไม่ไหวจะเคลียร์ เพลียที่จะเอาสาระจากพี่เอ๊ย “คู” คนนี้แล้วหละ เฮ้อ...)

 


 

สมัยที่ยังสอนอยู่ในโรงเรียนหนึ่งแถวๆ ถนนสายไหม ใกล้ๆ ซอยวัชรพล สอนวันละ 5 คาบ ตั้งแต่อนุบาลหนึ่งถึงป.6 บางช่วงได้โบนัสพิเศษ (ตรงไหน?) คือได้สอน ม.1 ถึง ม.3 ด้วย สนุกแทบสาหัสแน่ะค่ะคุณขา (จำได้นะฮึ่ม เด็กโข่งม.3 ที่ถามว่า จาน จาน จานอายุเท่าไหร่เหรอ...น่ะ)

บางวันสอน 5 ชั้น เตรียมการสอนตั้ง 5 แบบแน่ะ (เรียกว่าถั่งโถมโหมแรงไฟกันเลยทีเดียว)

ประสาครูผู้กระตือรือร้นคิดว่า เด็กแต่ละวัย ความสนใจไม่เท่ากัน ต้องหารูปแบบกิจกรรมและเนื้อหาให้เหมาะสม จะมาสอนแบบเดียวทั้งปีทั้งชาติไม่ด๊าย...

 

แต่มีอยู่เช้าวันหนึ่ง กำลังเล่านิทานแบบ “เล่าไปวาดไป” เรื่องคุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ อยู่ในชั้นอนุบาล 3

ก็มีเด็กๆ ชั้นป.4 เดินผ่านห้องน้องๆ จะไปเรียนอะไรไม่ทราบ (เป็นชั้นป.4 ที่จะต้องเจอฉันในช่วงบ่าย) ชะโงกเข้ามาฟังกันใหญ่จนโดนครูประจำวิชาดุเอา

 

พอบ่ายเดินเข้าห้องป.4 ดังกล่าว ก็เจอตาแป๋วแหวววิบวับสามสิบกว่าคู่ มีกระดาษกับสีวางบนโต๊ะเรียบร้อย

หยิบขึ้นมาตั้งแต่ยังไม่หมดชั่วโมงผมแน่ะ” อาจารย์หนุ่ม (เหลือ) น้อยบอกก่อนเดินสวนออกไป ไม่รู้อารมณ์ไหน เลยได้แต่หัวเราะแหะๆ ขอโทษค่ะ

ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่เตรียมมาเล่าเพื่อจุดประกายในการสร้างงานศิลปะจากวัสดุเหลือใช้ พลันข้อเสนอใหม่ก็เซ็งแซ่ “เอาเรื่องกลมๆ เล็กๆ” “อยากฟังนิทานแบบน้องอนุบาล” “จะวาดรูปอย่างนั้นบ้างอ้ะ” “จานขา เอาเล่านิทานแบบเมื่อเช้านะค้า...”

จาน เอ๊ยครูที่ดีต้องให้เด็กเป็นศูนย์กลาง เด็กควรมีสิทธิเลือกเรียนในสิ่งที่เขาชอบและสนใจ เรื่องโลกร้อนจึงจำต้องร้อนต่ออีกนิด ปล่อยให้คุณกลมๆ เล็กๆ กับหมาน้อยกลมๆ เล็กๆ สามสิบกว่าตัวสนุกสนานอยู่ในห้องชั้นป.4

 

ฉันว่า รอยยิ้มและประกายสดใสในแววตาของเด็กๆ ก็ทำให้โลกเย็นลงได้เหมือนกัน

 

คราวหน้า (ถ้าไม่ไปสนใจเรื่องอื่นซะก่อน) มีเรื่องหมาๆ ในชั้นเรียนมาเล่าให้ฟังค่ะ

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…