บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson
ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ
งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด
บางวัน โทรทัศน์เสนอข่าวป่าฝนเขตร้อนถูกคนใจร้ายตัดไม้และจุดไฟเผา ป้าร้องไห้เมื่อเห็นภาพลิงและเสือกระเสือกกระสนหนีตาย พวกเธอเชื่อว่าถ้ามนุษย์อ่อนโยนกว่านี้ โลกคงถูกทำร้ายน้อยลง
ป้าๆ ไม่ใช่ผู้วิเศษ พวกเธอกำลังจะแก่ และจะตายไปในที่สุด ใครจะมารับช่วงต่อ ในการที่จะคอยรักและดูแลปลอบโยนสัตว์ที่น่าสงสาร ในวันเวลาที่ป่าน้อยลงเรื่อยๆ ทะเลปนเปื้อนมากขึ้น และผู้คนเห็นแก่ตัวมากขึ้น
ป้าอยากได้ผู้ช่วย แต่พวกผู้ใหญ่ไว้ใจไม่ได้ ป้าๆ จึงคิดว่าจะต้องขโมยเด็กสักคนหนึ่ง
เด็กที่ฉลาด แข็งแรง มีหัวใจอ่อนโยนที่พร้อมจะทะนุถนอมชีวิตอื่นๆ
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังคล้ายป้าๆ เข้าไปทุกที นอกจากคล้ายตรงที่กำลังจะแก่ และต้องตายไปในวันหนึ่งแล้ว ก็ยังเคยสงสัยว่า ในวันข้างหน้า บ้านสี่ขาจะเป็นอย่างไร ใครจะยินดีรับช่วงดูแลสัตว์ที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย (ฟังดูเป็นมรดกที่ไม่น่ารับสักเท่าไร)
แล้วฉันก็คิดถึงเด็กคนหนึ่ง
เราพบกันครั้งแรกที่มหาสารคาม เธอเป็นเด็กหญิงตัวกลมผมม้า หางตาเฉียงๆ แต่ลูกตากลมเหมือนเม็ดกระดุมสีดำ
ตอนนั้น พ่อของเธอกำลังจัดอบรมครูชนบท เธอพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมจนวิทยากรขาดสมาธิ ฉันจึงต้องเป็นพี่เลี้ยงอาสา ดึงเธอออกมานอกวง
วาดรูปสารพัดจนหมดกระดาษไปหลายสิบแผ่น อ่านหนังสือนิทานกว่าสิบรอบจนเสียงแห้ง มื้อเที่ยงกินข้าวคลุกไข่พะโล้ด้วยกัน กับชวนกันไปเล่นดินเล่นทรายที่แหล่งก่อสร้างข้างโรงเรียน พอถึงบ่ายสี่โมงเย็น ผู้หญิงวัยสามสิบกับเด็กหญิงสามขวบก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
เธอชอบมากตอนที่ฉันชวนร้องเพลง....ลึกและกว้าง ลึกและกว้าง ความรักของเรานั้นลึกและกว้าง...พร้อมกับทำท่าทางประกอบไปด้วย
พอร้องเพลงจบ ฉันก็บอกเธอว่า มาเร้ว กางแขนให้กว้างที่สุด แล้วก็กอดกันแน่นที่สุดเลยนะ! แล้วเราก็กอดกัน หมุนตัวไปรอบๆ แล้วหัวเราะ
จากนั้น เมื่อเจอหน้ากัน เราจะ “กางแขนกว้างๆ แล้วกอดกันแน่นๆ” ทุกครั้งไป
กิจกรรมที่เราทำด้วยกันมากที่สุดคืออ่านหนังสือนิทาน (ฉันอ่านให้เธอฟัง) แล้วก็คุย คุย และคุย
เรื่องที่เธอสนใจเป็นอย่างยิ่ง คือเรื่องหมาๆ แต่ละตัวในบ้านฉัน (บ้านเช่าฉันอยู่ใกล้บ้านเธอ)
“ทำไมเท่ถึงมีตาข้างเดียว” (เท่ถูกตีลูกตาหลุด)
“ทำไมหนังของย่นถึงย่น ขนก็ไม่มี” (ย่นเป็นขี้เรื้อน)
“โมเมเป็นอะไรจ๊ะ ทำไมหน้ามันถึงเบี้ยว” (โมเมถูกรถชนกรามหัก)
“วันนี้น้ามูนทำกับข้าวอะไรให้หมา หอมจัง ขอชิมได้ไหม”
“น้ามูนเล่าเรื่องหมาในวิทยุมั่งสิ นะเล่านะ น้องเฟินจะคอยฟัง”
ตอนนั้นฉันเป็นนักจัดรายการวิทยุ น่าเสียดายที่ไม่ใช่รายการเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง เด็กที่นั่งเฝ้าวิทยุอยู่ทุกวันจึงต้องคอยเก้อ
ตลอดห้าปีที่อยู่ภาคอีสาน เธอช่วยฉันเพิ่มจำนวนสมาชิกบ้านสี่ขาอย่างแข็งขัน (โดยที่ฉันไม่ได้ขอร้อง)
“น้ามูนจ๋า กองขยะปากซอยโน้นมีคนเอาหมามาทิ้ง น้ามูนไปช่วยมันที”
“น้ามูน ที่หน้าโรงเรียนน้องเฟินมีหมาพ้อมผอม น่าสงสารจังเลย น้ามูนไปดูหน่อย”
“น้องเฟินเจอลูกหมาหลงอยู่ข้างถนนละ เลยเก็บมาให้น้ามูน” (อุ้มร่องแร่งมาให้ถึงมือกันเลยทีเดียว)
เธอเป็นเด็กคนแรก (และอาจจะคนเดียว) ที่บอกฉันว่า
“น้องเฟินอยากเป็นหมาของน้ามูนจังเลย”
เธอเคยทดลองคลานสี่ขาอยู่ครึ่งค่อนวัน ฉันแกล้งเรียกเธอว่าหมาน้อย เธอชอบมาก แถมยังคลานมาให้ฉันลูบหัวบ่อยๆ เสียด้วย จากวันนั้น เวลาฉันเรียกชื่อเธอ เธอมักบอกว่า “ไม่เอา เรียกหมาน้อยสิจ๊ะ”
เรื่องนี้เป็นความลับของเราสองคน คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกกลายเป็นหมา (หรือได้ยินใครเรียกลูกตัวเองว่าหมา)
เวลาอยากอ้อนให้ทำอะไร เธอจะเข้ามากอดเอว แหงนหน้าบอกว่า “น้ามูนทำให้หมาน้อยหน่อยนะจ๊ะ นะจ๊ะ”
เธออายุแปดขวบเศษตอนที่ฉันย้ายบ้านสี่ขาครั้งใหญ่ เราบอกลากันเหมือนเวลาพบกัน นั่นคือ กางแขนกว้างๆ และกอดกันแน่นๆ
“น้ามูนอย่าลืมหมาน้อยนะ” เธอกระซิบ
ปลายปี 2551 ฉันบังเอิญพบพ่อของเธอที่สนามบินสุวรรณภูมิ เขาบินมาร่วมงานสัมมนาใหญ่ที่กรุงเทพมหานคร ไม่ได้พบกันนานเกือบหกปี เขากลายเป็นวิทยากรมืออาชีพไปแล้ว
ฉันได้รู้ว่าเธอกลายเป็นสาวน้อยวัยรุ่นที่คร่ำเคร่งเรียนภาษาจีน และกำลังฝึกเล่นเปียโนอย่างขะมักเขม้น (พ่อเธอเพิ่งซื้อเปียโนหลังใหญ่ให้) เธอฝันจะเป็นนักเปียโนเก่งๆ และเดินทางไปทั่วโลก
ฉันสงสัยว่า เธอจำช่วงเวลาที่เคยเป็นหมาน้อยได้ไหม และยังชอบฟังนิทานอยู่หรือเปล่า
แต่ถ้ามีโอกาสได้พบกัน นอกจาก “กางแขนกว้างๆ และกอดกันแน่นๆ” แล้ว ฉันจะเล่าเรื่องเกาะแสนวิเศษที่มีป้าสามคน กับเรื่องหมาและแมวแปดสิบกว่าตัวในบ้านสี่ขาริมทุ่งนาเมืองสุพรรณบุรีให้เธอฟัง
แล้วจะบอกว่า ถ้าฉันเป็นป้าที่อยากจะขโมยเด็กสักคนหนึ่ง ฉันจะขโมยเธอ