“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้”
แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร
นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด
แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
“เธอนอนอยู่กลางป่าช้าเลยนะนั่น” เพื่อนคนหนึ่งสรุปพลางทำท่าขนลุก ฉันหัวเราะขำคนกลัวผีสี่ขา
การอุปการะหมาแมวที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย ย่อมมีจำนวนตัวที่เจ็บป่วยอ่อนแอสารพัดโรค มากกว่าตัวที่สมบูรณ์แข็งแรง บางต้วอดอยากตรากตรำอยู่นาน บางตัวพิการ บางตัวป่วยเรื้อรังทั้งกายใจ บางตัวมาด้วยหัวใจสลาย ฟื้นฟูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าสี่ขาส่วนหนึ่งจึงอยู่กับเราไม่นานนัก
ครั้งนี้เป็นเต้าหู้
นึกถึงครั้งแรกที่พบมัน ฉันคิดว่าเป็นคางคกเสียอีก ที่ซุกอยู่ในรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ข้างหนึ่ง ริมบึงสาธารณะชานเมืองขอนแก่น (ราวๆ ปี 2546)
ก้มมองใกล้ๆ ถึงเห็นว่าเป็นลูกหมาตัวเท่ากำปั้น ผอมโซ หนังที่หุ้มกระดูกตะปุ่มตะป่ำพุพองเฉอะแฉะด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง กลิ่นเหม็นคลุ้ง
แถวนั้นแทบไม่มีบ้านเรือนผู้คนเพราะใกล้บ่อบำบัดน้ำเสียของเทศบาล ไม่รู้ว่าลูกหมาเล็กๆ ตัวนี้มาจากไหน มันคงเดินโซซัดโซเซฝ่าแดดมาจนพบช่องเล็กๆ ของรองเท้าข้างหนึ่ง จึงตะกายเข้าไปซุก ปลอกคอเก่าๆ เส้นจิ๋วบอกว่ามันเคยมีเจ้าของ
แล้วเต้าหู้ก็มาอยู่บ้านสี่ขา รักษาอยู่นานกว่าขนจะขึ้นเต็มตัว ชอบเห่าเสียงแหลมเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าวันไหนอาบน้ำและแปรงขนให้ เต้าหู้จะมีความสุขมาก
ตอนที่เราหอบหิ้วหมาแมวทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกย้ายจากอีสานมาบ้านสี่ขาหลังนี้ เต้าหู้เอาแต่ปีนป่ายเกาะไม้ระแนงด้านข้างรถ ตลอดเส้นทางที่ใช้เวลาเกือบ 10 ชั่วโมง
เมื่อถึงบ้าน มันก็ปีนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สูงกว่าพื้นดินจนแม่บ่นว่ามันอาจเคยเป็นลิงก่อนมาเป็นหมา
แม้แต่เวลาอุ้ม เต้าหู้จะพยายามตะกายขึ้นบ่า เพื่อจะไปเกาะอยู่บนหัวของฉัน
ครั้งหนึ่งมันปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนกำแพงได้อย่างไรไม่ทราบ แล้วก็ร้องโหยหวนเพราะลงไม่ได้ นึกถึงใบหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจของมันแล้ว ต้องยิ้มทุกครั้ง
วันดีคืนดี หมาๆ ก็ยกพวกตะลุมบอนกัน เต้าหู้พลาดท่ากลิ้งหลุนๆ ตกลงไปในบ่อน้ำ มันแช่น้ำคร่ำครวญไม่ยอมขึ้นเอง เดือดร้อนคนต้องไต่ตลิ่งลงไปอุ้ม
ตั้งแต่วันนั้น เต้าหู้ไม่ยอมเหยียบพื้นดินอีกเลย มันตะกายขึ้นไปอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง กินนอนฉี่อึอยู่บนนั้นให้ฉันและแม่ค่อยเก็บล้างมาเกือบสามปี
แล้วอยู่ๆ เต้าหู้ก็เกิดอาการคอเอียง หันหัวตรงๆ ไม่ได้ และไม่กินอาหาร จับตัวก็สะดุ้งครางเหมือนเจ็บ แต่หาไม่เจอว่าเจ็บตรงไหน เหงือกสีชมพูกลายเป็นซีดขาว
รีบเหมารถรับจ้างพาไปหาสัตวแพทย์ในจังหวัด คุณหมอพบว่ามีแผลใหญ่ในลำคอ จึงฉีดยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาบำรุง ทั้งยังเจาะเลือดไปตรวจหาสาเหตุอาการซีด
กลับบ้านได้วันเดียว ยังไม่ทันรู้ผลเลือด เต้าหู้ก็ซึม ก่อนจะล้มลงชัก และหยุดหายใจไปโดยที่เราตั้งสติไม่ทัน ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งคุยกับมันว่า “เดี๋ยวก็หายนะเต้าหู้” มันยังอุตส่าห์กระดิกหางรับ
ภาพเดียวของเต้าหู้ (บนโต๊ะของมัน)
การจากไปของเพื่อนสี่ขาไม่ว่าหมาหรือแมว เป็นเรื่องเศร้าเสมอสำหรับแม่และฉัน และเมื่อระลึกถึงเรื่องราวของมันกับความผูกพันระหว่างเรา ก็เป็นความสุขปนเศร้าทุกครั้งไป
ตรงริมบ่อน้ำนั้น เป็นที่ของเจ้าวุ่น ดวงดี แตงไทย และเพื่อนๆ ที่ตายพร้อมกันจากการถูกวางยาเบื่อ ความจริงมีหมาถูกวางยาในครั้งนั้นนับสิบตัว แต่นาทีที่ทุกตัวชักกระตุกและล้มลง เรากระหืดกระหอบช่วยชีวิตพวกมันได้ทันเพียงสี่ตัว หลายตัวที่เหลือดิ้นพราดๆ ทุรนทุราย เราได้แต่วิ่งถลาไปเรียกตัวนั้นปลอบตัวนี้เหมือนคนบ้า และต้องดูมันสิ้นใจในเวลาไล่ๆ กันด้วยความเจ็บในอก ลำคอตีบตัน และน้ำตาเต็มตา
ที่ริมรั้วด้านโน้นเป็นที่ของโมเม หมาพิการผู้อาภัพ กับยุ่งยิ่ง หมาขี้เหงา ส่วนรั้วด้านนี้เป็นของติงลี่ อดีตหมาบ้านหลังใหญ่ที่ถูกเจ้าของทิ้งเพราะเป็นขี้เรื้อน
ใต้ต้นโมกเป็นบรรดาแมวๆ สิบเอ็ดตัวที่จากไปเมื่อคราวไข้หัดระบาด อีกหลายตัวอยู่ใต้ต้นประดู่ ข้างๆ ต้นยอป่า ใต้เงาหางนกยูง ใต้กอบานชื่น ข้างต้นพริก ใต้ต้นชะอม ตรงนี้ ตรงนั้น ตรงโน้น นับคร่าวๆ ได้ว่า มีหมาแมวนอนอยู่ใต้ดินทั่วบ้านสี่ขากว่าสี่สิบตัว
วันนี้คงเป็นวันแรกในรอบสองปี ที่เต้าหู้จะได้ลงไปสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง
ฉันกะขนาดหลุมที่เต้าหู้จะนอนหลับได้ในท่าสบายๆ ของมัน คาดว่าคงขุดเสร็จก่อนฝ่ามือจะพอง ถ้าเป็นอย่างเจ้ามะม่วงที่จากไปก่อนหน้านี้ ฉันต้องขุดไปหอบไป ขุดๆ พักๆ หลายรอบ กว่าจะได้หลุมที่กว้างและลึกสำหรับหมาน้ำหนักกว่าสามสิบกิโล เล่นเอาเอวเคล็ด หลังยอก มือแตกพองถูกน้ำไม่ได้อยู่หลายวัน
เคยคิดว่าการขุดหลุมแมวจะง่ายกว่าหมา แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกว่า จมูกหมาเหนือกว่าคนร้อยเท่า โดยเฉพาะหมาบ้านสี่ขาที่นิยมขุดดินเล่นกันเป็นงานอดิเรก จะฝังอะไรต้องฝังให้ลึก กลบให้มิด ชนิดที่กลิ่นแทรกเนื้อดินขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด
ไม่อย่างนั้นอาจจะพบว่า กองดินที่บรรจงกลบฝังอย่างดี มีดอกไม้ปลูกประดับ ถูกขุดใหม่กระจุยกระจาย ด้วยฝีมือ(ความจริงฝีตีน) ของหมาตัวใดตัวหนึ่ง และร่างแมวน่ารักที่เพิ่งฝังไปเมื่อสามวันก่อน ก็กลายเป็นของเล่นรุ่งริ่งที่บรรดาหมาจอมซนดึงทึ้งกลิ้งเกลือกกันอย่างสนุกสนาน
นอกจากจะต้องตั้งสติตามเก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนของแมวน้อยที่น่าสงสารมาฝังใหม่ (ให้ลึกกว่าเดิม) แล้ว ยังต้องไล่จับหมาตัวดีทั้งฝูงมาอาบน้ำอีกด้วย
ในวันข้างหน้า เจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัวที่เหลือก็จะได้ลงไปนอนในดินเช่นกัน ก่อนถึงตอนนั้นฉันอาจจะต้องปักป้ายเหมือนป่าช้าเข้าจริงๆ เพื่อเตือนความจำไม่ให้ขุดซ้ำที่เดิม
“ระวังขุดโดนกระดูกตัวไหนเข้านะ” แม่ตะโกนจากโต๊ะเต้าหู้ ขณะฉันปักเสียมลงไปข้างๆ ต้นชบาดอกแดง
“ตรงนี้ไม่มีกระดูกหรอก แต่อาจจะมีไหทองคำ” ฉันพูดขำๆ เมื่อออกแรงจนหัวสั่นหัวคลอน งัดก้อนดินแข็งโป๊กขึ้นมา นึกเล่นๆ ว่าจะเป็นยังไงถ้าขุดได้ไหทองคำเข้าจริงๆ สงสัยต้องรีบแจ้งกรมศิลปากร
“ถ้ามีโอกาสเกิดใหม่ก็มาเจอกันอีกนะลูกนะ”
เสียงแม่นัดแนะกับเต้าหู้อยู่แว่วๆ