Skip to main content

จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้”
แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร


นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด
แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน


เธอนอนอยู่กลางป่าช้าเลยนะนั่น” เพื่อนคนหนึ่งสรุปพลางทำท่าขนลุก ฉันหัวเราะขำคนกลัวผีสี่ขา
การอุปการะหมาแมวที่ถูกทอดทิ้งหรือถูกทำร้าย ย่อมมีจำนวนตัวที่เจ็บป่วยอ่อนแอสารพัดโรค มากกว่าตัวที่สมบูรณ์แข็งแรง บางต้วอดอยากตรากตรำอยู่นาน บางตัวพิการ บางตัวป่วยเรื้อรังทั้งกายใจ บางตัวมาด้วยหัวใจสลาย ฟื้นฟูอย่างไรก็ไม่เหมือนเดิม เจ้าสี่ขาส่วนหนึ่งจึงอยู่กับเราไม่นานนัก


ครั้งนี้เป็นเต้าหู้


นึกถึงครั้งแรกที่พบมัน ฉันคิดว่าเป็นคางคกเสียอีก ที่ซุกอยู่ในรองเท้าผ้าใบเก่าๆ ข้างหนึ่ง ริมบึงสาธารณะชานเมืองขอนแก่น
(ราวๆ ปี 2546)

ก้มมองใกล้ๆ ถึงเห็นว่าเป็นลูกหมาตัวเท่ากำปั้น ผอมโซ หนังที่หุ้มกระดูกตะปุ่มตะป่ำพุพองเฉอะแฉะด้วยน้ำเหลืองน้ำหนอง กลิ่นเหม็นคลุ้ง

แถวนั้นแทบไม่มีบ้านเรือนผู้คนเพราะใกล้บ่อบำบัดน้ำเสียของเทศบาล ไม่รู้ว่าลูกหมาเล็กๆ ตัวนี้มาจากไหน มันคงเดินโซซัดโซเซฝ่าแดดมาจนพบช่องเล็กๆ ของรองเท้าข้างหนึ่ง จึงตะกายเข้าไปซุก ปลอกคอเก่าๆ เส้นจิ๋วบอกว่ามันเคยมีเจ้าของ

แล้วเต้าหู้ก็มาอยู่บ้านสี่ขา รักษาอยู่นานกว่าขนจะขึ้นเต็มตัว ชอบเห่าเสียงแหลมเพื่อเรียกร้องความสนใจ ถ้าวันไหนอาบน้ำและแปรงขนให้ เต้าหู้จะมีความสุขมาก

ตอนที่เราหอบหิ้วหมาแมวทั้งหมดขึ้นรถบรรทุกย้ายจากอีสานมาบ้านสี่ขาหลังนี้ เต้าหู้เอาแต่ปีนป่ายเกาะไม้ระแนงด้านข้างรถ ตลอดเส้นทางที่ใช้เวลาเกือบ
10 ชั่วโมง

เมื่อถึงบ้าน มันก็ปีนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่สูงกว่าพื้นดินจนแม่บ่นว่ามันอาจเคยเป็นลิงก่อนมาเป็นหมา
แม้แต่เวลาอุ้ม เต้าหู้จะพยายามตะกายขึ้นบ่า เพื่อจะไปเกาะอยู่บนหัวของฉัน
ครั้งหนึ่งมันปีนขึ้นไปเกาะอยู่บนกำแพงได้อย่างไรไม่ทราบ แล้วก็ร้องโหยหวนเพราะลงไม่ได้ นึกถึงใบหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจของมันแล้ว ต้องยิ้มทุกครั้ง


วันดีคืนดี หมาๆ ก็ยกพวกตะลุมบอนกัน เต้าหู้พลาดท่ากลิ้งหลุนๆ ตกลงไปในบ่อน้ำ มันแช่น้ำคร่ำครวญไม่ยอมขึ้นเอง เดือดร้อนคนต้องไต่ตลิ่งลงไปอุ้ม

ตั้งแต่วันนั้น เต้าหู้ไม่ยอมเหยียบพื้นดินอีกเลย มันตะกายขึ้นไปอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง กินนอนฉี่อึอยู่บนนั้นให้ฉันและแม่ค่อยเก็บล้างมาเกือบสามปี

แล้วอยู่ๆ เต้าหู้ก็เกิดอาการคอเอียง หันหัวตรงๆ ไม่ได้ และไม่กินอาหาร จับตัวก็สะดุ้งครางเหมือนเจ็บ แต่หาไม่เจอว่าเจ็บตรงไหน เหงือกสีชมพูกลายเป็นซีดขาว

รีบเหมารถรับจ้างพาไปหาสัตวแพทย์ในจังหวัด คุณหมอพบว่ามีแผลใหญ่ในลำคอ จึงฉีดยาแก้ไข้แก้ปวด ยาแก้อักเสบ ยาบำรุง ทั้งยังเจาะเลือดไปตรวจหาสาเหตุอาการซีด

กลับบ้านได้วันเดียว ยังไม่ทันรู้ผลเลือด เต้าหู้ก็ซึม ก่อนจะล้มลงชัก และหยุดหายใจไปโดยที่เราตั้งสติไม่ทัน ทั้งๆ ที่ฉันเพิ่งคุยกับมันว่า “เดี๋ยวก็หายนะเต้าหู้” มันยังอุตส่าห์กระดิกหางรับ

 


ภาพเดียวของเต้าหู้ (บนโต๊ะของมัน)


การจากไปของเพื่อนสี่ขาไม่ว่าหมาหรือแมว เป็นเรื่องเศร้าเสมอสำหรับแม่และฉัน และเมื่อระลึกถึงเรื่องราวของมันกับความผูกพันระหว่างเรา ก็เป็นความสุขปนเศร้าทุกครั้งไป


ตรงริมบ่อน้ำนั้น เป็นที่ของเจ้าวุ่น ดวงดี แตงไทย และเพื่อนๆ ที่ตายพร้อมกันจากการถูกวางยาเบื่อ ความจริงมีหมาถูกวางยาในครั้งนั้นนับสิบตัว แต่นาทีที่ทุกตัวชักกระตุกและล้มลง เรากระหืดกระหอบช่วยชีวิตพวกมันได้ทันเพียงสี่ตัว หลายตัวที่เหลือดิ้นพราดๆ ทุรนทุราย เราได้แต่วิ่งถลาไปเรียกตัวนั้นปลอบตัวนี้เหมือนคนบ้า และต้องดูมันสิ้นใจในเวลาไล่ๆ กันด้วยความเจ็บในอก ลำคอตีบตัน และน้ำตาเต็มตา

ที่ริมรั้วด้านโน้นเป็นที่ของโมเม หมาพิการผู้อาภัพ กับยุ่งยิ่ง หมาขี้เหงา ส่วนรั้วด้านนี้เป็นของติงลี่ อดีตหมาบ้านหลังใหญ่ที่ถูกเจ้าของทิ้งเพราะเป็นขี้เรื้อน

ใต้ต้นโมกเป็นบรรดาแมวๆ สิบเอ็ดตัวที่จากไปเมื่อคราวไข้หัดระบาด อีกหลายตัวอยู่ใต้ต้นประดู่ ข้างๆ ต้นยอป่า ใต้เงาหางนกยูง ใต้กอบานชื่น ข้างต้นพริก ใต้ต้นชะอม ตรงนี้ ตรงนั้น ตรงโน้น นับคร่าวๆ ได้ว่า มีหมาแมวนอนอยู่ใต้ดินทั่วบ้านสี่ขากว่าสี่สิบตัว

วันนี้คงเป็นวันแรกในรอบสองปี ที่เต้าหู้จะได้ลงไปสัมผัสพื้นดินอีกครั้ง


ฉันกะขนาดหลุมที่เต้าหู้จะนอนหลับได้ในท่าสบายๆ ของมัน คาดว่าคงขุดเสร็จก่อนฝ่ามือจะพอง ถ้าเป็นอย่างเจ้ามะม่วงที่จากไปก่อนหน้านี้ ฉันต้องขุดไปหอบไป ขุดๆ พักๆ หลายรอบ กว่าจะได้หลุมที่กว้างและลึกสำหรับหมาน้ำหนักกว่าสามสิบกิโล เล่นเอาเอวเคล็ด หลังยอก มือแตกพองถูกน้ำไม่ได้อยู่หลายวัน

เคยคิดว่าการขุดหลุมแมวจะง่ายกว่าหมา แต่ประสบการณ์ที่ผ่านมาบอกว่า จมูกหมาเหนือกว่าคนร้อยเท่า โดยเฉพาะหมาบ้านสี่ขาที่นิยมขุดดินเล่นกันเป็นงานอดิเรก จะฝังอะไรต้องฝังให้ลึก กลบให้มิด ชนิดที่กลิ่นแทรกเนื้อดินขึ้นมาไม่ได้เด็ดขาด

ไม่อย่างนั้นอาจจะพบว่า กองดินที่บรรจงกลบฝังอย่างดี มีดอกไม้ปลูกประดับ ถูกขุดใหม่กระจุยกระจาย ด้วยฝีมือ
(ความจริงฝีตีน) ของหมาตัวใดตัวหนึ่ง และร่างแมวน่ารักที่เพิ่งฝังไปเมื่อสามวันก่อน ก็กลายเป็นของเล่นรุ่งริ่งที่บรรดาหมาจอมซนดึงทึ้งกลิ้งเกลือกกันอย่างสนุกสนาน

นอกจากจะต้องตั้งสติตามเก็บรวบรวมเศษชิ้นส่วนของแมวน้อยที่น่าสงสารมาฝังใหม่
(ให้ลึกกว่าเดิม) แล้ว ยังต้องไล่จับหมาตัวดีทั้งฝูงมาอาบน้ำอีกด้วย

ในวันข้างหน้า เจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัวที่เหลือก็จะได้ลงไปนอนในดินเช่นกัน ก่อนถึงตอนนั้นฉันอาจจะต้องปักป้ายเหมือนป่าช้าเข้าจริงๆ เพื่อเตือนความจำไม่ให้ขุดซ้ำที่เดิม


ระวังขุดโดนกระดูกตัวไหนเข้านะ” แม่ตะโกนจากโต๊ะเต้าหู้ ขณะฉันปักเสียมลงไปข้างๆ ต้นชบาดอกแดง
ตรงนี้ไม่มีกระดูกหรอก แต่อาจจะมีไหทองคำ” ฉันพูดขำๆ เมื่อออกแรงจนหัวสั่นหัวคลอน งัดก้อนดินแข็งโป๊กขึ้นมา นึกเล่นๆ ว่าจะเป็นยังไงถ้าขุดได้ไหทองคำเข้าจริงๆ สงสัยต้องรีบแจ้งกรมศิลปากร

ถ้ามีโอกาสเกิดใหม่ก็มาเจอกันอีกนะลูกนะ”
เสียงแม่นัดแนะกับเต้าหู้อยู่แว่วๆ

 

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
 ๑.ฉันรักฤดูร้อน เช่นเดียวกับรักฤดูฝน และฤดูหนาวการได้รอคอยชีวิตชีวาที่มากับความเปลี่ยนแปลง การได้เห็นดอกไม้ที่บานปีละครั้ง ได้ลิ้มรสพืชผักผลไม้ประจำฤดูกาล เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของชีวิต สมัยเป็นเด็ก ฤดูร้อนของฉันคือการปั้นดินเหนียว ดีดลูกหิน ทอยตุ๊กตุ่น เป่ากบ เก็บฝักต้อยติ่งมาแช่น้ำให้แตกดังเปรี๊ยะๆ หรือเดินท่อมๆ ไปช้อนปลาตามท้องร่อง เด็ดใบเรียวของหญ้าคามาพุ่งแข่งกัน ตัดก้านกล้วยมาผ่าเป็นปืนยิงดังตั้บ ตั้บ เด็ดดอกหญ้าแพรกมาเล่นตีไก่ เก็บดอกตูมของหางนกยูงมาแหวกเอาเกสรเกี่ยวกันเล่น หรือไม่ก็เด็ดก้านหญ้าแห้วหมูมาสานรังตั๊กแตนวันดีคืนดี มีบ้านใครสักคนวิดบ่อ…
มูน
๑.คืนวันในภาพถ่าย  พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร
มูน
"ระหว่างแมวกับหมา เธอรักอะไรมากกว่ากัน"อยู่ๆ เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็ตั้งคำถามกับฉัน"ถามทำไม งานวิจัยชิ้นใหม่เหรอ" ฉันแกล้งย้อน"ก็อยากรู้อ้ะ เห็นเลี้ยงแมวหมาเต็มบ้าน น่ารักรึก็ไม่น่ารักสักกะตัว ขี้เรื้อนอีกต่างหาก""ขาดแมวก็เหงา ขาดหมาเราคงเสียใจ ไม่อยากจะเลือกใคร อยากเก็บเอาไว้ทั้งสองตัว" ฉันตอบเป็นเพลงทาทายัง"แต่ฉันว่าเธอน่าจะรักแมวมากกว่า" เธอสรุป "เพราะเธอขยันเก็บแมวมากกว่าเก็บหมา"
มูน
"ผมไม่กล้ามานอนแถวนี้อีกเลย" ได้ยินเสียงคนขับรถคุยกับผู้โดยสารบางคน บนเส้นทางระหว่างบ้านสุขสำราญ จังหวัดระนอง ถึงอำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา แม้สภาพปรักหักพังทั้งหมดจะไม่หลงเหลือให้เห็น แต่ร่องรอยซ่อมแซมบ้านเรือน รวมทั้งถนนสายยาว ยังคงบอกเล่าเรื่องราวในอดีตฉันเฝ้ามองอย่างตั้งใจประทับความทรงจำในท้องถิ่นที่เพิ่งมีโอกาสผ่านมาเห็นเป็นครั้งแรก ต้นไม้เรียงรายผ่านสายตาตามความเร็วของรถที่แล่นตะบึงไปข้างหน้า แต่ความคิดคำนึงของฉันกำลังเดินช้าๆ และถอยหลัง .......
มูน
"หม้อนี้เอาไว้ทำอะไรเอ่ย" ฉันถามเด็กหญิงมุสลิมตัวน้อย เธอเอียงคอ อมยิ้มอย่างเขินอาย ใบหน้ากลมๆ นั้นล้อมกรอบด้วยฮิญาบสีขาว"บอกหน่อยน่า อยากรู้" ฉันแกล้งเซ้าซี้"เอาไว้จับแมลง" เธอตอบอุบอิบด้วยเสียงกระซิบ"น่าสนใจจังเลย" ฉันทำเสียงตื่นเต้น ขณะก้มดูต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงในกระถางดินเผา.......
มูน
ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า “ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา
มูน
นอกเหนือจากการเดินทางระหว่างจังหวัด สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ฉันจำเป็นต้องใช้เวลาไปนั่งทำงานเพื่อหารายได้เลี้ยงเจ้าสี่ขา เป็นบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ริมถนนสายใหญ่ ด้านหนึ่งเป็นทางรถไฟ ไปอีกไม่ไกลคือท่าอากาศยานดอนเมือง รถบนถนนแล่นผ่านไปมาด้วยความเร็วสูง รถไฟฉึกฉักผ่านวันละหลายขบวน สลับด้วยเครื่องบินนานาชาติที่ขึ้นลงวันละหลายเวลา ชีวิตที่นั่นส่วนหนึ่งจึงอื้ออึงด้วยเสียงรถยนต์ รถไฟ และเครื่องบิน บางครั้งผลัดกันมา บางครั้งก็มาพร้อมๆ กัน หากไม่เอาเรื่องหูอื้อมาเป็นประเด็น ข้อดีที่ฉันหาได้คือ มันทำให้เราใส่ใจฟังคนอื่นพูดมากขึ้น (ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ยิน) และรู้จักที่จะเว้นวรรคคำพูดให้ถูกกาลเทศะ…
มูน
ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตารู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานครเมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจแฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก…
มูน
ฝนเทลงมาเหมือนฟ้ารั่วฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนน มองระดับน้ำที่เอ่อขึ้นมาจนปริ่มขอบทางเท้า ถอนใจอย่างหมดหวังที่จะฝ่าการจราจรอัมพาตไปให้ถึงขนส่งสายใต้ รถบขส.กรุงเทพ-ด่านช้าง สายเดียวที่ฉันสามารถโดยสารกลับไปบ้านสี่ขาหมดไปนานแล้ว เป็นอันว่าคืนนี้ฉันต้องกลายเป็นนกขมิ้นเหลืองอ่อนหาที่นอนในเมืองกรุง“ฝนเอยทำไมจึงตก ฝนเอยทำไมจึงตก จำเป็นต้องตกเพราะว่ากบมันร้อง” ฉันฮัมเพลงสลับจามไปเรื่อยๆ อากาศชื้นเย็นแต่รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวและปวดขมับตุบๆ “กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด”
มูน
๑.เรากำลังจะไปไหนฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัวหนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหูนาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉันไม่ว่าเมื่อไร…
มูน
“ขอบคุณมากนะที่มาเจอกัน วันนี้ช่างเป็นวันดีจริงๆ” ชิว สู เฟิน พูดด้วยรอยยิ้มแจ่มใส เอื้อมมือมาบีบแขนฉันเบาๆเธอเป็นคนไต้หวันที่มาอาศัยอยู่ในเมืองไทย และพูดไทยเก่งมาก“ฉันเป็นคนไทเป” เธอเล่าให้ฟัง “คุณเชื่อไหม เมื่อก่อนฉันคิดว่าฉันสวยนะ”ใบหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นขาวผ่องสดใส ฉันนึกแปลกใจในถ้อยคำของเธอ ชิว สู เฟิน หัวเราะเมื่อเล่าต่อว่า“เสื้อผ้าฉันต้องซื้อที่ฮ่องกง กระเป๋าต้องซื้อที่ฝรั่งเศส เวลาใส่ชุดสวยๆ ออกจากบ้าน โอ มีความสุขมากเลย แต่สุขได้สามวัน มีคนใส่ชุดสวยกว่าฉันอีก ฉันมีความทุกข์แล้ว วันๆ ฉันก็นั่งอยู่ในตลาดหุ้น ขยันหาเงินเพื่อแข่งกับคนอื่นๆ”เธอยกมือขาวๆ ที่ว่างเปล่าขึ้นมา“ฉันชอบใส่เพชร…
มูน
ฉันขี่รถเครื่องฝ่าแดดร้อนเปรี้ยงออกจากหมู่บ้านไปตลาดในอำเภอ ด้วยภารกิจสำคัญสองประการที่ไม่สามารถทำได้แถวๆ บ้านสี่ขาที่อยู่ริมทุ่งนาและคอกควาย หนึ่งคือการหาซื้อกระดาษหนังสือพิมพ์ กับสอง ตามหาสาวยาคูลท์ภารกิจสองอย่างนี้เกี่ยวกันยังไง แล้วสำคัญขนาดไหนถึงทำให้ฉันต้องเอาผิวเหี่ยวๆ ของตัวเองออกมาทำเนื้อแดดเดียวตอนบ่ายโมงกว่าๆ ที่จัดว่าเป็นช่วงเวลาร้อนที่สุดของวันฉันสงสัย ว่าจะมีใครสงสัยหรือเปล่า ว่าฉันกำลังจะเล่าเรื่องอะไร และเล่าทำไมไอ้ที่ว่าจะเล่าเรื่องอะไรนั้น ฉันพอจะรู้ละ ก็ฉันกำลังจะเล่าอยู่เดี๋ยวนี้ แต่เหตุผลที่ว่า จะเล่าทำไม อันนี้ฉันก็สงสัยตัวเองเหมือนกัน คิดว่าเล่าๆ…