ท้องฟ้าเพิ่งหมาดฝน ฉันแนบหน้ากับกระจกเย็นเฉียบ มองสิ่งปลูกสร้างหลากรูปทรงที่แออัดกันอยู่ในคลองสายตา
รู้สึกอ้างว้าง ในห้องโถงร้างคนบนชั้น ๓๔ ของอาคารสูงกลางมหานคร
เมื่อวานฉันยังเดินเท้าเปล่าอยู่ริมลำธารเล็กๆ ที่ไหลมาจากเทือกเขาสอยดาว ฟังเรื่องราวของเกษตรกรที่อุตสาหะพลิกฟื้นผืนดิน หวังปลดภาระหนี้สินที่มากับความลำบากยากจน วันนี้ฉันกลับต้องมานั่งหนาวอยู่ในห้องที่มีผนังสีทึม กับพื้นพรมนุ่มหนากว่าฟูกที่บ้าน เพื่อรอพบใครคนหนึ่ง
รู้สึกเหมือนเป็นตัวละครในหนังเรื่อง JUMPER ต่างแต่เพียงว่า การเปลี่ยนสถานที่ของฉันบางครั้งไม่ได้เกิดจากความสมัครใจ
แฟ้มเอกสารในมือมีข้อมูลบุคคล ระบุระดับการศึกษาปริญญาตรี โท เอก จากต่างประเทศ บทบาทนักธุรกิจชั้นนำ และสารพัดตำแหน่งอันทรงเกียรติที่บรรจุไม่หมดในกระดาษแผ่นเดียว รวมทั้งบทความบางชิ้นจากนิตยสารบ้าง หนังสือพิมพ์บ้าง ที่ฉัน “ทำการบ้าน” มาเพื่อไม่ให้สมองว่างเปล่าเกินไปในการสัมภาษณ์
อ่านๆ ไป ใจก็หลุดขอบกระดาษไปถึงกองขี้ควายข้างบ้าน ที่ตั้งใจจะโกยมาเก็บไว้ทำปุ๋ยคอก คิดถึงหมู่หมาขี้เรื้อนที่ต้องจับทายา กับแมวเกือบห้าสิบตัวที่ยังฉีควัคซีนไม่ครบ
ชายหนุ่มในสูทสีขรึมเดินผ่านไป ฝีเท้าแสนเบาของเขาทำให้นึกถึงผู้ชายสีเทาในเรื่องโมโม่ของมิฆาเอล เอ็นเด้ อยากเดินไปถามว่า ฉันเคยฝากเวลาไว้กับธนาคารของเขาบ้างไหม ถ้าเคย ฉันขอถอนคืนทั้งต้นและดอก
บางทีฉันก็สงสัยในเหตุผลของโชคชะตา เช่นเดียวกับ แคนดี้ แคว็กเกนบุช สงสัย เมื่อเธอโดยสารทะเลอิซาเบลลาไปยังอบารัต โลกซึ่ง “เวลา” คือ “สถานที่” (วรรณกรรมแฟนตาซีของไคลฟ์ บาร์เกอร์)
ชีวิตเรากำลังผ่านโมงยามที่เท่าไร และสถานที่ใดคือเวลาที่เราควรใช้ชีวิต
ตามกาลานุกรมของเคล็ปป์ (เอกสารสำหรับนักเดินทางในอบารัต) ชั้น ๓๔ ทำให้ฉันคิดว่ากำลังอยู่บน “สิบหกนาฬิกา” เกาะที่เต็มไปด้วยเสียงกระซิบในอากาศ เศษของคำทำนายที่ไม่สมปรารถนา และทัศนียภาพที่ทำให้จินตนาการอ่อนกำลัง
..............
เคยรู้สึกว่าเสน่ห์ของชีวิตคือความลึกลับ ไม่รู้ว่าชั่วโมงถัดไป เดือนถัดไป หรือปีถัดไป เราจะพบกับอะไรบ้าง
การคาดเดา บางทีก็สนุกสนานกว่าการรู้ล่วงหน้า
“รู้ เมื่อถึงเวลา น่าจะดีกว่า เพราะทุกอย่างมีชั่วโมงของมันเอง” มาลิงโกกล่าวกับแคนดี้ เมื่อเธอปรารถนาจะศึกษาดวงดาวเพื่อมองดูอนาคต
ชายหนุ่มคนเดิมเดินผ่านมา ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาช่างเหมือนนายสมิธ ผู้ชายใส่สูทสวมแว่นดำในหนังเรื่อง The Matrix คิดไปคิดมา ที่นี่อาจเป็นโลกแห่งความจริงเสมือน ตัวตนของฉันอาจกำลังนอนเสียบปลั๊กอยู่ที่ไหนสักแห่ง
รู้สึกหนาวจนมือชา นอกจากเปลืองไฟฟ้า การเปิดแอร์ยังอาจฆ่าคนได้ มองมือซีดๆ ของตัวเองแล้วนึกถึงจิ้งจกตัวหนึ่งที่หลงเข้าไปในตู้เย็น ตอนที่ฉันเปิดเจอ มันนอนแน่นิ่ง ซีดจนเขียว เหมือนจิ้งจกยางไร้ชีวิตที่วางขายตามงานวัด
เราอาจเคยหลงทางอยู่ในบางเวลาและบางสถานที่
ฟ้าสว่างขึ้นกว่าเดิม มองเห็นรายละเอียดของตึกรามบ้านช่องแน่นขนัดที่อยู่ไกลออกไป คงอุปาทานที่ฉันรู้สึกว่าตึกสั่นไหวนิดๆ หรือเป็นตัวฉันเองที่สั่นหน่อยๆ
“เวลาพี่ขึ้นไปอยู่บนตึกสูงมากๆ พี่ไม่ต้องกลัวนะ ถ้าตึกถล่ม พี่สบายใจได้เลย ตามหลักแล้ว อยู่ชั้นสูงๆ หาศพง่ายกว่าชั้นล่างๆ” รุ่นน้องคนหนึ่งเคย (อุตส่าห์) ปลอบใจ
…………..
หญิงสาวเดินเข้ามาบอกให้รออีกสักครู่ “ท่าน” ยังประชุมไม่เสร็จ
“รับชาหรือกาแฟดีคะ” เธอถามเสียงหวาน
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” ฉันตอบ สงสัยว่าจะขอเปลี่ยนจากกาแฟและชา เป็นราดหน้าหรือผัดซีอิ๊วได้ไหม แต่เกรงใจกลัวเธอไม่รับมุก
นึกอยากให้มีเรือก๋วยเตี๋ยวของอาแปะเหาะมาเทียบข้างหน้าต่างชั้น ๓๔ เหมือนในหนังเรื่อง The Fifth Element (เพิ่งนึกได้ว่าฉันยังไม่ได้กินมื้อเที่ยง)
“ท่านจะประชุมอีกนานไหมคะ” ฉันถาม ลองพยายามให้เสียงหวานพอๆ กับเธอ
“ไม่ทราบค่ะ” เธอตอบแบบไร้เยื่อใยก่อนหมุนตัวกลับ ฉันเพลินมองตามเรียวขาเนียนๆ ในถุงน่องสีเนื้อ กับรองเท้าส้นแหลมที่ทิ้งรอยกลมๆ เล็กๆ ไว้บนพื้นพรมตามจังหวะทีก้าวไป
เอื้อมมือไปลูบคลำน่องตัวเองที่อยู่ในกางเกงขายาว ไม่ต้องดูก็รู้ว่าลายพร้อยไปด้วยรอยเล็บของบรรดาแมวๆ ที่แย่งกันตะกุย (ด้วยความรัก) ถุงน่องไหนๆ ก็เอาไม่อยู่
ยิ้มมากขึ้นเมื่อก้มมองกางเกง ใครจะรู้ว่ามีรอยปะชุนอยู่ตรงปลายขา (สีของผ้าที่ปะไว้ไม่ค่อยเข้ากับสีกางเกงนัก) ผลงานแบบหมาๆ ของสมาชิกบ้านสี่ขาอีกเช่นกัน
……………….
ครั้งที่เคยทำงานเกี่ยวข้องกับโรงเรียนบนดอย ฉันรักช่วงเวลาในฤดูหนาวที่เด็กๆ จะเข้าป่าไปเก็บมะก่อเดือยมาคั่วเกลือ นั่งแทะลูกก่อข้างกองไฟ แลกเปลี่ยนเรื่องราวสัพเพเหระ ให้ความรู้สึกอุ่นใจกว่าการยืนทื่ออยู่ในงานค็อกเทล ยิ้มแย้มสนทนาหรือทำท่าสนอกสนใจในเรื่องราวที่ไมได้อยากมีส่วนร่วม
บ้านพักครูอยู่ด้านหลังโรงเรียน ฉันชอบเวลาไปยืนล้างถ้วยชามริมชานเรือนที่สร้างยื่นออกไปริมผา มองลึกลงไปในหุบเขา เห็นสีเขียวหลากสลับสีแดงขาวหรือเหลืองของดอกไม้ป่าที่ไม่รู้จักชื่อ บางค่ำคืนแว่วเสียงร้องเพลงของเด็กๆ ชาวลัวะดังมาจากหมู่บ้านที่อยู่ต่ำลงไป
ความสูงต่างที่ ให้ความรู้สึกต่างกัน
วันที่สวมเสื้อกันฝนเดินป่าตามอาจารย์คณะเกษตรฯ ขึ้นไปสำรวจพืชพันธุ์ฤดูฝนบนภูหินร่องกล้า เรานอนคว่ำราบไปบนพื้นเปียกฉ่ำ พิจารณาไลเคนบนก้อนหินเก่าแก่ สำรวจพืชเล็กๆ ที่แตกใบอ่อนขึ้นเหนือพื้นดิน อาจารย์บอกว่า พืชบนภูเขาที่เราพบ(หรือไม่พบ) บอกให้เรารู้ได้ว่ากำลังอยู่สูงกี่พันฟุตเหนือน้ำทะเล เพราะพืชบางชนิดจะมีชีวิตอยู่ได้ในบางระดับเท่านั้น
นายสมิธเดินผ่านไปอีกครั้ง (เดินผ่านไปมาทำไมหลายรอบ?) เขาอาจไปเสนองานที่ห้องนาย หรืออาจท้องเสียจึงหมั่นไปเข้าส้วม
“เฝ้ารอ รอแล้วรอแล้วรอไม่สิ้น...” ฉันครวญเพลงของสุเทพ วงศ์กำแหง คิดจะยื่นคำขาดกับ “ท่าน” ว่า ถ้ายังไม่ออกมาละก็ ฉันจะไม่รอแล้ว จะรีบกลับไปหาหมาแมวที่สำคัญต่อฉันมากกว่า “ท่าน” ร้อยเท่า แต่ก็แว่วเสียง(เห่า)เตือนสติว่า นี่เป็นการทำงานเพื่อหาเลี้ยงเจ้าสี่ขาอยู่นะ อย่าทำเป็นหยิ่ง
ความคิด อาจเป็นอิสรภาพที่แท้จริงเพียงอย่างเดียวของมนุษย์
ฟ้ายังคงเป็นสีหม่น ฉันแนบหน้ากับกระจกมองทะเลตึก นึกเล่นๆ ว่า การพบใครสักคน จะทำให้เรารู้ได้หรือเปล่า ว่าตอนนั้นเราอยู่ที่ความสูงเท่าไร
และจริงๆ แล้ว ความสูงระดับไหน ที่เหมาะสำหรับการมีชีวิตอยู่
…………………
ส่วนหนึ่งของหมู่แมวบ้านสี่ขากำลังพักผ่อนตามอัธยาศัย
เสือจ้อยจอมซนไม่ชอบถ่ายรูป
ทุ่งนาระหว่างทางเข้าบ้านสี่ขา วันฟ้าครึ้มฝน