Skip to main content
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว

เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน

"มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน

"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา

"ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงาน


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง บางทีก็อิงแอบอยู่ข้างโอ่งน้ำ ฉันเดาว่าไฉไลขี้ร้อน


ไฉไลถือวิสาสะเข้าออกบ้านฉันตามอำเภอใจ เช้า สาย บ่าย เย็น บางวันมาแต่เช้าไถลเลยไปถึงค่ำ ฉันเดาว่าร่มเงาในทาวน์เฮ้าส์หลังเล็กๆ ชานเมืองอาจจะต้องใจเธอ บ้านที่เธออาศัยอยู่อาจเต็มไปด้วยอิฐและปูนซีเมนต์ หรือเธออาจจะชื่นชอบบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเพื่อนสี่ขา มากกว่ามนุษย์สองขาที่มักจะมองข้ามเธอไป ฉันไม่มีเหตุผลที่จะไล่ไฉไล เพราะเธอไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน


สมาชิกบ้านสี่ขาตัวเดียวที่สนใจและใส่ใจไฉไลเป็นพิเศษคือสุดหล่อ

หลายคนรู้จักสุดหล่อผ่านนิทานจากบ้านสี่ขาช่วงต้นๆ ในตอน "การตัดสินใจของสุดหล่อ" และตอน "รักแท้แพ้มอเตอร์ไซค์" เรื่องของเจ้าหมาอ้วนที่เคยเป็นขี้เรื้อนเน่าเฟะเหม็นหึ่งไปทั้งตัว มันถูกเจ้าของเดิมทิ้งไว้นอกบ้าน จนกลายเป็นหมาข้างถนนที่เจ็บป่วยและขาดอาหารอย่างรุนแรง


ฉันแวะเวียนรักษาสุดหล่ออยู่นานจนมันฟื้นคืนชีพ จากหมาหนังกลับผอมโซเลื่อนลอยไร้สติ กลายเป็นหมาอ้วนขนยาวและสุขนิยม วันหนึ่ง มันตัดสินใจเดินเข้ามาอยู่บ้านฉันอย่างองอาจ (หรืออุกอาจกันแน่?) โดยไม่ใส่ใจบ้านเก่าและเจ้าของเดิม และไม่เคยเหลียวมองแม้จะได้ยิน (อดีต) เจ้าของเรียกด้วยชื่อเดิม เพื่อนผู้อ่านบางคนหลงรักสุดหล่อ ในฐานะที่มันเป็นหมาหยิ่งทะนงและเป็นตัวของตัวเองอย่างไร้ขอบเขต
 
รูปลักษณ์แรกพบทำให้ฉันตั้งชื่อเจ้าหมาเน่าว่า "สุดหล่อ" เช่นเดียวกับชื่อ "ไฉไล" ที่มีเพื่อนบางคนอุทานว่า ต๊าย คิดไงตั้งชื่อนี้

"ก็ไฉไลมั้ยล่ะ" ฉันถาม เพื่อนทำปากยื่น

"แล้วรู้ได้ไงว่ามันเป็นผู้หญิง"

"สัญชาตญาณบอก" ฉันตอบ


สุดหล่อรักฉัน และรักมอเตอร์ไซค์ของฉัน แต่ไม่เคยสนใจสมาชิกบ้านสี่ขาตัวอื่นๆ ถ้าจะมีสิ่งอื่นหรือใครอื่นที่มันรัก ฉันคิดว่าเป็นไฉไลนั่นเอง


นอกเหนือจากการรอให้ฉันเล่นด้วย กับรอให้อุ้มขึ้นไปนอนเล่นบนอานรถ ฉันรู้ว่าสุดหล่อรอไฉไลทุกวัน


เมื่อไฉไลปรากฏตัว สุดหล่อจะตะเกียกตะกายลงจากรถ แล้วย้ายพุงหย่อนๆ ของมันไปยืนจ้องมองไฉไลด้วยท่าทีดีอกดีใจ ทำจมูกฟุดฟิด กระดิกหางไปมาอย่างตื่นเต้น ไฉไลไปทางไหน สุดหล่อจะกระดิกหางตามไปทางนั้น บางทีมีเห่าสั้นๆ เหมือนจะถามหรือว่าคุยด้วย ฉันไม่เคยได้ยินเสียงตอบโต้จากไฉไล แต่ฟังจากเสียงสุดหล่อที่เห่าสั้นๆ ดังบ้าง เบาบ้าง งี้ดง้าดหงุงหงิงบ้างเป็นระยะๆ ฉันอยากจะคิดว่า มันทั้งสองตัวกำลังคุยกัน

 

ก่อนหน้านั้น กิจวัตรประจำวันของสุดหล่อคือการกินและนอนเล่นบนอานรถมอเตอร์ไซค์ แต่เมื่อมีไฉไล เรตติ้งมอเตอร์ไซค์ก็ตกฮวบ สุดหล่อยอมสละอานรถแสนรักเพื่อตามติดไฉไลไปทุกที่ เมื่อไฉไลได้ที่เหมาะๆ และพอใจจะอยู่นิ่งๆ สุดหล่อก็จะหย่อนพุงลงนอนคว่ำกับพื้น แผ่สองขาหลังออกข้างตัว วางคางราบกับดิน แทบจะเอาจมูกเกยไฉไล บางครั้งก็หลับไปในท่านั้น ระหว่างมันทั้งสองตัว มีสายใยความเข้าอกเข้าใจบางอย่างที่แม้ฉันก็เข้าไม่ถึง


แต่บางวันไฉไลก็นิ่งมากจนสุดหล่อทนนิ่งด้วยไม่ไหว มันจะใช้ขาหน้าสะกิดเพื่อนเบาๆ ถ้ายังนิ่งอยู่ สุดหล่อจะสะกิดแรงขึ้น ครั้งหนึ่ง สุดหล่อหนักมือ (ความจริงเท้า) ไปหน่อย สะกิดจนไฉไลกลิ้งไปสามตลบ ฉันตกใจกลัวทั้งคู่ทะเลาะกัน กลัวฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเป็นอันตราย แต่น่าแปลกที่ไฉไลยังคงใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว ฉันเรียนรู้ความใจเย็นและอดทนจากไฉไลโดยไม่รู้ตัว


ไฉไลแวะเวียนมาให้เห็นทุกวันอยู่นานปี จนบางครั้งฉันเผลอคิดไปว่ามันเป็นสมาชิกบ้านสี่ขาอีกตัวหนึ่ง ยามบ่ายอันแสนสงบที่ฉันนั่งอยู่กับเครื่องพิมพ์ดีด มองออกไปใต้ร่มเงาต้นแก้วที่ออกดอกสะพรั่ง มักจะได้เห็นเพื่อนรักสองตัวอยู่เคียงข้างกันเสมอ


เป็นเรื่องแปลกที่เมื่อวันหนึงสุดหล่อจากไปอย่างกระทันหัน ไฉไลก็หายไปด้วย


วันที่ฉันส่งสุดหล่อลงไปนอนอยู่ใต้ดินอันสงบเงียบ ดอกแก้วร่วงพรูจนพื้นดินเป็นสีขาว ฉันพบว่าไฉไลไม่มา วันรุ่งขึ้นและวันต่อๆ มาก็ไม่เห็นหน้าไฉไล เธอหายไปเฉยๆ อย่างไร้ร่องรอย วันแล้ววันเล่า ฉันเฝ้าค้นหาทุกซอกมุม ใต้ต้นแก้ว กอเฮลิโคเนีย ข้างโอ่งน้ำ อ่างบัว และกระถางทุกใบ ไฉไลไม่เคยกลับมาอีกเลย ฉันนั่งน้ำตาไหลอยู่ใต้ต้นแก้ว รู้สึกเหมือนสูญเสียเพื่อนรักไปพร้อมกันสองตัว

..........


บ่ายวันหนึ่ง ฝนตกพรำ ฉันยืนหัวเปียกอยู่ริมถนนแจ้งวัฒนะ เห็นร่างตะปุ่มตะป่ำสีน้ำตาลอมเหลืองนั่งนิ่งอยู่ริมแอ่งน้ำเล็กๆ ใกล้ศาลารอรถประจำทาง สัญชาตญาณบอกฉันว่าเธอเป็นผู้หญิง เรามองกันอยู่นานก่อนเธอจะเคลื่อนตัวหายลับไปในพงหญ้า


พลันนั้น ฉันคิดถึงสุดหล่อ และคิดถึงไฉไล หมาตัวอ้วนกับคางคกตัวใหญ่ ที่เคยทำให้วันเวลาของฉันสุขสงบและสวยงาม

 

และยังคงสวยงาม


สุดหล่อกำลังหมดหล่อ เพราะถูกเล็มขนโดยช่างไร้ฝีมือ (คือฉันเอง) ปกติขนจะยาวจนดูกลมฟูไปทั้งตัว

มุมรกๆ มุมหนึ่งที่ไฉไลชอบ

 


ฉันพบคู่รักคู่นี้โดยบังเอิญในวันฝนตกอีกวันหนึ่ง ถ้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าคางคกตัวผู้จะตัวเล็กกว่า
และชอบเกาะหลังตัวเมีย คงนึกไปว่าแม่กำลังแบกลูกเล่นน้ำฝน เห็นคางคกที่ไหน ฉันคิดถึงไฉไลทุกครั้ง
และแน่นอน มีสุดหล่อด้วยเสมอ

 

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…