Skip to main content
.คืนวันในภาพถ่าย

 

พ.ศ.๒๕๐๔ นางสงกรานต์ชื่อ กิริณีเทวี ทัดดอกมณฑา หัตถ์ขวาถือพระขรรค์ หัตถ์ซ้ายถือปืน เสด็จประทับเหนือคชสาร

แม่บอกว่าไม่ได้สวยกว่าใครเขาหรอก แต่คงเพราะเป็นลูกสาวผู้พัน ใครๆ จึงพร้อมใจกันส่งแม่เป็นนางสงกรานต์ตัวแทนค่ายทหารในจังหวัด

"ทหารเขาตกแต่งรถเป็นช้าง เมื้อนเหมือน" แม่เล่า "เขาคงกลัวยุ่งยากมั้งถึงใช้ช้างปลอม แม่เลยอดนั่งช้างจริงๆ"

 

แม่นั่งพินิจภาพถ่ายเก่าๆ ในวันที่อากาศชื้นเย็น ภาพถ่ายอายุกว่า ๕๐ ปีมีเรื่องราวมากมายที่รอการบอกเล่าและรำลึก

 

 

.ฝนกลางฤดูร้อน

 

ฝนตกหนักตั้งแต่บ่ายจนค่ำ อากาศชื้นเย็นจนเกือบจะหนาว หลังฝนซา ฝูงแมลงเม่านับหมื่นตัวบินฮือขึ้นมาจากดินจนแทบไม่มีที่ว่างในอากาศ หลายตัวบินชนหน้าฉันจนเจ็บ

 

บรรดาหมาๆ แตกตื่นในกิริยาอาการต่างๆ กัน น้อยหน่าส่งเสียงโหยหวนแล้ววิ่งมุดเข้าไปหลบใต้โต๊ะ ขนุนกระโดดขึ้นๆ ลงๆ อย่างตื่นเต้น ปุยปุยยืนตัวแข็งครางหงิงๆ อยู่บนเก้าอี้ ข้าวตูยืนสะบัดหัวหูอย่างงุนงง โต๋เต๋หมอบบนแคร่ ซุกหัวอยู่กับสองเท้าหน้า เต้าหู้ตั้งหน้าตั้งตาเห่า ในขณะที่เต้าส่วนกระโดดงับแมลงเม่าอย่างเอาเป็นเอาตาย

 

บรรดาแมวก็พลุ่งพล่าน วิ่งไล่ตะครุบแมลงเม่าใส่ปากจนนับจำนวนไม่ทัน บางตัวกระโดดตัวลอยเพื่อตะปบแมลงเล่น ผิวน้ำในอ่างแน่นไปด้วยแมลงเม่าที่ตกลงไป เงาปีกว่อนผ่านหลอดไฟจนตาลาย

 

ค่อนคืน พายุแมลงเม่าจึงเบาบางลง พวกมันต่างสลัดปีกลงเดินกับพื้นต่อกันเป็นคู่ๆ ตามวงจรธรรมชาติ ฉันกวาดปีกกองพูนเป็นภูเขา รู้สึกหวั่นใจเมื่อเห็นคู่แต่งงานมากมายเต็มพื้นดิน

 

ถัดจากคืนนั้นไม่นาน บ้านสี่ขาก็ถูกโจมตีด้วยกองทัพปลวก เสียงกัดกินสิ่งต่างๆ ดังกรือๆ ได้ยินทั่ว รั้วไม้ไผ่เริ่มโยกคลอน ลังหนังสือยุบตัวอย่างรวดเร็ว แม่กับฉันลุกขึ้นรื้อของอย่างตื่นตกใจ หลังจากไม่มีเวลารื้อมาสามปีนับตั้งแต่เราย้ายมาอยู่ด้วยกัน

 

อัลบั้มภาพถ่ายในลังของแม่ถูกปลวกกินไปครึ่งหนึ่ง แม่หยิบภาพถ่ายเก่าๆ ที่เหลืออยู่มาเช็ดอย่างแสนเสียดาย

 

"อุ๊ย รูปนี้ไม่เคยเห็น" ฉันหยิบขึ้นมา เป็นภาพคุณตาคุณยายกับลูกสาวเล็กๆ สี่คน ตอนนั้นน้าคนสุดท้องคงยังไม่เกิด

"ว้า ใครมาขีดเขียนเต็มรูปเลยเนี่ย มือบอนจริงๆ"

"ก็เราน่ะแหละ" แม่พูดเสียงดัง "จำไม่ได้ละสิ ซนจะตายไป วาดเล่นจนเต็มฝาบ้านไปหมด เลอะบ้านเราไม่พอ ลามไปบ้านอื่นด้วย"

 

.ข้างหลังภาพ

 

ข้างบ้านเก่าของเรา เคยมีจิตรกรหนุ่มคนหนึ่งย้ายมาเช่าอยู่เงียบๆ ตอนนั้นฉันอายุราวๆ สองขวบเศษ จิตรกรหนุ่มมักมาขออนุญาตอุ้มฉันไปเล่นที่บ้าน ท่ามกลางกองสีและผืนผ้าใบ

 

แม่เคยแอบเห็นเขากอดฉันแล้วร้องไห้ จึงคาดเดาว่าเขาอาจจะเคยมีลูกสาวเล็กๆ แต่คงมีเรื่องเศร้าบางอย่างเกิดขึ้น

"เราน่ะไปละเลงรูปวาดดีๆ ของเขาหมดเลย บีบสีทั่วบ้าน แม่กลัวเขาโกรธจะแย่ แต่เขาก็ไม่ยักโกรธ"

บ้านเราเคยมีภาพวาดสีน้ำมันขนาดใหญ่ ๒ ภาพ ฉันรู้เมื่ออยู่ชั้นประถมว่าเป็นภาพที่เขาบรรจงวาดไว้ให้ฉันก่อนย้ายจากไป น่าเสียดายที่เมื่อครอบครัวกระจัดกระจาย ภาพเหล่านั้นก็หายไปไหนไม่รู้

 

แม่หยิบอีกภาพหนึ่งขึ้นมาให้ฉันดู สาววัยรุ่นสองคนนุ่งซิ่นนั่งยิ้มเคียงกันอยู่บนชานเรือน

"ป้าเขาสวยมากเลย" แม่เล่าอย่างชื่นชม "สงกรานต์ปีนั้นป้าเขาไปเรียนครูแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่ไม่ได้เป็นนางสงกรานต์หรอก"

"ไม่เห็นจะต่าง" ฉันพูดตามสิ่งที่เห็น เพ่งมอบภาพถ่ายสาวน้อยที่มีใบหน้า เสื้อผ้าและทรงผมเดียวกัน

"ต่างสิ แม่มาทีหลังตั้งสองนาที" แม่หยิบภาพอื่นๆ มาวางเรียงราย "ป้าเขาสวยและเรียบร้อย เรียนก็เก่ง สอบครูก็ติด ส่วนแม่ก็เอาแต่เล่น สมองก็ทื่อ เรียนไม่เอาไหน สอบตกอีกด้วยนะคิดดู ใครๆ ก็ว่าเป็นฝาแฝดกันได้ยังไง"

 

แม่หยิบภาพงานแต่งงานของป้าขึ้นมาดู ป้าสวมชุดราตรีสวยงามสมฐานะและตระกูลเจ้าบ่าว ส่วนภาพแต่งงานของแม่ แม่นุ่งผ้าซิ่นและเสื้อแขนกระบอกธรรมดา เป็นงานง่ายๆ ที่บ้านท่ามกลางความไม่พอใจของญาติพี่น้อง

 

ฉันนึกถึงลุงเขยผู้ใจดีและกว้างขวางในตำแหน่งรองอธิบดีกระทรวงหนึ่ง ในขณะที่พ่อเป็น "ข้าราชการบ้านนอกต๊อกต๋อย" ตามสำนวนคุณยาย

"ไม่มีชีวิตใครที่เหมือนกันหรอก" แม่พูดเรียบๆ ไม่มีวี่แววน้อยเนื้อต่ำใจ

 

.ขอบคุณแมลงเม่า

 

 

นางกิริณีนั่งยิ้มบนหลังช้างขณะที่ขบวนแห่นางสงกรานต์ปี ๒๕๐๔ เคลื่อนไปในตลาดปากน้ำโพ

 

 

แม่สอบครูไม่ติด จึงไปสมัครเรียนพิมพ์ดีด

"ดูแม่เต๊ะท่า" แม่หยิบรูปนี้ให้ดูพลางหัวเราะ ตอนนั้นแม่เพิ่งเรียนพิมพ์ดีดจบได้ประกาศนียบัตร ครูที่สอนเอ็นดูแม่มาก จึงถ่ายรูปให้แม่ก่อนจาก แม่คงตั้งใจเรียนจริงๆ เพราะตั้งแต่เล็กจนโตที่ฉันนั่งดูแม่ทำงาน แม่พิมพ์ดีดสัมผัสเก่งมาก ทั้งเร็วและไม่มีคำผิด

 

 

ภาพเก่าที่มีรอยดินสอฝีมือฉัน(พยายามลบไปบ้างแล้ว แต่ลบไม่ค่อยออก) แม่เล่าขำๆ ว่าคุณยายอุตส่าห์ไปหารองเท้าที่ไหนมาใส่ให้แม่ก็ไม่ทราบ (อาจเป็นเพราะแม่นั่งหน้าสุด) ส่วนป้าๆ ไม่มีใครได้ใส่รองเท้า

 

ช่างโชคดีที่ปลวกกัดกินได้เพียงภาพถ่าย ไม่อาจทำลายความทรงจำ ขอบคุณฝูงแมลงเม่าที่ให้แม่ได้นั่งรำลึกคืนวันอันแสนงามและฉันมีโอกาสได้ดื่มด่ำไปกับมัน

 

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…