๑.เรากำลังจะไปไหน
ฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัว
หนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหู
นาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉัน
ไม่ว่าเมื่อไร ฉันก็ไม่สามารถปรับจังหวะอันเชื่องช้าของตนเองให้เข้ากับจังหวะรีบเร่งของเมืองใหญ่ได้เลย
๒.คนเราบอบช้ำกับเรื่องอะไรได้บ้าง
ความผิดหวังแสนสาหัส การถูกทำร้าย ความฝันที่แตกสลาย ความสัมพันธ์ที่เสื่อมคลาย การสูญเสียสิ่งรัก การถูกหักหลัง หรือการไม่อาจทนกับแรงเสียดทานบางอย่าง
หัวใจคนเรานั้นแปลก บางครั้งก็ทนทานสู้งานหนัก แม้อุปสรรคใหญ่เท่าภูเขาก็ยังกล้าเอาชนะ แต่บางครั้งก็เปราะบางแหลกสลายได้ด้วยไม่กี่ถ้อยคำ
หกเดือนผ่านมาที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ไกลบ้าน ฉันพบว่าตัวเองบอบช้ำซวนเซไปกับหลายๆ เรื่องราวในชีวิต และต้องการการเยียวยา
๓.บ้านฉันมีนาฬิกาหลายเรือน
นาฬิกาแขวนผนังที่ฉันจับฉลากได้ในวันปีใหม่นานแล้ว นาฬิการูปดอกไม้ที่มีคนให้ นาฬิกาไขลานที่ได้มาจากตลาดของเก่าที่วัดมหาธาตุ และนาฬิกาเซรามิคที่ฉันซื้อมาจากงานเทศกาล เพราะเห็นมันเป็นงานปั้นมากกว่าเป็นนาฬิกา
รวมทั้งนาฬิกาคุกคู ที่มีนกโผล่ออกมาจากหน้าต่างเล็กๆ แล้วร้องเสียงดัง คุกคู คุกคู ตามเวลาแต่ละชั่วโมงก่อนจะผลุบกลับเข้าไป ซึ่งแม่ฉัน(แอบ)สั่งซื้อเองจากโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และแม่ก็สรุปบทเรียนได้เองเมื่อพบว่ามันยอมร้องคุกคูให้ฟังอยู่ราวๆ สิบหน
“นาฬิกาไม่ยอมเดิน” แม่ฟ้องมาทางโทรศัพท์
“ไขลานก็ไม่เดิน เปลี่ยนถ่านใหม่ก็ไม่เดิน ตายหมดทุกเรือนเลย แม่เลยไม่รู้เวลา”
“ดูตะวัน” ฉันบอก “แน่นอนกว่าเป็นไหนๆ มืดก็บอกว่ามืด เช้าก็บอกว่าเช้า ตรงกว่านาฬิกาตั้งเยอะ ดูสิบางวันนาฬิกาบอกหกโมงเย็น แต่มืดตื๋อเลย บางวันบอกจะทุ่มแล้วแต่ฟ้ายังสว่างโร่ ไม่มีความแน่นอนสักนิด”
ไม่รู้ความคิดของฉันทำแม่มึนงงหรือรำคาญ เพราะแม่ตัดบทว่า
“เออๆ แม่รู้แล้ว ดูไอ้กะทิก็ได้”
กะทิเป็นหมาเตี้ยสีขาว ขาโก่ง เท้าแป มีวงกลมสีดำรอบตาข้างหนึ่ง เมื่อไรที่มันลุกขึ้นยืนบนโต๊ะ และเริ่มครวญครางบทเพลงยอดฮิต(ของมัน) เป็นอันรู้ว่านั่นคือห้าโมงเย็น และเป็นเวลาที่เราจะต้องให้อาหารพวกมันแล้ว
ส่วนบรรดาแมวๆ จะเลิกซนแล้วลงนอนหลับอุตุครบทุกตัวราวๆ สิบโมงเช้า ตื่นครบทุกตัวราวๆ สี่โมงเย็น แล้วก็จะเล่นอย่างอึกทึกครึกโครมกันไปจนถึงเที่ยงคืน
แม่บ่นที่ฉันไม่สนใจเรื่องนาฬิกาตาย
“ช่างมันเถอะ มันเดินมานานแล้ว มันคงเมื่อย” ฉันบอกแม่ บางครั้งฉันเองก็ขี้เกียจเดิน เพียงแต่ฉันยังไม่ตาย
๔.โลกหมุนช้าลงเมื่อกลับบ้าน
ดอกน้ำค้าง
คนกรุงที่ใช้ชีวิตตามเข็มนาฬิกา อาจไม่ต้องเลือกว่าจะนั่งมองฟ้าหรือวิ่งไปตอกบัตรลงเวลาทำงาน ที่ไม่ต้องเลือกเพราะเลือกไม่ได้
ที่บ้านสี่ขา ฉันมีเวลาละเลียดยามเช้า เฝ้ามองเมฆเปลี่ยนสี ขณะที่หยดน้ำค้างค่อยๆ ระเหยหาย
บ้านเรามีเสียงเพลงกางเขน เสียงร้องของกาเหว่า เสียงโวยวายของต้อยตีวิด เสียงโฮ่งๆ เหมียวๆ และแสงแดดอ่อนโรยที่ส่องลอดใบประดู่ในยามเย็น
เจ้าตุ๊กแกใหญ่บนขื่อมักร้องเสียงดังหลังเที่ยงคืน ขณะที่เสียงลูกแหง่น้อยในคอกของเพื่อนบ้านส่งเสียงเรียกแม่ควายของมันในยามใกล้รุ่ง
รอยยิ้มสะอาดของดอกตำลึงข้างรั้ว
๕.มีสวนดอกไม้ที่ริมรั้วและรอบบ่อน้ำ
เมล็ดพันธุ์คงซ่อนตัวมาในดินที่ถูกย้ายจากที่หนึ่งมาถมอีกที่หนึ่ง รอฟ้าฝนเป็นใจ แล้วมันก็งอกขึ้นมาให้ชื่นชม ฉันจึงเป็นเจ้าของสวนทั้งที่ไม่ได้ปลูก
ดอกไม้เล็กๆ ที่ฉันแทบไม่รู้จักชื่อ แต่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม บางดอกน้อยนิดกระจิริดจนต้องแนบหน้าลงไปติดพื้นดินจึงจะเห็น
การพูดคุยกับตัวเองในใจ ถามไถ่ทุกข์สุขในความเงียบสงบ การได้เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน เฝ้ามองนกกระจิบหญ้าคาบเหยื่อมาป้อนลูกน้อยในรังที่ถักจากต้นกก สายลมสะอาดช่วยเพิ่มความโปร่งและใสในการซักฟอกตนเอง
เรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง โดยไม่เอาสุขหรือทุกข์ไปผูกติดไว้ที่ใคร
น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้
๖.ในพงหญ้ามียาใจ
หัวใจเหนื่อยล้าของบางคนอาจฟื้นคืนดีได้ด้วยรอยยิ้มของคนรัก
สำหรับฉัน คือการได้กลับไปอยู่ในวงล้อมของโลกใบเล็กที่ไม่มีเข็มนาฬิกา แต่มีแววตาห่วงใยของแม่
(ทุกวันนี้ยอมคุยด้วย แต่ยังไม่ยอมให้จับ)
ฉันรักจมูกชื้นๆ ที่ยื่นมาดมสำรวจตามตัวอย่างใส่ใจ รักอุ้งเท้านุ่มๆ และตัวอุ่นๆ ที่ปีนมาขดบนตัก รักการตื่นตอนเช้าตามเจ้าสี่ขาไปเดินเล่นเลาะรั้วและริมบ่อน้ำ
มองไปในพงหญ้า ยังมีชีวิตเล็กๆ กับจังหวะที่เนิบช้า
คอยเยียวยาหัวใจ
มุมหนึ่งของบ้านสี่ขา(ในวันหญ้ารก)ค่ะ
ที่เห็นไกลๆ นั้นเป็นคอกขององุ่นและพี่ๆ น้องๆ ที่เคยเล่าไว้ในตอน “หมาของหนู”