Skip to main content

.เรากำลังจะไปไหน


ฉันถามตัวเองในวันหนึ่ง ขณะยืนเคว้งคว้างกลางคลื่นคนที่เดินสวนกันไปมาหนาแน่นเพื่อเข้าออกและสับเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีสยาม สงสัยว่าถ้าจะต่อรถอีกขบวนหนึ่ง ควรจะลงบันไดไปชั้นล่าง หรือขึ้นบันไดต่อไปชั้นบน งุนงงสับสนกับความรีบเร่งที่อยู่รอบๆ ตัว


หนีความพลุกพล่านมาเกาะพักอยูริมระเบียง มองฝ่าหมอกควันสีเทาจางไปไกลๆ เห็นแต่ตึกสูงแน่นขนัด เบื้องล่างคือขบวนรถยาวเหยียด สารพัดเสียงอื้ออึงเต็มสองหู


นาทีนั้น ฉันรู้สึกว่าราวเหล็กที่จับอยู่เป็นระเบียงไม้ของบ้านไต้ถุนสูง มองไกลออกไปเห็นทิวเขาทอดยาว และไหลเอื่อยช้าเบื้องล่าง คือแม่น้ำที่ไหลผ่านบ้านเกิดของฉัน


ไม่ว่าเมื่อไร ฉันก็ไม่สามารถปรับจังหวะอันเชื่องช้าของตนเองให้เข้ากับจังหวะรีบเร่งของเมืองใหญ่ได้เลย

.คนเราบอบช้ำกับเรื่องอะไรได้บ้าง


ความผิดหวังแสนสาหัส การถูกทำร้าย ความฝันที่แตกสลาย ความสัมพันธ์ที่เสื่อมคลาย การสูญเสียสิ่งรัก การถูกหักหลัง หรือการไม่อาจทนกับแรงเสียดทานบางอย่าง


หัวใจคนเรานั้นแปลก บางครั้งก็ทนทานสู้งานหนัก แม้อุปสรรคใหญ่เท่าภูเขาก็ยังกล้าเอาชนะ แต่บางครั้งก็เปราะบางแหลกสลายได้ด้วยไม่กี่ถ้อยคำ


หกเดือนผ่านมาที่ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ไกลบ้าน ฉันพบว่าตัวเองบอบช้ำซวนเซไปกับหลายๆ เรื่องราวในชีวิต และต้องการการเยียวยา

 

.บ้านฉันมีนาฬิกาหลายเรือน


นาฬิกาแขวนผนังที่ฉันจับฉลากได้ในวันปีใหม่นานแล้ว นาฬิการูปดอกไม้ที่มีคนให้ นาฬิกาไขลานที่ได้มาจากตลาดของเก่าที่วัดมหาธาตุ และนาฬิกาเซรามิคที่ฉันซื้อมาจากงานเทศกาล เพราะเห็นมันเป็นงานปั้นมากกว่าเป็นนาฬิกา


รวมทั้งนาฬิกาคุกคู ที่มีนกโผล่ออกมาจากหน้าต่างเล็กๆ แล้วร้องเสียงดัง คุกคู คุกคู ตามเวลาแต่ละชั่วโมงก่อนจะผลุบกลับเข้าไป ซึ่งแม่ฉัน(แอบ)สั่งซื้อเองจากโฆษณาในหนังสือพิมพ์ และแม่ก็สรุปบทเรียนได้เองเมื่อพบว่ามันยอมร้องคุกคูให้ฟังอยู่ราวๆ สิบหน


นาฬิกาไม่ยอมเดิน” แม่ฟ้องมาทางโทรศัพท์

ไขลานก็ไม่เดิน เปลี่ยนถ่านใหม่ก็ไม่เดิน ตายหมดทุกเรือนเลย แม่เลยไม่รู้เวลา”

ดูตะวัน” ฉันบอก “แน่นอนกว่าเป็นไหนๆ มืดก็บอกว่ามืด เช้าก็บอกว่าเช้า ตรงกว่านาฬิกาตั้งเยอะ ดูสิบางวันนาฬิกาบอกหกโมงเย็น แต่มืดตื๋อเลย บางวันบอกจะทุ่มแล้วแต่ฟ้ายังสว่างโร่ ไม่มีความแน่นอนสักนิด”


ไม่รู้ความคิดของฉันทำแม่มึนงงหรือรำคาญ เพราะแม่ตัดบทว่า

เออๆ แม่รู้แล้ว ดูไอ้กะทิก็ได้”


กะทิเป็นหมาเตี้ยสีขาว ขาโก่ง เท้าแป มีวงกลมสีดำรอบตาข้างหนึ่ง เมื่อไรที่มันลุกขึ้นยืนบนโต๊ะ และเริ่มครวญครางบทเพลงยอดฮิต(ของมัน) เป็นอันรู้ว่านั่นคือห้าโมงเย็น และเป็นเวลาที่เราจะต้องให้อาหารพวกมันแล้ว


ส่วนบรรดาแมวๆ จะเลิกซนแล้วลงนอนหลับอุตุครบทุกตัวราวๆ สิบโมงเช้า ตื่นครบทุกตัวราวๆ สี่โมงเย็น แล้วก็จะเล่นอย่างอึกทึกครึกโครมกันไปจนถึงเที่ยงคืน


แม่บ่นที่ฉันไม่สนใจเรื่องนาฬิกาตาย

ช่างมันเถอะ มันเดินมานานแล้ว มันคงเมื่อย” ฉันบอกแม่ บางครั้งฉันเองก็ขี้เกียจเดิน เพียงแต่ฉันยังไม่ตาย

 

.โลกหมุนช้าลงเมื่อกลับบ้าน

12_06_01
ดอกน้ำค้าง

 


คนกรุงที่ใช้ชีวิตตามเข็มนาฬิกา อาจไม่ต้องเลือกว่าจะนั่งมองฟ้าหรือวิ่งไปตอกบัตรลงเวลาทำงาน ที่ไม่ต้องเลือกเพราะเลือกไม่ได้


ที่บ้านสี่ขา ฉันมีเวลาละเลียดยามเช้า เฝ้ามองเมฆเปลี่ยนสี ขณะที่หยดน้ำค้างค่อยๆ ระเหยหาย


บ้านเรามีเสียงเพลงกางเขน เสียงร้องของกาเหว่า เสียงโวยวายของต้อยตีวิด เสียงโฮ่งๆ เหมียวๆ และแสงแดดอ่อนโรยที่ส่องลอดใบประดู่ในยามเย็น


เจ้าตุ๊กแกใหญ่บนขื่อมักร้องเสียงดังหลังเที่ยงคืน ขณะที่เสียงลูกแหง่น้อยในคอกของเพื่อนบ้านส่งเสียงเรียกแม่ควายของมันในยามใกล้รุ่ง

12_06_02
รอยยิ้มสะอาดของดอกตำลึงข้างรั้ว

 

 

.มีสวนดอกไม้ที่ริมรั้วและรอบบ่อน้ำ


เมล็ดพันธุ์คงซ่อนตัวมาในดินที่ถูกย้ายจากที่หนึ่งมาถมอีกที่หนึ่ง รอฟ้าฝนเป็นใจ แล้วมันก็งอกขึ้นมาให้ชื่นชม ฉันจึงเป็นเจ้าของสวนทั้งที่ไม่ได้ปลูก


ดอกไม้เล็กๆ ที่ฉันแทบไม่รู้จักชื่อ แต่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม บางดอกน้อยนิดกระจิริดจนต้องแนบหน้าลงไปติดพื้นดินจึงจะเห็น


การพูดคุยกับตัวเองในใจ ถามไถ่ทุกข์สุขในความเงียบสงบ การได้เดินเท้าเปล่าบนพื้นดิน เฝ้ามองนกกระจิบหญ้าคาบเหยื่อมาป้อนลูกน้อยในรังที่ถักจากต้นกก สายลมสะอาดช่วยเพิ่มความโปร่งและใสในการซักฟอกตนเอง

เรียนรู้ที่จะดูแลตนเอง โดยไม่เอาสุขหรือทุกข์ไปผูกติดไว้ที่ใคร

12_06_03
น่ารักเมื่อเธออยู่ใกล้

 

.ในพงหญ้ามียาใจ


หัวใจเหนื่อยล้าของบางคนอาจฟื้นคืนดีได้ด้วยรอยยิ้มของคนรัก

สำหรับฉัน คือการได้กลับไปอยู่ในวงล้อมของโลกใบเล็กที่ไม่มีเข็มนาฬิกา แต่มีแววตาห่วงใยของแม่

12_06_04
ลูกแมวน้อยพเนจรที่ชอบซ่อนในกอกล้วยข้างบ้าน จะโผล่ออกมาในเวลาอาหาร
(
ทุกวันนี้ยอมคุยด้วย แต่ยังไม่ยอมให้จับ)


ฉันรักจมูกชื้นๆ ที่ยื่นมาดมสำรวจตามตัวอย่างใส่ใจ รักอุ้งเท้านุ่มๆ และตัวอุ่นๆ ที่ปีนมาขดบนตัก รักการตื่นตอนเช้าตามเจ้าสี่ขาไปเดินเล่นเลาะรั้วและริมบ่อน้ำ


มองไปในพงหญ้า ยังมีชีวิตเล็กๆ กับจังหวะที่เนิบช้า

คอยเยียวยาหัวใจ

 

 

 

12_06_05

มุมหนึ่งของบ้านสี่ขา(ในวันหญ้ารก)ค่ะ
ที่เห็นไกลๆ นั้นเป็นคอกขององุ่นและพี่ๆ น้องๆ ที่เคยเล่าไว้ในตอน “หมาของหนู”

…………………

บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…