Skip to main content

ฉัน เกร็งแขนจับไม้ไผ่ลำยาว ค่อยๆ แหวกกอผักกระเฉดที่กำลังทอดยอดงามอยู่ในบ่อ เพื่อเขี่ยซากงูเห่าตัวเขื่องขึ้นมาบนตลิ่ง ลำตัวงูอุ้มน้ำไว้จนบวมพองเท่าต้นแขน สมาชิกสี่ขาที่ยืนลุ้นอยู่รอบบ่อประสานเสียงเห่า


ใครไม่เกี่ยวถอยไป” ฉันตวาด เมื่อเห็นสองสามตัวถลาเข้ามา

ฉัน นั่งยองๆ มองซากงู นอกจากจะบวมอืดเพราะแช่น้ำแล้ว รอยฉีกขาดกลางลำตัวเพราะคมเขี้ยวหมา ยังทำให้เห็นงูตัวน้อยๆ จำนวนมาก ฉันรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อหิน บินไปก็บินมา


ปี หนึ่งเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั้งจังหวัด บ้านใต้ถุนสูงหลังเก่าของเราน้ำท่วมจนปริ่มพื้นไม้กระดาน ฉันกับน้องๆ สนุกกับการนั่งพับกระดาษเป็นเรือลอยรอบบ้าน โรงเรียนปิดยาวนานจนรู้สึกคิดถึง


หลังน้ำลดจนแห้งสนิท ฉันพบลูกงูสีดำตัวกระจ้อยร่อยนอนขดอยู่ในรองเท้านักเรียน


จาก นั้น เราก็ได้รู้ว่ามีรังงูเห่าอยู่ในโพรงดินใต้บันไดบ้าน พวกผู้ใหญ่แบกจอบเสียมและมีดพร้ามากันหลายคน เด็กๆ ถูกกันไว้ห่างๆ ได้ยินแค่ว่ามีแม่งูและลูกมากมายอยู่ในรังนั้น


แม่ ฉันหน้าซีดเหมือนจะเป็นลมเมื่อคิดว่าเราก้าวขึ้นลงข้ามรังงูทุกวัน แต่ฉันกลับรู้สึกเศร้าใจเมื่อได้ยินว่าแม่และลูกเหล่านั้นถูกฆ่าตายเกือบหมด ลุงคนหนึ่งบ่นเสียดายที่มีลูกงูบางตัวหนีไป


น่าสงสาร มันไม่มีแม่แล้วมันจะอยู่ยังไงคะ” ฉันเอ่ยถาม แต่ไม่มีใครตอบ

พิลึก เด็กคนนี้ สงสารงูเข้าไปได้” บางคนพูด


ด้วยความเป็นเด็ก ฉันจึงเสียใจกับเรื่องนี้อยู่นานทีเดียว ถ้าเพียงแต่ฉันไม่บอกใครเรื่องลูกงูในรองเท้า พวกมันคงไม่ตาย


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อทราย ย้ายไปก็ย้ายมา


นอก จากถนนดินสายเล็กๆ ที่ทอดไปยังไร่อ้อยแล้ว ด้านหลังทั้งหมดของบ้านสี่ขาก็เป็นป่ารกที่มีทั้งต้นไม้น้อยใหญ่ ดงหญ้าคาสูงท่วมเอว และพงหนามของพืชเถาหลายชนิด แม้แต่คนเลี้ยงวัวควายก็ไม่ค่อยอยากต้อนพวกมันเข้าไปกินหญ้า


ชาวบ้านบอกว่าในป่านั้นมีแต่งู และถ้ามันคิดจะออกมาเปิดหูเปิดตาข้างนอก (บ้าง) ชุมชนแห่งแรกที่ใกล้ที่สุดคือบ้านของฉัน


จำนวน งูที่ออกมาเปิดหูเปิดตามีมากกว่าที่คิด ที่เห็นบ่อยที่สุดคืองูเห่าขี้เรื้อน นอกนั้นคืองูเห่าธรรมดา งูสิง งูเขียว ครั้งเดียวเท่านั้นที่เป็นงูเหลือม ส่วนงูแมวเซาที่เคยเลื้อยเข้าไปถึงที่นอนของเพื่อนบ้านนั้น ฉันยังไม่เคยเจอ (และไม่อยากเจอ)


นี่คือหน้าตาและลวดลายของงูเห่าขี้เรื้อนขาประจำ



อีก ชื่อหนึ่งของมันคือ งูเห่าด่างพ่นพิษ ตำราบอกว่าเป็นชนิดที่ดุกว่างูเห่าธรรมดา พ่นพิษได้ไกลเกือบสองเมตร พ่นหมดสต๊อกยังสามารถผลิตพิษชุดใหม่ได้ภายใน ๒๐ นาที เรียกว่าคุณภาพการผลิตสูงมาก สมควรได้รับ ISO 2008


ครั้งที่ฉันเขียนนิทานจากบ้านสี่ขาตอน ‘ฟ้าใส ฝนดอกประดู่ และงูโชคร้าย’ เพื่อนคนหนึ่งส่งเสียงกรีดกราดมาตามสายทันทีที่ได้อ่าน

ยายบ้า เธอคิดยังไงถึงย้ายบ้านไปอยู่ใกล้ๆ งูเห่า”

ไม่ทันคิด” ฉันตอบ


ใครๆ แนะนำให้ปลูกมะนาวรอบบ้านเพื่อกันงู บางคนบอกว่าเพราะมะนาวเปรี้ยว งูเห็นแล้วเข็ดเขี้ยวเข็ดฟัน บางคนก็ว่าเพราะมะนาวมีหนาม (กุหลาบก็มีหนาม ทำไมงูไม่กลัว) ฉันยังค้นหลักฐานอ้างอิงไม่ได้ว่าทำไมต้องมะนาว


แล้วจะ ต้องปลูกมะนาวสักเท่าไรจึงจะรอบพื้นที่สองร้อยตารางวา ปัญหาสำคัญอยู่ที่ดินบ้านสี่ขา นอกจากหญ้าแล้ว อะไรๆ ก็ปลูกแทบไม่ขึ้น ถ้ามันไม่เต็มใจขึ้นเองเสียอย่างก็บังคับมันไม่ได้ ฉันหว่านเมล็ดมะนาวไว้สามปีแล้ว ไม่มีวี่แววจะงอก เคยซื้อต้นมะนาวเป็นกระถางมาปลูก ก็พร้อมใจตายจากกันไปหมด


เหตุผลที่ฉันพยายามปลูกมะนาว ก็เพื่อกันไม่ให้งูเข้ามาเจอมะพร้าว เพราะระหว่างมะนาวกับมะพร้าว ฉันคิดว่า(สำหรับงูแล้ว) มะพร้าวน่ากลัวกว่า


มะพร้าว เข้ามาเป็นสมาชิกบ้านสี่ขาเมื่อโตเต็มที่แล้ว เนื่องจากย่านเดิมที่มันเคยเร่ร่อนอยู่นั้นมีการวางยาเบื่อหมา มันได้รับการช่วยเหลือจนรอดตายอย่างหวุดหวิด จึงตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนบุญคุณด้วยการทำหน้าที่เป็นรปภ.ประจำบ้าน และงานถนัดของมะพร้าวคือการปราบงู


มะพร้าว ฝึกทักษะนี้มาจากไหน ฉันนึกสงสัยอยู่เสมอ เพราะมันเป็นหมาที่เกิดและโตกลางกรุง แต่มันสามารถมองเห็นหรือได้กลิ่นงูที่เลื้อยอยู่ห่างออกไปนับร้อยเมตร บางทีมันลุกพรวดพราดขึ้นกลางดึก วิ่งหายไปในความมืด ได้ยินเสียงโครมครามอยู่ข้างรั้วสังกะสี แล้วเราก็จะได้เห็นซากงูตัวใหญ่ในตอนเช้า


อาการ ฝักใฝ่ในหน้าที่ของมะพร้าวเข้าขั้นหมกมุ่น ในขณะที่หมู่หมาแมวพากันนอนหลับอุตุตอนกลางวัน มะพร้าวจะเดินอยู่รอบบ้าน ซุกจมูกไปตามพงหญ้า ดมไปตามซอกรั้วสังกะสี หรือไม่ก็นั่งเฝ้าอยู่ริมบ่อน้ำ บางครั้งอยู่ๆ มันก็กระโดดตูมลงไป ก่อนจะตะกายกลับขึ้นมาด้วยตัวเปียกโชกพร้อมกับคาบงูติดปากมาด้วย!


สาม สิบห้าตัว คือจำนวนผลงานของมะพร้าวในเกือบสามปีที่มาอยู่บ้านสี่ขา นับเฉพาะที่มีเศษซากหลักฐาน ที่พิสูจน์วัตถุพยานไม่ได้น่าจะมีอีกมาก เกือบทั้งหมดเป็นงูเห่า


เป็นตัวเลขที่น่าเศร้ามากกว่าน่ายินดี


แม่งูเอ๋ย กินน้ำบ่อไหน กินน้ำบ่อโศก โยกไปก็โยกมา


เพื่อน บ้านสันนิษฐานว่า งูเลื้อยเข้าบ้านสี่ขาเพื่อหาน้ำกิน หลายคนบอกว่าฉันโชคดีที่มีหมาเก่ง ในจำนวนหมาแมวถูกทิ้งกว่า ๘๐ ตัวที่อุปการะไว้ มีมะพร้าวตัวเดียวเท่านั้นที่มีคนเอ่ยขอ และแม่ของฉันก็รีบปฏิเสธ


ถ้าไม่มีมัน แม่คงไม่มีวันนอนหลับสนิท” แม่บอกด้วยอาการขนลุกขนพองอย่างคนที่ทั้งเกลียดและกลัวงู


เท่า ที่รู้มา ปกติงูจะไม่ทำร้ายใคร ยกเว้นเพราะตื่นตกใจหรือเพื่อป้องกันตนเอง แต่ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร มะพร้าวจึงจะไม่ยุ่งกับงู พอๆ กับไม่รู้จะหาวิธีไหนห้ามงูไม่ให้เข้าบ้าน นึกถึงหลายวันก่อนที่เฉาก๊วยกับเต้าส่วนตาบวมจนปิดเพราะพิษงูเขียวหางไหม้ ไม่นับเต้าหู้กับดวงดีที่เคยรอดหวุดหวิดเพราะทันฉีดเซรุ่มแก้พิษงู


ไม่ว่าหมาหรืองูเป็นฝ่ายถูกทำร้าย ฉันไม่ยินดีทั้งสิ้น

เห็นซากงูเคราะห์ร้ายแต่ละครั้ง ฉันจึงมีทั้งความความโล่งใจและเสียใจ


หน้าตาของมะพร้าวไม่ค่อยสอดคล้องกับภารกิจพิชิตงูสักเท่าไร


นั่งเฝ้าข้างบ่อตามเคย


กับงูสิงที่น่าสงสารอีกตัวหนึ่ง


บล็อกของ มูน

มูน
“เธอยังไม่รู้อีกหรือ ว่าแม่อยู่ในกระดูกของเธอตลอดเวลาเชียวละ” The Joy Luck Club     สงสัยว่า แม่กับลูกสาวบ้านอื่นๆ เขาเป็นยังไง ทะเลาะกัน เถียงกัน และทั้งๆ ที่รักกัน แต่บางเวลาก็เบื่อหน่ายกันอย่างฉันกับแม่บ้างหรือเปล่า   ตอนที่ฉันยังเด็ก บ้านเราไม่ร่ำรวย (จะว่าไป ตอนนี้ก็ยังไม่ร่ำรวย พูดง่ายๆ คือไม่เคยรวยเลยดีกว่า) แต่ก็ไม่ได้ยากจนข้นแค้น เพียงแต่เราไม่เคยมีพอที่จะซื้อหาอะไรตามต้องการได้มากนัก บางช่วง ฉันยังพับถุงกระดาษขาย (ร้อยใบได้สิบสลึง) เพื่อหาเงินไปโรงเรียน ทุกเย็นก็เดินเก็บยอดกระถินข้างทางมาจิ้มน้ำปลาพริกป่นกินกับข้าว วันไหนอยากดูโทรทัศน์ก็วิ่งไปชะเง้อดูบ้านคนอื่น…
มูน
ตอนที่แล้ว ฉันบ่นงึมงำเรื่องที่ข้าวสารบ้านสี่ขาเหลือแค่ ๒ กิโล จนต้องลงนั่งกุมขมับ แล้วก็คิดถึงวันหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว ที่โรงเรียนบนภูเขาในจังหวัดเลย วันที่ฉันต้องรับบทแม่ครัวจำเป็น เลือกไม่ถูกว่าจะภูมิใจหรือกลุ้มใจ ที่ได้รับเกียรติให้แปรวัตถุดิบมูลค่า ๗๐ บาท อันประกอบด้วยแป้งเส้นใหญ่ ๓ กิโล น้ำมันหมูเป็นไข ๒-๓ ถุง น้ำตาลทราย ๑ ถุง กับสารพัดผักดอย ให้กลายเป็นก๋วยเตี๋ยวราดหน้า โดยมีปากท้องของเด็กน้อยร้อยกว่าคนเป็นเดิมพัน ไม่แน่ใจว่าโชคชะตาแกล้งฉันหรือแกล้งเด็กๆ กันแน่ มาถึงตอนนี้ก็ต้อง(กัดฟัน)เล่าต่อ ว่าสุดท้าย ฉันและเด็กๆ รวมทั้งหมา (ภูเขา)จะลงเอยอย่างไร
มูน
วันหนึ่ง เปิดถังข้าวสารแล้วพบว่า เหลือข้าวหุงให้หมาอยู่ราวๆ ๒ กิโลกรัม ฉันปิดฝาถัง มองเก้าอี้ตัวเล็กที่พลิกคว่ำด้วยการกระโจนของเจ้าแตงกวาหมาบ้าพลัง จับเก้าอี้ขึ้นตั้งให้ถูกด้าน แล้วนั่งลงยกมือกุมขมับ (ตอนแรกว่าจะไปนอนก่ายหน้าผาก แต่ขี้เกียจเดินไปนอนที่แคร่)
มูน
...ตัวเดียวมาไร้คู่ เหมือนเราอยู่เพียงเอกา   ก็เพลงมันพาไป จริงๆ ไม่ได้อยู่เพียงเอกาหรอก มีหมาหมู่นั่งอยู่เป็นเพื่อนตั้งหลายสิบตัว ร้องเพลงนี้ตอนแดดผีตากผ้าอ้อมเริ่มจาง เห็นนก(อะไรไม่รู้) บินเฉียงๆ เป็นหมู่ๆ อยู่เหนือยอดสะเดา (ดอกและยอดงามพรั่งพรู เก็บไปลวกจิ้มน้ำพริกมื้อเย็นนี้ดีกว่า) บ้านสี่ขายามเย็นแสนจะสงบ โค้งฟ้าตะวันตกเป็นสีหมากสุก ลมพัดแผ่วเบาเห่กล่อมใบประดู่ ใจหวนคะนึงถึงความหลัง น้ำใสๆ ก็เอ่อล้นในดวงตา (จะดราม่าไปไหน?)
มูน
หนูเล็กๆ ตัวหนึ่ง วิ่งทะเล่อทะล่าเข้าไปในกรงของสตางค์ “อ้าว เข้าไปทำไมน่ะ” ฉันรำพึงกับตัวเองมากกว่าจะถามหนู ส่วนแม่ที่หันมองตามฉันร้องว้าย “ตายแล้ว ออกมาเร้ว สตางค์อย่านะ” แม่ร้องเตือนหนูและห้ามแมวไปพร้อมๆ กัน ราวกับว่ามันสองตัวจะฟังรู้ภาษา แต่เจ้าสตางค์ที่กำลังนอนหงายผึ่งพุงอยู่ แค่เอียงหน้ามองหนูผู้บุกรุก เหยียดตัวบิดขี้เกียจทีหนึ่ง แล้วพลิกตะแคงไปอีกด้าน หันก้นให้หนูซะอย่างนั้น
มูน
บางครั้ง ฉันคิดว่าตัวเองกำลังจะเหมือนพวกป้าๆ ในหนังสือเรื่อง Island of the Aunts ที่เขียนโดย Eva Ibbotson     ป้าสามคนพี่น้อง อาศัยอยู่บนเกาะกลางทะเลที่ไม่ปรากฏในแผนที่โลก โชคดีที่ไม่มีคนรู้จักเกาะนี้ นอกจากเหล่าแมวน้ำ เงือก นกนางนวล และนานาสัตว์ป่วยจากทวีปต่างๆ ที่พากันเดินทางข้ามมหาสมุทรมายังเกาะที่แสนบริสุทธิ์ เพื่อให้ป้าทั้งสามปลอบโยนและเยียวยาบาดแผลทั้งกายและใจ งานของป้ามีสารพัด เป็นต้นว่า ป้อนนมแมวน้ำกำพร้า ล้างคราบน้ำมันออกจากตัวนางเงือก หาอาหารให้นกบูบรีที่กำลังจะออกไข่ ส่งแมงกะพรุนกลับบ้าน รักษาปลาหมึกตาเจ็บ เก็บขยะที่คลื่นซัดมาบนหาด บางวัน…
มูน
เจ้าสี่ขาตัวเล็กมองลอดซี่กรงออกมาสบตากับฉัน ดวงตากลมโตคู่นั้นใสแจ๋ว เท้าน้อยๆ เขี่ยข้างกรงดังแกรกๆ มันคงไม่เข้าใจว่าทำไมจึงถูกขัง มันจะรู้ไหมว่ากรงนั้นเปิดได้ มันกำลังรอให้ฉันเปล่อยมันหรือเปล่า
มูน
“จะฝังตรงไหนล่ะคราวนี้” แม่ถาม ในขณะที่ฉันยืนถือเสียมอยู่ข้างบ่อน้ำ กวาดตาไปทั่วบริเวณบ้านสี่ขา หญ้าคาและวัชพืชหน้าฝนแข่งกันแทงยอดท่วมหัวเข่าจนยากที่จะเจาะจงชี้ชัดลงไปว่า ตรงไหนเป็น “ที่” ของใคร นึกแล้วก็น่าที่จะปักป้ายไว้ให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ไม่ต้องมาเปลืองหัวคิด แต่ถ้าปักป้ายชื่อไว้เหนือกองดินทุกกองที่เราเคยขุดและกลบฝัง บ้านสี่ขาคงดูคล้ายๆ ภาพประกอบการ์ตูนผีเล่มละบาทสมัยก่อน
มูน
มีชามใหม่ใบหนึ่งวางอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ก่อนชามใบนี้ เคยมีขันพลาสติกใบละสิบบาทวางอยู่ ก่อนหน้าขันเป็นกะละมังบุบๆ และก่อนของก่อนหน้ากะละมังบุบ ก็เป็นถาดโฟมที่เคยใส่อาหารมาก่อน
มูน
  เป็นโชคที่ไม่รู้จะจัดว่าร้ายหรือดี ที่ฉันมีโอกาสเข้าสนามม้าตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ ภาพสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลผุดขึ้นในความทรงจำ รั้วไม้สีขาวเป็นแนวยาว ขนานไปกับเส้นทางเรียบโค้งเป็นวงกลมใหญ่ เหนือสนามขึ้นไป เป็นอัฒจรรย์ที่เต็มไปด้วยเก้าอี้มากมายนับไม่ถ้วน  ในวันเวลานั้น แม่ของฉันทำงานหนักเพื่อหารายได้เพิ่มเติมสำหรับการเลี้ยงลูกเล็กๆ สามคน นอกจากเงินเดือนข้าราชการชั้นผู้น้อยที่ชักหน้าไม่ถึงหลัง แม่ยังรับจ้างพิมพ์ดีดในวันเสาร์ และทำงานเป็นคนขายตั๋วแทงม้าในวันอาทิตย์แม่ไม่ชอบสนามม้า แต่คิดว่าเมื่อโชคดีมีงานพิเศษเข้ามาก็ควรจะคว้าไว้ เพื่อให้เรามีค่ากับข้าวเพิ่มขึ้น…
มูน
“มีคนเขาว่าเราไปดูถูกเขาแน่ะ” น้าอู๊ดถีบจักรยานมากระซิบกระซาบบอกฉันที่หน้าบ้านในคืนวันหนึ่ง ก็น้าอู๊ดเจ้าเก่าที่เคยมาเรียกฉันออกไปทัวร์กองขยะตอนเที่ยงคืนแล้วเจอ “ความลับในกระสอบ” นั่นละค่ะ (http://www.prachatai.com/column-archives/node/2522)
มูน
ฉันไม่แน่ใจว่า ไฉไลเป็นเพื่อนบ้าน หรือว่าเป็นสมาชิกสี่ขาอีกตัวหนึ่งของครอบครัว เราพบกันครั้งแรกในเช้าวันหนึ่งเมื่อสองสามปีก่อน เธอนั่งนิ่งอยู่หน้าประตูรั้วบ้าน "มาเที่ยวเหรอ" ฉันถาม แต่ไฉไลเฉย ดูเหมือนเธอสนใจอย่างอื่นมากกว่าฉัน"บ้านอยู่ไหนล่ะจ๊ะ" ฉันนั่งลงถาม พยายามสบตาเธอ แต่เธอยังคงเฉย ตากลมๆ ออกจะโปนๆ เหลือบมองฉันแวบหนึ่ง แล้วมองโน่นนี่ในบ้านอย่างสำรวจตรวจตรา "ตามสบายนะ" ฉันบอก แง้มประตูรั้วไว้หน่อยหนึ่งแล้วออกไปทำงานตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็ได้เห็นหน้าไฉไลทุกวัน ไม่ทันสังเกตว่าเธอมาตอนไหนหรือกลับออกไปตอนไหน เห็นทีไร ไฉไลก็มักจะนั่งอยู่ใต้ต้นแก้วบ้าง หมอบข้างๆ กอเฮลิโคเนียบ้าง…