Skip to main content
มูน
แผงขายกล้วยปิ้งบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ดึงดูดให้ฉันลงจากรถเมล์ก่อนถึงป้ายที่ตั้งใจจะลง ตรงเข้าไปบอกแม่ค้าสาวว่า “กล้วยปิ้งสิบบาทค่ะ” เธอเหลือบตาขึ้นเหนือศีรษะแวบหนึ่งแล้วบอกด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า “ขายยี่สิบบาท”ฉันสะดุ้ง รีบมองตามสายตาที่เธอตวัดไปเมื่อครู่นี้ เห็นป้ายแขวนไว้เขียนว่า กล้วยปิ้งทรงเครื่อง น้ำจิ้มรสเด็ด ชุดละ 20 บาท“อุ๊ย ขอโทษทีค่ะ ไม่ทันเห็น เอ้อๆ งั้นกล้วยปิ้งยี่สิบบาท” ฉันรู้สึกตัวเองพูดจาเงอะงะเหมือนบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ ด้วย ไม่รู้แม้กระทั่งราคากล้วยในท้องตลาด ก็แหม กล้วยน้ำว้าบ้านฉันยังหวีละสิบบาทอยู่เลย (ยิ่งซื้อตอนตลาดวายอาจได้สามหวีสิบ)คนขายหยิบกล้วยสี่ลูกใส่ถุง ราดน้ำจิ้มเหนียวๆ แล้วใส่ไม้แหลมๆ ให้หนึ่งไม้ “สี่ลูกเอง แพงจัง” ฉันรำพึงกับตัวเอง แต่คงเผลอพูดดังไปหน่อย คนขายเลยขมวดคิ้วใส่“ราคานี้มาตั้งนานแล้วพี่”“ค่ะ ค่ะ ขอโทษที ไม่ค่อยได้มาแถวนี้” ฉันอยากยิ้มให้เธอ แต่ก็รีบหันหลังออกจากแผงกล้วยด้วยความเกรงใจคนขาย กลัวเธอเข้าใจรอยยิ้มของฉันผิดจุดหมายอยู่ห่างออกไปอีกราวๆ สองป้ายรถเมล์ แต่ฉันกำลังอยากชิมกล้วยปิ้งคนกรุง เลยตัดสินใจไม่ขึ้นรถ จะได้เดินไปกินไปอย่างสบายอารมณ์มาตรฐานความอร่อยเป็นรสนิยมส่วนบุคคล สำหรับฉัน กล้วยปิ้งนั้นฝาดไปหน่อย แถมน้ำจิ้มยังหวานแสบไส้ นึกถึงสีหน้าไร้อารมณ์ของคนขายแล้วเห็นใจเธอ ได้ยินว่า ธุรกิจกล้วยปิ้งปัจจุบันนี้มีการทำแฟรนไชส์แล้ว แสดงว่าคนไทยยังไม่เบื่อกล้วยปิ้ง แต่ทำไมหนอ เธอถึงมีหน้าตาเบื่อลูกค้าขนาดนั้น แล้วฉันก็คิดถึงรอยยิ้มของยายยายนั่งอยู่ในเพิงสังกะสีหน้าห้องแถวเก่าๆ ริมถนนในจังหวัดหนึ่งทางภาคอิสาน ตอนที่ฉันยังทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน ฉันขี่รถจักรยานยนต์ผ่านเพิงของยายเกือบทุกวันยายจะมานั่งปิ้งกล้วยขายตั้งแต่ตีห้าถึงหกโมงเย็น ยกเว้นวันที่ยายปวดเมื่อยจนลุกไม่ขึ้น แต่ทุกวันที่ยายมาขาย ยายจะมียิ้มแจ่มใสมาด้วยเสมอ เหลียวมองทีไร เห็นยายยิ้มทุกที จนฉันอยากจะคิดว่ายายยิ้มให้รถทุกคันที่ผ่านหน้ายายไปรอยยิ้มนั้นเองที่ดึงดูดให้ฉันจอดรถซื้อกล้วยปิ้ง“หนู้...” ยายจะขึ้นต้นแบบนี้ทุกครั้ง “ไปไหน้มาจ๊า กินกล้วยปิ้งของยายไหม้ อร่อยนาจ๊ะ”เสียงเหน่อๆ ของยายทำให้ฉันต้องยิ้ม ยายก็บอกไม่ถูกว่าตัวเองนั้นพูดด้วยสำเนียงจังหวัดไหน เพราะวัยกว่าแปดสิบของยายนั้น ย้ายตามลูกชายมาหลายจังหวัด จังหวัดละหลายๆ ปี ทั้งอุตรดิตถ์ จันทบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี นครราชสีมา“อู๊ย มันหลายแห่งเหลือเกิ๊น ย้ายจนยายเวียนหั้ว หนู้เอ๊ย ....”เริ่มคุ้นหน้ากัน ยายก็ถามฉันว่า “หนู้ ค้ายอะไรหรือจ๊ะ” แกชี้ไปที่ตะกร้าใบใหญ่ที่ฉันมัดไว้ท้ายรถ ฉันจึงอธิบายว่าไม่ได้ขาย ของที่เต็มตะกร้าเกือบทุกวันนั้นคือกับข้าวหมายายฟังเรื่องบ้านสี่ขาแล้วก็หัวเราะตาหยี  “เหมือนยาย เหมือนยาย”ในกระจาดกล้วยของยาย ทุกวันจะมีถุงก๊อบแก๊บหลายถุงใส่ข้าวคลุกน้ำแกงบ้าง หัวปลาบ้าง ต้มเศษเนื้อบ้าง ยายบอกว่า “เอาไว้ให้หม้า”มีหมามอมแมมหกเจ็ดตัว แวะเวียนมาหายายที่แผงกล้วยปิ้งทุกวัน ยายจะหยิบถุงก๊อบแก๊บใส่ข้าวโยนให้มันคาบไปกิน มีตัวหนึ่งมารอยายแต่เช้า กินข้าวเสร็จแล้วก็นอนข้างๆ แผงของยายไปจนถึงเย็น พอยายกลับ มันก็กลับบ้าง ยายบอกว่ากลางคืนมันนอนไหนไม่รู้ แต่กลางวันมันมาอยู่เป็นเพื่อนคุยกับยาย บางวันมันมีสีม่วงๆ เป็นหย่อมๆ เต็มตัว ยายเล่าว่ามันได้แผลมาจากไหนไม่รู้ ยายเลยเอายาสีม่วงใส่แผลให้ เมื่อแผลมันหาย ยายก็รีบบอกฉันให้ร่วมดีใจด้วยรอยยิ้มอิ่มสุข เงินที่ฉันซื้อกล้วย ยายบอกว่าจะเอาไว้ช่วยหมาที่อดอยาก วันหนึ่ง ยายเห็นฉันมีพลาสเตอร์แปะอยู่ตรงหางคิ้วเนื่องจากถูกบานหน้าต่างกระแทกใส่ ยายรีบถามไถ่อาการอย่างห่วงใย แล้วหยิบกล้วยปิ้งใส่ถุงให้จนนับไม่ทัน“ยายจ๋า หนูซื้อแค่สิบบาท ยายหยิบเกินแล้วยาย” ฉันรีบบอก“ไม่เป็นไร้ กินกล้วยปิ้งของยาย หนู้จะได้ห้ายไวๆ” ยายยื่นกล้วยถุงใหญ่ (มีเกือบยี่สิบลูก) ให้แล้วบอกด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “อ้ะ ซิบบาท”“สิบบาทยายขาดทุนแย่ แถมให้เยอะขนาดนี้หนูกินไปสามวันก็ไม่หมด” ฉันไม่ได้บอกว่า ที่ซื้อยายเมื่อวาน (และเมื่อวานซืน) ก็ยังไม่หมด“ขาดทุนอาไร้ กล้วยถูกจะตายไป๊ กินไม่หมดก็เอาไปค้ายต่อ” ยายแนะนำ“โธ่ หนูจะไปขายใครเล่ายาย” ฉันยิ้มขำ นึกถึงน้องๆ ที่ทำงานที่ถูกชวนแกมบังคับให้ช่วยกินกล้วยปิ้งทุกวัน ยิ่งช่วงที่แผลยังไม่หาย ยายจะแถมกล้วยให้จนฉันแทบกินแทนข้าวคิดถึง “เจ้าชายน้อย” ของอองตวน เดอ แซง-เต็กซูเปรี และถ้อยคำที่ว่า“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามก็อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง”เจ้าชายน้อยและนักบินเดินอยู่ในทะเลทราย “เธฮหิวน้ำเหมือนกันหรือ” นักบินถามเจ้าชายน้อยไม่ตอบ แต่พูดว่า น้ำอาจจะดีสำหรับหัวใจทั้งสองพบบ่อน้ำเมื่อรุ่งสาง เจ้าชายน้อยขอให้นักบินตักน้ำในบ่อให้ นั่นเองคือสิ่งที่นักบินค้นพบ การเดินใต้แสงดาว การค้นพบบ่อน้ำกับเสียงเพลงของลูกรอก และแรงแขนของเพื่อนที่สาวถังน้ำขึ้นจากบ่อ ทำให้น้ำนั้นสดชื่นราวน้ำหวานในงานรื่นเริงเจ้าชายน้อยบอกนักบินว่า“ผู้คนในโลกของคุณ ปลูกกุหลาบห้าพันต้นในสวนเดียว แต่เขากลับไม่เคยพบสิ่งที่เขาต้องการ”“ใช่ เขาไม่เคยพบมันหรอก” นักบินตอบเจ้าชายน้อยบอกว่า“ทั้งๆ ที่สิ่งที่เขาค้นหา อาจจะพบได้ในกุหลาบเพียงดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย”แล้วเขาก็เสริมว่า“แต่ตาของคนเราบอด สิ่งนั้นต้องหาด้วยหัวใจ”กล้วยปิ้งราคาสี่ลูกยี่สิบบาทบนถนนสายใหญ่กลางกรุง ไม่ได้อร่อยเป็นพิเศษ และฉันก็ไม่ได้อยากกินกล้วยปิ้ง เพียงแต่ฉันคิดถึงรอยยิ้มของยาย และรู้สึกว่า กล้วยปิ้งนั้นดีต่อหัวใจ
มูน
อยู่ดีๆ ฉันก็เหลือมือที่ใช้การได้ข้างเดียว แถมเป็นข้างซ้ายที่ไม่ถนัดเสียด้วยมือขวาหายไปไหนล่ะ ไม่หายหรอกค่ะ ยังอยู่ แต่มันยื่นใบลาพักชั่วคราว ฉันจำต้องอนุมัติ เพราะมันอ้างว่าเป็นคำสั่งแพทย์สาเหตุการป่วยของมือขวามาจากตัวฉันเอง มีแมวน้อยน่ารักสองตัวเป็นส่วนประกอบเสือจิ๋วกับสตางค์เป็นลูกแมวกำพร้าที่ถูกทิ้ง ความจริงมันมีพี่น้องสี่ตัว แต่อดตายไปสอง มันโชคดีที่ได้เจอฉัน หรือว่าฉันโชคดีที่มีโอกาสได้ช่วยมันก็ไม่รู้ สองแมวเลยมาอยู่บ้านสี่ขา ได้ป้อนน้ำป้อนนมกันจนโตความที่ไม่รู้ว่าแมวทั้งสองตัวเกิดเมื่อไร การคาดเดาอายุของมันจึงคลาดเคลื่อนไม่มากก็น้อย ฉันตั้งใจจะจับมันไปทำหมันก่อนวัยกลัดมันจะมาถึง แต่เกิดมีหมาๆ พากันเจ็บป่วยต่อเนื่องกันถึงห้าตัวในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ทำให้เกิดบ้านสี่ขาเกิดภาวะ "วิกฤติเศรษฐกิจ" โครงการทำหมันแมวประสบภาวะชะงักงัน เนื่องจากการเงินของเจ้าของแมวขาดสภาพคล่อง เพื่อความปลอดภัย ฉันตัดสินใจเอาเสือจิ๋วกับสตางค์ใส่กรงไว้ก่อน เพราะมีแมวสาวๆ ที่ยังไม่ทำหมันอยู่หลายตัว สองแมวน้อยไม่มีทีท่ารังเกียจกรง แถมยังรักกันนักหนา เดี๋ยวเล่นเดี๋ยวเลียเนื้อตัวให้กัน กอดปล้ำกันจนกรงสะเทือน บางทีมีส่งเสียงเหมียวๆ คุยกันเสียด้วย ยามนอนก็กอดกันหลับปุ๋ยทุกคืน ใครจะนึกว่า ระหว่างแมวตัวผู้ "ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร"เช้าวันหนึ่ง ฉันจึงตื่นด้วยเสียงแหบห้าวสองเสียงที่แผดใส่กันดังสนั่น ตอนแรกนึกว่าฝันไป เฮ้ย ไม่ใช่นี่หว่า เสียงมาจากกรงแมว ลุกไปดูด้วยความแปลกใจ ไม่ทันคิดว่าลูกแมวน้อยจะแตกเนื้อหนุ่มในช่วงข้ามคืนเสือจิ๋วกับสตางค์เบียดพิงกรงอยู่คนละด้าน กำลังโก่งตัวพองขน ส่งเสียงเถียง(หรือท้ารบก็ไม่รู้) กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ยังไม่ทันที่ฉันจะประเมินสถานการณ์ สองแมวก็พุ่งใส่กันเหมือนคู่ชกมุมแดงและมุมน้ำเงินบนเวทีมวยราชดำเนิน โรมรันพันตูอยู่ในกรงจนขนกระจุยกระจาย ฉันกลัวสตางค์ที่ตัวเล็กกว่าจะโดนฟัดตาย จึงเปิดกรงเอื้อมมือเข้าไปดึงสตางค์ออก พริบตานั้น เสือจิ๋วที่กำลังเมามันกับการต่อสู้ก็กระโจนเข้าขย้ำมือขวาของฉันเต็มที่ ฉันสะบัดมือขึ้นด้วยความเจ็บปวด เขี้ยวที่ยังฝังอยู่จึงแหวกเนื้อเป็นทางยาว เสือจิ๋วถอนเขี้ยวแล้วกัดซ้ำ ทั้งกัดและตะกุยด้วยกรงเล็บตั้งแต่หลังมือจนถึงข้อศอก พริบตาเดียว มือฉันก็พรุน เลือดพรูออกมาจากทุกๆ รอยแผลเหมือนถุงใส่น้ำที่มีรูรั่ว ฉันร้องไม่ออกเพราะตกใจ ผงะหงายหลังออกจากกรงจนเกือบหกล้ม รีบใช้ชายเสื้ออุดปากแผล แต่เอาไม่อยู่ (เพราะมีหลายรูเกินไป) เลือดไหลจนชุ่มเสื้อ บางส่วนหยดเป็นดวงๆ บนพื้นบ้าน ฉันก้มหน้าเห็นเลือดก็ตาลาย นึกได้ว่าต้องล้างแผลเป็นอันดับแรก รีบตะกายไปเปิดก็อกน้ำใส่มือและแขน เลือดไหลพลั่กๆ ปนกับน้ำจนแดงเต็มพื้น สีเข้มยิ่งกว่ายาอุทัยทิพย์ฉันตกใจเสียดายเลือดตัวเองจนใจสั่นหวิวๆ รีบเอามือซ้ายรัดข้อมือขวาเพื่อห้ามเลือด เดินโซเซกลับมาล้มนอนบนแคร่เพราะหน้ามืด รู้สึกปวดแผลจนจะเป็นลม แต่ไม่กล้าเป็น เพราะกลัวว่ามือที่กดแผลไว้จะหลุด แล้วเลือดจะไหลหมดตัว จินตนาการว่าถ้าตายไปใครจะให้ข้าวหมาแมวนอนหลับตากดแผลอยู่ราวห้านาที นึกได้ว่ากรงเปิดอยู่ ตายละ เดี๋ยวมันกระโจนไล่กันข้าวของพังหมด (ยังอุตส่าห์ห่วงสมบัติ) ฝืนสังขารลุกมาดู เห็นกรงว่างเปล่า ปรากฏว่าสองแมวไปแอบหลบกันอยู่คนละมุมบ้าน จานอาหารกับอ่างน้ำหกกระจายระเนระนาดเจ้าน้อยหน่า หมาในบ้านตัวหนึ่งกระโดดไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนโมเม หมาพิการผู้น่าสงสารของฉันอุตส่าห์กระเสือกกระสนไปซุกอยู่ใต้แคร่ เลยจำต้องเลิกหน้ามืด กัดฟันล่อให้เสือจิ๋วเข้ากรง ไล่สตางค์ลงตะกร้าแล้วปิดฝา รู้สึกปวดแผลจนหน้ามืดอีกรอบหนึ่ง กลั้นใจดูสภาพยับเยินของมือและแขนแล้วก็เห็นว่าต้องไปโรงพยาบาลสถานเดียว กัดฟัน(จนเกือบหัก) อีกครั้ง ซมซานขี่รถออกไป ไม่รู้ว่าขี่ได้ยังไงโดยไม่ตกถนน แต่แล้วฉันก็ฝืนไปโรงพยาบาลไม่ไหว เพราะอยู่ห่างออกไปกว่าสิบกม.เลยไปหมดแรงแค่สถานีอนามัยตำบล“แผลลึกนะคะนี่ ต้องรักษากันยาวเลย” เจ้าหน้าที่พยายามยัดผ้าก็อซชุบยาลงไปในแผลจนหมดทั้งชิ้น ฉันมองดูกรรมวิธีทำแผลที่ดูเหมือนการยัดนุ่นใส่หมอนแล้วก็เกือบเป็นลมอีกครั้งกว่าจะเสร็จเรื่อง วันนั้นหมาแมวได้กินข้าวเกือบเที่ยงคืนเพราะฉันหิ้วหม้อข้าวไม่ไหวผ่านไปสองวัน มือและแขนของฉันก็อักเสบ บวมเป่งเหมือนใส่นวมนักมวย ลองกดดูก็นิ่มๆ เหมือนลูกโป่งที่ใส่น้ำเข้าไปจนพองแทนการเป่าลม  มองอีกทีก็เหมือนแขนป๊อบอายหลังกินผักโขม ดูแล้วตลกดีนึกถึงปฏิกิริยาของบางคนที่รับรู้เหตุการณ์ระทึกใจในบ้านสี่ขาคนที่ทำแผลให้ฉันบอกว่า “ยังจะเลี้ยงมันไว้อีกหรือคะ น่าจะทิ้งๆ ไปซะ เดี๋ยวก็ถูกกัดอีกหรอก”เพื่อนบ้านคนที่เคยเอาหมาแลกถังถึงกับเดินมาขอดูบาดแผล แล้วแสดงทัศนะส่วนตัวว่า “เป็นฉันหน่อยไม่ได้ จะทุบหัวให้ตายคามือเดี๋ยวนั้นเลย”อีกคนบอกว่า “บอกแล้วไง อย่าไว้ใจสัตว์หน้าขน เลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่อง” แถมอาสาว่า “ถ้าไม่กล้า จะจัดการให้เอามั้ย”ทำไมบางคนจึงชอบแก้ปัญหาด้วยความรุนแรง ฉันโทรศัพท์เล่าให้แม่ฟัง แม่(ซึ่งถือหางข้างแมว)บอกว่า “จะเอาสำนึกอะไรนักหนากับหมาแมว อยู่ๆ มันมากัดเล่นๆ เมื่อไหร่ เราไปยุ่งกับมันเองแท้ๆ ทีคนมีสมองมากกว่ายังทำผิด แล้วก็ไม่ใช่จะประหารชีวิตกันง่ายๆ นะ ยังมีขออภัยโทษ นี่อาไร้ เป็นสัตว์เข้าหน่อย เอะอะก็จะฆ่าจะแกง” แล้วแม่ก็สรุปว่า “คนใจดำ”ในเรื่องร้ายๆ ฉันพบว่ามีหลายเรื่องดีๆ การที่มือขวาใช้ไม่ได้ ทำให้ฉันค้นพบศักยภาพของมือซ้ายที่ทำอะไรได้มากกว่าที่คิดชีวิตประจำวันของบ้านสี่ขา อันประกอบไปด้วย ก่อไฟ หุงข้าว(ให้หมา) ซักผ้า ล้างจาน หิ้วน้ำรดต้นไม้ เผาขยะ กวาดอึหมา เก็บอึแมว และอีกร้อยเรื่องจิปาถะ ฉันพบว่ามือซ้ายก็ทำได้ แม้จะไม่เรียบร้อย และใช้เวลามากกว่ามือขวาหลายเท่า รู้สึกว่าตัวเองใจเย็นขึ้นอีกเยอะเป็นช่วงเวลาที่เรียกได้ว่า “ปากกัดตีนถีบ” จริงๆ อะไรที่มือเดียวทำไม่ได้หรือไม่ถนัด ฉันจำเป็นต้องใช้ทั้งปากและเท้าช่วยใครอยากรู้ว่ายากแค่ไหน ลองนุ่งผ้าถุงด้วยมือข้างเดียวดูนะคะ มือข้างที่ไม่ถนัดนั่นละค่ะ ใครนุ่งได้ง่ายๆ และรวดเร็วช่วยบอกวิธีให้ด้วยมีคนถามว่าฉันจัดการยังไงกับเสือจิ๋ว ฉันว่า หาวิธีจัดการกับตัวเองสนุกกว่าสิ่งหนึ่งที่ฉันคิด ขณะที่กำลังพยายามเขียนเรื่องนี้ให้สำเร็จด้วยมือซ้าย ก็คือ ถึงแม้เราจะรักและหวังดีต่อชีวิตแมว หรือชีวิตใครก็ตาม ในบางวิถี เราก็ไม่มีสิทธิยื่นมือเข้าไปแทรกขอบใจเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋ว ที่ทำให้คน(บางคน)ตระหนักในที่ทางและศักยภาพของตัวเอง
มูน
ฝรั่งมักเลี้ยงหมา ไม่ใช่ในฐานะสัตว์เฝ้าบ้าน แต่เป็นสมาชิกในครอบครัว ฝรั่งคนหนึ่งบอกว่า ชีวิตสมบูรณ์ของผู้ชาย ต้องประกอบด้วย การงาน บ้าน ภรรยา ลูกๆ และหมาอย่างน้อยหนึ่งตัวการเลี้ยงหมา(อย่างถูกวิธี) ช่วยกล่อมเกลาจิตใจเด็กๆ ให้ละเอียดอ่อนและรู้จักความรับผิดชอบ เพราะหมาพูดไม่ได้ ต้องอาศัยการใส่ใจสังเกตว่าเมื่อไหร่ที่มันหิว หนาว ร้อน หรือป่วยไข้ไม่สบาย การใส่ใจในทุกข์สุขของอีกชีวิตหนึ่ง สอนให้เด็กๆ อ่อนโยนและลดความเห็นแก่ตัว นักจิตวิทยาบอกว่า เด็กมักสบายใจที่ได้บอกเล่าความลับหรือปรับทุกข์กับเพื่อนสี่ขา ในหลายๆ เรื่องที่เขาไม่อาจสื่อสารกับผู้ใหญ ทั้งเด็กๆ ยังได้หัดเผชิญกับความสูญเสีย เพราะหมานั้นอายุสั้นกว่าคนหลายเท่าวงการแพทย์พบว่า หมาแมวสามารถเยียวยาอาการเจ็บป่วยของเด็กๆ และช่วยฟื้นฟูผู้ชราที่เป็นโรคซึมเศร้าให้ดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์ตลอดเวลาที่อยู่กับเจ้าสี่ขากว่าเจ็ดสิบตัว ฉันรู้สึกว่าชีวิตเรียนรู้เท่าไรก็ไม่หมด ไม่น่าเชื่อว่าการคลุกคลีกับสัตว์ที่พูดไม่ได้ และ(บางครั้ง)เดาใจไม่ออก จะทำให้ฉันสามารถอยู่กับคนได้อย่างปล่อยวางมากขึ้น ไม่มีเงื่อนไข และไม่คาดหวังนึกถึงเรื่อง “พบกันวันคิดถึง” หรือ See you anytime I want ของคิคุตะ มาริโกะ หนังสือภาพเล่มเล็กๆ ที่ได้รับรางวัลชมเชยจากงานมหกรรมหนังสือเด็กโบโลนญา ปี 1999 และจำหน่ายมาแล้วกว่า 1,000,000 เล่มในประเทศญี่ปุ่นเป็นเรื่องราวความผูกพันของเพื่อนรักคู่หนึ่ง ชิโระกับมิกิ เหตุเกิดขึ้นอย่างกระทันหันชิโระต้องก้าวข้ามความโศกเศร้าพอหลับตาลงแล้วคิดถึงเรื่องราวของมิกิจังผมจะได้พบมิกิจังเสมอแม้อยู่ไกล เราก็อยู่ใกล้กันภายใต้เปลือกตา เราไม่เคยเปลี่ยนแปลงเรายังคงเหมือนวันเวลานั้นผมพบกับมิกิจังทุกเวลาที่คิดถึง........เป็นหนังสือที่หยิบเอาเรื่องความตายมาอธิบายได้อย่างสวยงาม ทั้งยังบอกวิธีรับมือกับความเศร้าได้อย่างอ่อนโยน ภาพลายเส้นง่ายๆ ของหมาน้อยในหนังสือ เรียกรอยยิ้มได้ทุกครั้งที่อ่าน แม้บางครั้งจะดึงให้เรานึกถึงเรื่องที่อยากร้องไห้หมาแมวบ้านสี่ขาล้วนมีความเป็นมาที่น่าเศร้า หลายตัวผ่านการถูกทำร้าย อดอยากขาดแคลนทั้งอาหารและความรัก จึงเจ็บป่วยอ่อนแอทั้งกายและใจ ถึงจะพลิกฟื้นคืนความแจ่มใสได้ แต่หลายตัวก็อายุไม่ยืนยาวนัก การนั่งมองเพื่อนสี่ขาหมดลมหายใจในมือของฉันตัวแล้วตัวเล่า ไม่ได้ทำให้เกิดความเคยชิน การจากพรากแต่ละครั้งยังสะเทือนใจไม่ต่างกัน ยุ่งยิ่งเป็นหมาเล็กๆ อีกตัวหนึ่งที่ฉันรับเลี้ยงไว้ ครั้งแรกที่พบกันนั้น เป็นระหว่างทางที่ฉันกลับจากการจัดรายการวิทยุที่ FM 103 มหาวิทยาลัยขอนแก่น ลูกหมาตัวหนึ่งนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนพื้น แทบทุกตารางนิ้วของผิวหนังเต็มไปด้วยเห็บ หมัด และเหา ทั้งเกาะติดแน่นและไต่ยั่วเยี้ยเต็มตัวจนไม่อาจนับจำนวนได้ฉันขนลุกเมื่อมองเห็บที่กระจุกอยู่เหมือนเมล็ดข้าวโพดในฝัก ลูกหมาตัวนี้กำลังจะตาย ดวงตากลมโตแต่เซื่องซึมของมันบอก พี่น้องตัวอื่นๆ ของมันถูกขายไปแล้ว เหลือแต่ยุ่งยิ่งที่ตัวเล็ก อ่อนแอ และไม่สวย แม่ของมันกำลังถูกบำรุงเพื่อท้องลูกครอกใหม่ ยุ่งยิ่งเป็นหมาที่ไม่มีใครอยากได้ แม้แต่เจ้าของของมัน “ขอได้ไหม” ฉันถามเจ้าของ และเมื่อเขาบอกอย่างไม่สนใจว่า “ก็เอาไปสิ” ฉันจึงหยิบเจ้าตัวกระจ้อยร่อยเบาหวิวใส่ถุงและรีบพาไปหาหมอ สัตวแพทย์อุทานด้วยความตกใจเมื่อเห็นปริมาณเห็บหมัดบนตัวเจ้าหมาน้อยยุ่งยิ่งโตขึ้นเป็นหมาแคระแกร็นเพราะสุขภาพไม่ดี หมอบอกว่าหมาตัวนี้อายุไม่ยืน แต่ฉันพยายามยืดชีวิตมันไว้ให้นานที่สุด ให้มันมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขที่ขาดไปในวัยเยาว์ แต่ยุ่งยิ่งเป็นโรคโลหิตจางและมีภูมิคุ้มกันต่ำ มันจึงป่วยบ่อยๆ ด้วยสารพัดโรค  เกือบห้าปีที่วนเวียนกินยา ฉีดยา และให้น้ำเกลือ ยุ่งยิ่งอยู่กับฉันอย่างน่ารักน่าสงสาร มันสงบเสงี่ยมเจียมตัว พอใจเพียงแค่ได้มานอนซุกเงียบๆ อยู่บนตัก และมีความสุขอย่างเห็นได้ชัดเมื่อฉันอุ้มไปเดินเล่น ยุ่งยิ่งสามารถนั่งนิ่งๆ ได้นานครึ่งค่อนวัน มีเพียงดวงตากลมโตที่กลอกตามความเคลื่อนไหวของฉันตลอดเวลา อย่างที่ฉันไม่เคยเห็นจากหมาตัวไหนๆ แม้ในชั่วโมงเจ็บปวดทุรนทุราย ตาคู่นั้นก็ไม่เคยเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อื่นวันที่เขียนเรื่องนี้ ฉันเพิ่งขุดหลุมฝังยุ่งยิ่ง แดดจัดจ้าทำให้ผิวดินร้อนระอุ ทั้งแน่นและแข็ง เหวี่ยงจอบแต่ละทีสะเทือนไปทั้งไหล่ แต่ฉันก็พยายามขุดให้ลึกที่สุด เพื่อให้ถึงเนื้อดินเย็นๆ ข้างล่างฉันบรรจงจัดท่านอนให้ยุ่งยิ่ง เกลี่ยดินกลบตัวมันจนแน่น แล้วก็นั่งเป็นเพื่อนมันอยู่อีกนาน คิดว่าข้างใต้นั้นคงเย็นสบาย เจ้าหมาน้อยจะไม่ทุรนทุรายอีกต่อไป ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเลี่ยงได้ ทุกชีวิต จะคนหรือหมา สุดท้ายก็ต้องกลับคืนสู่ผืนดินนึกถึงเมื่อไม่กี่ปีก่อน ที่เคยนั่งอยู่บนพื้นดินใต้ต้นสะเดาเก่าแก่ที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอิสาน ลึกลงไปใต้โคนต้นสะเดา ฝังกระดูกของพ่อฉันไว้ ตอนนั้นฉันก็คุยกับพ่อว่า ข้างใต้นั้นคงเย็นสบายนะ พ่อน่าจะหลับสบาย ใช่ไหมพ่อไม่มีใครจากไปอย่างแท้จริงตราบเท่าที่เรายังรักและคิดถึงเขาเสมอเราพบกับคนที่เรารักทุกเวลาที่คิดถึง
มูน
ในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน บางครั้งมีสายใยที่มองไม่เห็นผูกโยงเราไว้ด้วยกัน และสายใยเส้นนั้นก็อาจถักทอมาจากหนวดหรือขนแมวสักตัวหนึ่ง หลายคราวที่คนไม่รู้จักกัน มาพบเจอ พูดคุย และถูกชะตากันด้วยเรื่องของเจ้าสี่ขา เป็นไปได้ว่า ในโลกของมิตรภาพอันไร้เงื่อนไข ไม่อาจมีกำแพงใดๆ ตั้งอยู่ได้เย็นวันเสาร์ที่ 22 กันยายน 2550 แรงดึงดูดทางโทรศัพท์จากน้องสาวน่ารักชื่อน้องยู “ไปคุยเรื่องแมวๆ กันนะคะพี่” ทำให้ฉันเต็มใจนั่งรถบขส.จากบ้านนอกเข้ากรุง มุ่งไปโรงละครมะขามป้อม สี่แยกสะพานควาย ที่พลพรรครักแมวรวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะเพื่อชุมชนเป็นงานเล็กๆ ที่แสนอบอุ่น มีคนรักแมว คนเลี้ยงแมว คนไม่เลี้ยง(แต่รัก)แมว คนอยากเลี้ยง(แต่แพ้)แมว รวมทั้งคนที่รักคนรักแมว(อีกที) มาคุยกัน ดูนิทรรศการแมวๆ ผลัดกันเล่าเรื่องแมว นินทาแมว วาดรูปแมว กินขนมเค้กหน้าแมว และช่วยกันซื้อเสื้อแมว(ให้คนใส่) เพื่อรายได้เล็กน้อยๆ จะมอบให้กองทุนแมวไร้เจ้าของแถบสะพานควาย ที่มีจำนวนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อที่น่ารักเป็นอย่างยิ่ง คือมีพ่อค้า แม่ค้า คนหาเช้ากินค่ำในย่านสะพานควาย แวะเวียนมาร่วมงานด้วยหัวใจอันอ่อนโยนของคนที่เมตตาสัตว์ร่วมชุมชน บางคนโผล่เข้ามาในผ้ากันเปื้อนมอมๆ มาคุยเรื่องแมว แล้วรีบผลุบกลับออกไปเพราะ “ทิ้งร้านเอาไว้นะเนี่ย”อยากรู้จริงว่าสะพานควายมีแมวกี่ตัว “ร้อยหกสิบเอ็ดตัวค่ะ” เด็กหญิงเล็กๆ ลูกหลานชาวสะพานควายที่มาร่วมงาน บอกเสียงดังฟังชัด แถมยืนยันด้วยการกางแผนผังให้ฉันดู เป็นแผนผังที่สถาปนิกใจดีชื่อพี่เบนวาดขึ้นมา มีชีวิตชีวาอันพลุกพล่านย่านสะพานควายแทรกอยู่ในห้างร้าน ตลาด อาคาร ถนน ต้นไม้ รวมทั้งประชากรแมวที่เธอบรรจงใส่ลงในภาพอย่างตั้งอกตั้งใจ “ไม่น้อยไปหรือคะ” ฉันแกล้งถาม ก้มดูแผนผังที่มีแมวแทรกอยู่แทบทุกตารางนิ้ว ยิ้มกับขบวนแมวที่กำลังข้ามถนนกันเป็นพรวน“หนูนับตั้งสองรอบ มีแค่นี้เองค่ะ” หนูน้อยตอบราวกับว่า จริงๆ มันมีมากกว่านี้พี่นวล บ.ก.สำนักพิมพ์วงกลม เป็นหนึ่งในหัวเรี่ยวหัวแรงของงาน พอฉันถามไถ่ว่าทำไมเธอจัดงานนี้ ทั้งๆ ที่เธอกลัวแมว “เพราะพี่ชอบฟังคนคุยกันเรื่องแมว ฟังแล้วสนุกทุกทีเลย” พี่นวลตอบพลางยิ้มพลางอย่างอารมณ์ดีนิทรรศการเล็กๆ ที่เล่าเรื่องแมวและคนรักแมวในชุมชนย่านสะพานควาย ทำให้เราได้รู้จักเสือน้อย แมวเปอร์เซียขี้หงุดหงิดที่ชอบนอนบนตู้แช่หน้าร้านขายของชำสวัสดี เสือน้อยมีใบหน้าที่ไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้ ตอนที่พวกเราแวะเอาอาหารแมวไปให้ ฉันเกิดอยากรู้ว่าเสือน้อยกำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เจ้าของร้านจ้องหน้ามันอยู่พักหนึ่งแล้วว่า “ไม่แน่ใจแฮะ” มือฉันที่กำลังเอื้อมไปหามันจึงหดทันทีเราได้รู้จักเหมียวใหญ่ แมวแสนงอนที่ร้านเสริมสวยของพี่อลิน กับถุงทอง แมวประจำร้านสมุนไพรและแผงลอตเตอรี่ที่หวงตัวสุดๆ พอพวกเราโผล่ไป มันรีบหนีไปซ่อน เห็นแต่ดวงตาแวววับที่จ้องมาจากใต้โต๊ะยังมีเดี่ยว อ้วน และบราซิล สามแมวรู้มากที่พี่จรี เจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อวัวหลีง้วนบอกว่า ตัวหนึ่งๆ จะขอลูกชิ้นกินวันละสามสิบลูก!!ฉันคุยกับพี่เจี้ยบและพี่เลิศ คนขายไก่ย่าง ที่เลี้ยงอดีตแมวจรจัดไว้ในบ้านแปดตัว แมวนอกบ้าน(แถวศาลเจ้า) อีกเกือบสิบตัว พี่เจี๊ยบบอกว่าจ่ายค่าปลาทูวันละสิบเข่ง (ไม่นับค่าอาหารเม็ด นม และค่าทำหมัน) และแมวทุกตัวของพี่จะหอมกรุ่นเป็นพิเศษทุกวันจันทร์ซึ่งเป็นวันอาบน้ำแมวประจำสัปดาห์ไม่กี่วันมานี้เพิ่งมีคนเอาลูกแมวมาทิ้งอีกสองตัว พี่เจี๊ยบอดไม่ได้ต้องเอาอาหารและนมไปให้ด้วยความเวทนา ฉันเดาว่าไม่ช้า พี่ทั้งสองต้องเพิ่มค่าปลาทูแน่ๆโจโจ้ เป็นแมวตัวเบ้อเริ่มที่อยู่ร้านเสริมสวยของป้าหงษ์ ขนนุ่มแน่นของมันชวนลูบเล่นเป็นอย่างยิ่ง แรกๆ โจโจ้นอนนิ่งให้ลูบโดยไม่แสดงอาการใดๆ ฉันได้ใจลูบไม่หยุด โจโจ้คงรำคาญเลยลุกออกไปกางเล็บฝนกับขาโต๊ะดังแกรกกรากเหมือนจะบอกว่า ลองมาลูบอีกทีสิ อีกตัวที่น่าทึ่งคือเจ้าแสตมป์ แมวเร่ร่อนที่ทุกๆ วันตอนตีห้าจะมาเกาประตูห้องแถวของพี่สุณี คนขายไก่สดในตลาดสุดาเพื่อขอกินมื้อเช้า บางวันแวะไปขอกินมื้อเย็นพี่สุณีที่แผงเสียด้วย หลายคนสงสัยว่ามันคิดได้ยังไงว่า ถ้าไม่เจอพี่สุณีที่บ้าน มันต้องไปหาในตลาด ดำเป็นแมวไม่มีเจ้าของ ชอบมุดเข้าออกตรงรูกำแพงของโรงแรมสุภาพ แต่น้าศาสตร์ คนขับรถแท็กซี่จะมีอาหารเม็ดมาให้ดำและแมวเร่ร่อนไร้ชื่อตัวอื่นๆ เป็นประจำ บางวันก็เป็นปลาดุกย่างจากรถเข็นขายส้มตำแถวนั้น น้าศาสตร์มีความเชื่อส่วนตัวว่าแมวเป็นเทพเจ้า จึงตั้งจิตอธิษฐานด้วยความเคารพทุกครั้งที่ให้อาหารแมว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ามีโชคดีเกิดขึ้นกับน้าศาสตร์เสมอๆ ยังมีเรื่องราวของไข่ตุ๋น สามสี ถุงเงิน โมโม่ โชค น้ำหวาน เก๋ง และอื่นๆ อีกมากมาย ที่บอกเล่าถึงชีวิตเล็กๆ ในย่านสะพานควายและหัวใจเอื้ออารีที่คนมีให้แมว งานวันนั้น หลายคนยิ้ม หัวเราะและนั่งคุยกันอย่างสนิทใจทั้งที่ไม่รู้จัก แต่เราเชื่อมโยงกันโดยใช้แมวเป็นสะพาน จนฉันอยากจะเรียกย่านนั้นใหม่ว่า สะพานแมว ถ้าใครมีโอกาสไปแถวสะพานควาย ไม่ต้องเสียเวลามองหาควาย แต่ลองสังเกตประชากรแมว ถ้าเจอก็ทักทายกันบ้างนะคะ ไม่แน่ว่าสักวันเราอาจจะได้พบกัน และได้เป็นเพื่อนกัน ผ่านสายสัมพันธ์แบบเหมียวๆ ก็ได้หรือไม่ต้องไปถึงสะพานควาย รอบๆ ตัวคุณก็อาจมีแมวหรือหมาไร้บ้านวนเวียนอยู่ใกล้ๆ รอความรักความใส่ใจที่ยืนยันว่า โลกนี้ไม่ได้แห้งแล้งอย่างที่คิดและสังคมอันอุดมด้วยคนแปลกหน้า ก็อาจดำรงอยู่ได้ด้วยสายใยที่มองไม่เห็นเช่นนี้เอง