Music
Scorpions อัลบั้มล่าสุด Humanity - Hour I เป็นอัลบั้มที่วงแมงป่องได้กลับมาผยองเดชอีกครั้ง ซึ่งดนตรีในแบบของสกอร์เปี้ยนส์ยุคเก่าได้ผสานกับดนตรียุคใหม่อย่างกลมกลืน แม้จะมีเสียงกีต้าร์หนักแน่น มีพลัง แต่เมโลดี้สวยๆ ในแบบของ Scorpions ก็ยังคงไม่เสื่อมคลายไป และแน่นอนว่าเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์ของ Klaus Meine ซึ่งอาจจะโรยไปบ้างตามอายุไข แต่ก็ยังคงมาตรฐานและความเป็น Klaus Meine ได้อย่างเต็มเปี่ยมหากแฟนๆ ยุคเก่าของ Scorpions ได้มาฟังอัลบั้มนี้คงอาจจะทำให้ไพล่รู้สึกคิดถึงบรรดาบทเพลงสุดคลาสสิกของพวกเขาขึ้นมา ซึ่งเพลงเหล่านั้นถึงขั้นมีออกมาให้ร้องเป็นคาราโอเกะ ไม่ว่าจะเป็น Wind of Change, Always Somewhere, You and I, Holiday หรือแม้กระทั่ง Still Loving Youแต่ด้วยอะไรรอบตัวในตอนนี้ เพลงที่ผมนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ กลับเป็นเพลงเศร้าๆ อย่าง Send me an Angel, Under the same sun และ White Dove จะว่าเศร้า หดหู่ จนไร้ความหวังก็ไม่ใช่ จะว่ามีความหวังก็ไม่เชิงนัก แต่สิ่งที่บทเพลงเหล่านี้ขับขานออกมาได้เป็นอย่างดีคืออารมณ์ความรู้สึกร่วมทุกข์แบบที่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ และจริงอยู่ความเห็นใจอย่างเดียวไม่อาจแก้ปัญหา แต่บทเพลงเหล่านี้ โดยเฉพาะเพลง White Dove ก็ได้เปรียบเหมือนตัวแทนบอกความรู้สึกของคนที่ได้แต่มองสถานการณ์อยู่ห่างๆ เช่นเดียวกับพวกเขา …เช่นเดียวกับผม“And now you’re telling meYou’ve seen it all beforeI know that’s right but stillIt breaks my heartWell, the golden lamb we’ve sentMakes us feel better nowBut you know it’s just a dropIn a sea of tears”“และตอนนี้คุณก็บอกฉันว่าคุณได้เห็นมันมาหมดแล้วฉันรู้คุณพูดถูกแต่ว่ามันยังคงทำให้ฉันเจ็บปวดอยู่ดีแกะทองคำที่เราส่งไปทำให้เรารู้สึกดีขึ้นในตอนนี้แต่คุณก็รู้สุดท้ายมันเป็นได้เพียงแค่หยดหนึ่งในทะเลแห่งน้ำตา”- White Dove -ท่อนนี้ของเพลง White Dove (พิราบขาว) สะเทือนใจผมมาตั้งแต่ตอนที่ผมยังอยู่ในสมัยเรียนมัธยม ในตอนนั้นจะยังคงไม่อาจตีความอะไรจากเพลงนี้ได้ เพราะผมยังเป็นเด็กโง่ ยังไม่รู้ว่าการต่อสู้ของประชาชนเพื่อเสรีภาพในหลายๆ ประเทศมันมีราคามากกว่าการเสี่ยงชีวิตจากกระสุนปืนของทรราชย์ มันทำให้เกิดผู้ลี้ภัย เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง การขอความช่วยเหลือที่ยากจะมาถึง ฯลฯ และแกะทองคำ ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ความสงบสุขกลับมาได้จริงๆKlaus Meine เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า ตัวเขาเองก็อยากจะทำเพลง ให้คนที่ได้ฟังเพลงของเขามีความหวัง เด็กหนุ่มสาวในประเทศที่ยังคงมีสงครามกลางเมืองบอกว่า พวกเขาที่มีไฟฟ้าใช้แค่วันละชั่วโมง ได้มีโอกาสฟังเพลงของ Scorpions แล้วรู้สึกมีกำลังใจจึงไม่แปลก ที่หลายเพลงของวง Scorpions จึงกล่าวถึงเด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างเปี่ยมไปด้วยความหวัง แม้บางเพลงอย่าง Moment of Glory จะดูเป็นความหวังที่ดูยิ่งใหญ่เกินไปก็ตามในอัลบั้มล่าสุด Humanity - Hour I นี้ก็มี Desmond Child หนึ่งในโปรดิวเซอร์มาช่วยคิดคอนเซปต์ให้ ซึ่งดูเหมือนว่ากาลเวลาที่ผันผ่านคงเริ่มทำให้พวกเขาสิ้นศรัทธาในอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นเพราะว่าบทเพลงที่พวกเขาทำออกมา ให้กำลังใจแก่ผู้คนได้ก็จริง แต่ผู้คนในมุมต่างๆ ของโลกยังคงต้องประสบกับความเลวร้ายเดิมๆ ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย ในอัลบั้มนี้ พวกเขาจึงเริ่มหันมาพูดถึง “การล่มสลายของมนุษย์ชาติ”เปิดมาด้วยเพลงที่ค่อนข้างหนักแน่นดุดันอย่าง Hour I ที่เนื้อหาพูดถึงการที่เครื่องจักรหันกลับมาทำลายมนุษย์ ซึ่งฟังดูออกจะเป็นเนื้อหาแนวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ Cliche ไปหน่อย ในตัวเพลงนี้ก็ได้พูดถึงเด็กเอาไว้เหมือนกัน แต่ในคราวนี้ Scorpions ไม่ได้พูดถึงเด็กในมุมมองเดิมของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ให้กำลังใจ ปลอบขวัญ หรือตั้งความหวังกับเด็กๆ อีกแล้ว แต่ Hour I บอกให้เด็ก ๆ ทั้งหลาย … รีบๆ หาที่ซุกหัวเอาตัวรอดซะ !!“So here we areIt’s hour oneAnd it’s a nightmareThere’s nothing leftAnd yet it’s good to be aliveThere’s no use cryingCause the universe is not fairThe wicked and the innocentAre fighting to survive”- Hour I -จริง ๆ แล้วเพลงนี้อาจจะตีความไปได้หลายแง่นอกจากจะอิงคอนเซปต์เดิมของเพลง ฉะนั้น The Wicked (ผู้ร้าย) ในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงหุ่นแอนดรอยด์เพียงอย่างเดียว แต่เราอาจจะตีความมันเป็น ‘นายพลเหลิงอำนาจผู้เหี้ยมโหด’ บางคนก็ได้เพลงของ Scorpions โดยเฉพาะในอัลบั้มนี้ ไม่ได้มีแต่ Hour I เท่านั้นที่สามารถตีความไปได้หลายแง่เพลงหลายเพลงมันอาจจะฟังดูเป็นเพลงรักก็ได้ หรือเป็นเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในแบบอื่นก็ได้ You และ I ในแต่ละเพลงจึงอาจจะเป็นมิตรสหาย เพื่อนร่วมชาติ หรือแม้แต่เพื่อนร่วมโลกและแน่นอนว่า มีบ้างที่ “ฉันและเธอ” ในบางเพลงได้แสดงความขัดแย้งไม่ลงรอยกัน และไม่ว่าความขัดแย้งนั้นมันลึกล้ำฝังรากมาขนาดไหนก็ตาม หากเรายังคงยึดติดอยู่ในสิ่งที่ตนเชื่อโดยไม่ยอมทำความเข้าใจกับสิ่งอื่นที่ (เราเชื่อว่า) เป็นฝ่ายตรงข้ามกับเราเลยนั้น เราก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือประหัตประหารคนด้วยกัน เช่นเดียวเหตุการณ์บางอย่างในอดีต แม้มันจะถูกอะไรบางอย่างแอบบิดเบือนไปในทางประวัติศาสตร์ แต่ภาพความโหดร้ายนั่น มันไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ “มนุษย์” กระทำต่อกันเลย“You were once a friend to meNow you are my enemyPassion turns to hate and you makeHate worth fighting forI will re-write historyAnd you will not exist to meOn the day you crossed the lineI found out love is war”- Love is War -เมโลดี้ของ Scorpions ในอัลบั้มนี้หวานหอมน้อยลง เนื้อเพลงบางเพลงยังคงอารมณ์หวานซึ้งอยู่บ้าง เพียงแต่ผมคิดไปเองหรือเปล่าว่า เหมือนพวกเขาพูดถึงมันได้ไม่เต็มปาก เพลงอย่าง Love will keep us alive (ซึ่งเหมือนของวง Eagles แค่ชื่อ) ฟังดูเฉยๆ ชาๆ The Future never dies หรือ We were born to fly อาจฟังดูมีพลังขึ้นมาหน่อย แต่มันก็ไม่อาจทำให้รู้สึกตามสิ่งที่มันสื่อได้มากนักขณะที่ เพลงอย่าง Love is War , Your Last Song และ The Cross ซึ่งพูดถึงความขัดแย้ง ฟังดูหนักแน่นในอารมณ์มากกว่า อาจจะเป็นเพราะตัวดนตรี ที่ทางวง Scorpions เองยังสรรอารมณ์ของทั้งอัลบั้มได้ยังไม่ลงตัวนัก หรืออาจจะเป็นเพราะโลกในตอนนี้ก็ได้ ที่ผลักให้บรรยากาศของเพลงมันเป็นไปตามสิ่งที่พวกเขาเชื่อ ในสิ่งที่พวกเขารู้สึกจริงๆ“How dare you use my shameTo play your wicked gamesWith the mask you’re wearingAnd now you gotta make amendsFor the demons in my headI’ll nail you to the crossThe cross I’m bearing”- The Cross -แม้จะไม่ใช่อัลบั้มที่สมบูรณ์หมดจด แต่ Humanity - Hour I ก็ทำให้ขาร็อคแฟนเพลงวง “แมงป่องผยองเดช” ยุคก่อนๆ ออกมาชูฮกว่าแมงป่องได้กลับมาผยองเดชอีกครั้งจริงๆ แล้วในขณะเดียวกัน สำหรับบางคน (รวมถึงผมเอง) แล้ว อาจรู้สึกได้ว่า Scorpions ในบางด้านได้จืดจางหายไxเป็นไปได้ว่า…เพราะยังคงคิดถึงเพลงที่พูดถึงแสงสว่างในดินแดนที่มืดมนเพราะยังคงมีความถวิลหา “สายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง” ครั้งเก่าก่อน แม้สายลมนั้นจะไม่ได้ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ทุกคนฝันกันไว้จริงๆ ก็ตามหรือเพราะ…ยังคงปรารถนาที่จะได้เห็น (หรือได้ยิน) ว่า “พิราบขาว” สัญลักษณ์ของสันติและเสรี จะบินพาดผ่านนำความหวังกลับมาซึ่งมันคงเป็นไปไม่ได้…ที่จะหา “พิราบขาว” พบใน Humanity - Hour I“Run and hide there’s fire in the skyStay insideThe water’s gonna rise and pull you underIn your eyes I’m staring at the end of timeNothing can change usNo one can save us from ourselves”- Humanity -เพราะแม้แต่ในเพลงสุดท้ายคือ Humanity ที่เป็นเหมือนบทสรุปของเนื้อหาทั้งหมด ก็ยังคงไม่วายพูดถึงความพินาศย่อยยับ และย้ำเตือนว่า ถ้าหากมนุษย์ยังไม่ได้เปลี่ยนตัวเองจากข้างใน อะไรก็คงมาเปลี่ยนไม่ได้ช่างเป็นบทสรุปที่ฟังดูสิ้นหวังเหลือเกิน
แพ็ท โรเจ้อร์
สองวันก่อนคนสนิทคราวลูกฉุดลากไปดูหนังในโรง อันเป็นพฤติกรรมที่ผู้เขียนไม่ได้ทำมาเป็นสิบปี เข้าไปก็เด๋อๆ ด๋าๆ ต้องแบบเหมือนจะจูงเข้าไป ก็น่าสนุกดี รู้สึกว่าเหมือนเมืองนอกมากขึ้นที่มีอะไรเป็นคอมพิวเตอร์หมด และค่าดูค่อนข้างถูก นอกจากว่าเมื่อเปรียบกับรายได้จริงของคนไทยแล้ว นับว่าแพงมาก ผู้เขียนเสียเงินค่าดูแบบแพงเพราะอยากรู้ว่าอย่างที่แพงเป็นอย่างไร ก็น่าสนใจดี มีที่นั่งกว้างขวางอย่างดี มีคนมาเอาใจ เอาน้ำ เอาข้าวโพดคั่วมาให้ เรียกว่าเหมือนอยู่บ้านในห้องโฮมเธียเตอร์ หากลงทุนสร้างแบบนี้ในบ้านคงไม่คุ้มสำหรับบางคน เรียกว่าถอยห่างจากโลกความจริงไปชั่วคราวเพื่อให้เป็นโลกส่วนตัวตามลำพังเท่านั้นเอง ผู้เขียนชอบเพราะนั่งสบายและมีความเป็นส่วนตัวพอควรผุ้เขียนปล่อยไก่ไปตัวเบ้อเร่อตอนที่มีเพลงสรรเสริญฯ ขึ้น ก็ไม่รู้ได้แต่นั่งเพลิน คนข้างตัวลุกขึ้นยืนจึงนึกขึ้นได้แต่ก็แทบไม่ทันเหมือนกัน เพราะตัวใหญ่ ลุกยาก ได้แต่ขำตัวเองว่า ไม่ได้ดูหนังในโรงมานานจนลืมบรรยากาศหลายๆ อย่างไปหนังที่ไปดูเป็นหนังฝรั่งอเมริกัน ที่พัฒนามาจากวิดีโอเกม มีความรุนแรงสูง คนสนิทที่ไปดูด้วยนั่งลุ้นระทึกไปตลอด บอกว่าชอบอยากดู ผู้เขียนไม่สนุกแต่ได้เรียนรู้ชีวิตเด็กรุ่นใหม่มากขึ้น รู้ว่าคนรุ่นใหม่เรียนรู้ความรุนแรงแบบสุดโต่งอย่างที่เราๆ (ที่เป็นป้าๆ น้าๆ อาๆ) นึกไม่ถึง ออกจากวิดีโอเกมก็มาเจอหนัง ในสหรัฐฯ เองมีคนพูดถึงพวกนี้ออกบ่อยๆ ถึงแม้ว่าจะมีการแบ่งเรทของหนัง หลายครั้งก็ช่วยอะไรไม่ได้ ความรุนแรง ความตัดกันแบบความกับดำ ทำให้เกิดแรงกระตุ้นที่แรง และขายได้ในเมืองไทย ผู้เขียนเห็นเด็กๆวัยเรียนเดินไปมาตามห้าง และใช้เวลากับเรื่องความรุนแรง หลายคนบอกว่า สื่อมวลชนไม่ได้มีผลมากนักกับระบบความคิดและพฤติกรรมเด็ก เพราะมีระบบทางสังคมอื่นๆ ช่วยกล่อมเกลา ผู้เขียนไม่แน่ใจนัก ไม่ว่าไทยหรือไม่ไทย เพราะเด็กจะมีจินตนาการสูงส่ง การสร้างโลกของตัวเองในตัวเด็กมีสูงกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ข้อมูลที่เขาได้รับเป็นฐานแต่ความสามารถในการเลือกใช้สารที่ได้จากที่ต่างๆนั้นเป็นเรื่องที่จำกัดมาก ขนาดผู้ใหญ่หลายคนเองยังเลือกใช้สาร หรือบริโภคสารยังไม่เป็นเลยน่าเสียดายที่สังคมไทยนั้น มีกลลวงทับซ้อนกันมาก ความไม่จริงถูกทำให้เป็นเรื่องจริง จนคนแยกไม่ได้ว่าอะไรคือจริง อะไรคือไม่จริง จึงมีการพัฒนาระบบการคิดที่เป็นระบบและมีการเลือกสรรที่ดีได้ยากไม่ว่าในเด็กหรือไม่เด็ก หลายครั้งที่ผ่านมามีผู้เรียนระดับสูงๆ หรือแม้แต่ระดับอาจารย์บางคนก็ยังไม่สามารถเข้าใจและตีความเนื้อสารระดับพื้นๆ ได้อย่างถูกต้อง เพราะไม่ได้มีการฝึกฝนมาให้คิดได้อย่างเป็นระบบและซับซ้อนพอ หลายคนอ่านหนังสือก็ไม่แตก เวลาเขียนงานส่งมา ก็เป็นที่น่าปวดหัวเพราะต้องแก้ไขแทบทุกคำ แต่เพราะสังคมนี้ไม่ได้สอนคน ปัญหานี้จึงเกิดอย่างเลี่ยงไม่ได้ผู้เขียนอดหนักใจกับเรื่องแบบนี้ไม่ได้ การสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีคุณภาพเป็นเรื่องสำคัญ ผู้เขียนเชื่อว่าเรื่องเซ็นเซ่อร์เนื้อสารส่วนที่มีความรุนแรงก็ไม่ได้ประโยชน์เท่าไรนัก ถ้าหากว่าเราไม่ได้สอนให้เราๆท่านๆรู้ว่า หนังนั้นไม่ใช่ความจริง และหนังนั้นสร้างจินตนาการให้คน และมีผลเกิดได้ทั้งบวกและลบ ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดการใช้อย่างไรวันนี้ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจว่าทำไมจึงมีการรับน้องแบบรุนแรง การทะเลาะกันแบบสาดมาม่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าในหนังในวิดีโอเกมเป็นภาพเสมือนจริง ไม่ใช่ความจริง ผลที่เกิดตามมาจากพฤติกรรมต่างๆจบในจอ แต่เรื่องจริงไม่ใช่เช่นนั้น เพราะคนส่วนใหญ่แยกไม่ได้ ปัญหาความรุนแรงในสังคมจึงเกิดขึ้นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องผลประโยชน์ทางการค้าที่มาควบคุมความเป็นไปของความรุนแรงในจอ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะดำเนินการควบคุมได้ในโลกของพาณิชย์นิยม อย่างไรก็ตาม อะไรที่มันดี ทำได้ยาก อะไรที่มันไม่ดี ทำได้ยาก เหมือนกับน้ำที่มักไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ คำถามคือจะต้องทำอย่างไรที่จะบอกว่าการทำดีไม่ใช่ของยากเสมอไป และส่งเสริมให้คนรู้จักคิดอย่างสร้างสรรค์ แม้จะเหนื่อยแต่มันก็คุ้มค่า คงได้ดูกันต่อไป