Sick

สุนทรียสนทนาบนรถสองแถว

26 October, 2007 - 02:07 -- moon

รอยแผลลึกจากเขี้ยวและเล็บของเสือจิ๋วเริ่มตื้นขึ้นแล้ว หมอบอกว่าจะไม่ยัดผ้าก๊อซลงไปในแผลอีก ฉันถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่ โล่งใจที่ไม่ต้องดูกรรมวิธีอันแสนจะหวาดเสียว ที่ถึงแม้จะคิดว่าเป็นประสบการณ์ดีๆ แต่ไม่ต้องเจอบ่อยๆ ก็น่าจะดี(กว่า)

มีเพื่อนๆ ที่กลั้นใจขอดูแผลของฉันแล้วถามด้วยความตกใจปนสงสัยว่า แผลยาวและลึกขนาดนี้ ทำไมหมอถึงไม่เย็บ จึงขอนำคำหมอมาอธิบายเป็นความรู้ใหม่สำหรับใครๆ ที่ยังไม่รู้ ว่าเหตุที่ไม่เย็บนั้นก็เนื่องจากเข็มกับด้ายหมด

ไม่ใช่สักหน่อย อันนั้นล้อเล่น ความจริงคือ แผลที่ถูกสัตว์กัดมีความเสี่ยงต่อเชื้อโรคบาดทะยัก (ซึ่งน่ากลัวมาก) และเชื้อตัวนี้จะเติบโตดีในที่ที่อากาศเข้าไม่ได้  ถ้าเย็บแผลละก็ เท่ากับอำนวยความสะดวกให้มันเชียวละค่ะ จึงจำเป็นต้องเปิดปากแผลไว้ เพื่อให้ออกซิเจนได้เข้าไปฆ่าเชื้อโรคด้วยประการฉะนี้ 

หมอบอกว่า บางคนแผลกว้างไม่พอ หมอต้องกรีดปากแผลเพิ่มให้อีกก็มีนะ โชคดี(หรือเปล่าเนี่ย) ที่แผลฉันกว้างพอแล้ว เฮ้อ...

แหม แต่ยี่สิบกว่าวันที่แขนขวาไม่โดนน้ำเลย ขี้ไคลจับจนปั้นวัวปั้นควายให้ลูกใครๆ เล่นได้หลายตัวเชียวละ มีใครอยากได้สักตัวไหมคะ

ฉันยื่นแผลให้เสือจิ๋วดู มันไม่ยักสนใจ ตาใสแจ๋วของมันไม่มีวี่แววจดจำรำลึก ราวกับจะบอกว่า อย่ายึดติด อะไรผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป ทุกสิ่งเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป น้าน...ฉันช่างบรรลุธรรมได้ถึงขนาดนั้น

แผลที่โดนบริเวณเส้นเอ็น ทำให้ฉันยังขยับข้อมือไม่ไหว และยังขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่ได้ ดังนั้น เมื่อทองม้วน แมวน้อยอีกตัวหนึ่งเกิดป่วยกระทันหัน ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ ดูอาการแล้วไม่สมควรนิ่งนอนใจเป็นอย่างยิ่ง ฉันจึงจำต้องหิ้วตะกร้าใส่แมว ขึ้นรถสองแถวไปหาหมอ

โชคดีอีก(ทั้งที่ปกติไม่สมควรคิดว่าโชคดี)ที่ทองม้วนผอมมาก น้ำหนักเบาหวิวของมันทำให้ฉันหิ้วตะกร้ามือซ้ายได้ตลอดระยะทางกว่าสามสิบกิโลเมตร ด้วยเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจากตลาดหน้าอำเภอไปถึงตัวจังหวัดสุพรรณบุรี
ทองม้วนนอนซมในตะกร้าไปจนถึงมือหมอ หลังจากให้น้ำเกลือ กับฉีดยาอีกสองเข็ม มันจึงค่อยมีแรง และเริ่มส่งเสียงร้องเมี้ยวม้าวแสดงอาการตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมา ทองม้วนยังไม่เคยขึ้นรถไปไหนเลย

บนรถสองแถวขากลับที่ค่อนข้างเต็มไปด้วยผู้โดยสาร เสียงร้องของทองม้วนจึงเป็นต้นเรื่องของบทสนทนาเหล่านี้

“เอ๊ะ เสียงเหมือนเด็กอ่อน ลูกใครหว่า” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นดังๆ แล้วมองไปทั่วรถ
“ไม่ใช่ เสียงลูกแมวตะหาก” อีกคนแย้งแบบผู้สันทัดกรณี เธอหันมาสบตากับฉันพอดี แล้วจึงเห็นตะกร้าใส่แมว
“นั่นไง แมวจริงๆ ด้วย ต๊าย ผอมจัง เป็นไรจ๊ะ”

ฉันเลยได้บรรยายอาการเจ็บป่วยของทองม้วนเป็นวิทยาทาน
“แหม ตัวแค่เนี้ย ป่วยทีเสียเงินเป็นร้อยเป็นชั่ง เลี้ยงเยอะๆ คงจนแย่ ดีนะนี่แค่ตัวเดียว ไม่เท่าไหร่เนาะ” พี่ผู้หญิงแต่งตัวเหมือนสาวโรงงานคนหนึ่งพูดปลอบใจฉัน

ฉันหัวเราะแหะๆ ไม่กล้าเล่าถึงแมวหมาอีกกว่าเจ็ดสิบตัวที่บ้าน กลัวพี่เขาเป็นห่วง
“แมวฉันตัวใหญ่กว่านี้สามสี่เท่า อ้วนยังกะหมู” คุณป้าคนหนึ่งที่ขึ้นรถมาพร้อมกระบุงใบใหญ่เล่าเสียงดังแข่งกับเสียงเครื่องรถ “อุตส่าห์เลี้ยงไว้จับหนู มันก็อ้วนซะจนไล่หนูไม่ไหวแล้ว”

“นังสามสีของชั้นก็เหมือนกัน มันหลงมา ชั้นก็เลี้ยงไว้ แหม้..มันมุดมุ้งชั้นทู้กคืน มุดเข้ามานอนแล้วก็ออกไม่ได้ ร้องจะออกอีก ดึกดื่นต้องลุกมาเปิดมุ้งให้มันเข้าๆ ออกๆ เบื๊อ เบื่อ” ปากบ่น แต่หน้าตาคนพูดเอ็นดูเจ้าตัวที่เล่าถึงเป็นอย่างยิ่ง

“แมวที่ไหนไม่รู้ชอบมาออกลูกหลังบ้านฉัน” คราวนี้เป็นทีของคุณน้าเสื้อเหลืองเล่าบ้าง “ออกแล้วออกอีก ท้องมันอยู่นั่น ไม่รู้จักหยุดจักหย่อน ไอ้เราก็เลี้ยงไปสิ จะไล่ไปรึก็สงสาร อุตส่าห์มาหาที่พึ่ง”

“แล้วเป็นไง ต๊าย แมวมิเต็มบ้านไปหมดรึ” มีเสียงถาม
“ไม่ร้อก พอมันโตก็ไปกันหมด แต่อย่าวางใจเชียว เดี๋ยวก็มาออกอีกละ แหม้ มันเห็นบ้านฉันเป็นโรงพยาบาลแม่และเด็ก” คุณน้าบ่นด้วยเสียงหัวเราะ

“ต้องจับทำหมันค่ะ” ฉันเสนอแนะ
“ก็เนี่ย คอยจ้องจะจับอยู่ แต่มันโผล่มาตอนจะคลอดทู้กที” คุณน้าบอก

“หลานฉันก็เลี้ยงแมว” แม่ค้าปลาที่นั่งอยู่เกือบท้ายรถเล่าบ้าง “แต่วันก่อนมันถูกรถชน หลานมันอุ้มแมวมา อู๊ย ร้องไห้ซะจนเรานึกว่าใครตาย อพิโถ แมวตาย”
“ก็เขารักของเขานี่นา เป็นฉัน ฉันก็ร้อง” อีกคนพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ  
“แน่ะ แล้วแขนเป็นไร ปิดแผลเต็มเชียว” คุณป้ากระบุงใหญ่เริ่มเบนความสนใจมาที่ฉัน พอได้คำตอบว่าถูกแมวกัด แถมด้วยการบรรยายเหตุการณ์พอสังเขป ประเด็นการสนทนาก็เปลี่ยนไป

“ว้าย น่ากลัวจัง” สาวน้อยนักเรียนที่หิ้วถุงเทสโก้โลตัสอุทานพลางทำท่าขนลุก
“ฉันก็เคยโดนแมวกัด” คุณป้าคนเดิมว่า แล้วใครอีกคนก็บอกว่า “หลานฉันก็เคยถูกหมากัด” จากนั้น ใครๆ ที่เคยถูกตัวอะไรต่อมิอะไรกัดก็ผลัดกันเล่าเป็นการใหญ่ คุณลุงคนหนึ่งบอกว่าญาติถูกตุ๊กแกกัด

“เขาว่าตุ๊กแกกัด ต้องกินขี้สามชาม กินน้ำสามโอ่ง” แม้ค้าปลาบอก
“จะตายก็ตอนนี้แหละ ไม่ใช่เพราะตุ๊กแกกัด” เสียงใครไม่ทราบพูด เลยได้หัวเราะกันลั่นรถ
“ใครไม่เคยถูกกัดไม่รู้ร้อก” คุณป้าสรุป

หนึ่งชั่วโมงถัดมา ฉันก้าวลงจากรถสองแถวอย่างอาลัยอาวรณ์บทสนทนาน่ารักที่ยังไม่จบ

“หายเร็วๆ นะ ทั้งคนทั้งแมว” คุณน้า (เจ้าของโรงพยาบาลแม่และเด็ก) ตะโกนจากรถ

ฉันยังยืนยิ้มอยู่อีกพักใหญ่ ถึงจะยังกังวลใจในอาการของทองม้วนที่หมอบอกว่า ถ้าผ่านสามวันไปได้ก็จะรอด แต่ถ้อยสนทนาบนรถสองแถวทำให้ใจทั้งอิ่มและอุ่น

ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ หรือนักดาราศาสตร์ เป็นแค่คนธรรมดาๆ ที่เชื่อว่า ความใส่ใจใยดีที่คนมีให้คน และเผื่อแผ่ไปถึงสิ่งมีชีวิตอื่นๆ นี้เอง ที่ทำให้โลกของเรายังหมุนได้

เฝ้าไข้ข้างเตียงพ่อ (5)

26 October, 2007 - 01:52 -- malam

เสียงแม่ร่ำไห้ผ่านมาตามสายโทรศัพท์  หลังจากฉันกลับมาทำงานได้เจ็ดวัน  แม่ระล่ำระลักบอกฉันว่า พ่อแย่แน่ๆ คราวนี้ พ่ออาการหนักกว่าเดิมแล้วลูกเอ๋ย คราวนี้เราจะทำอย่างไรกันดี ช่วยพ่อด้วยนะลูก

ฉันเอาเสื้อผ้าสองสามชุดใส่กระเป๋าใบเดิมที่ยังไม่ได้ซัก หลังกลับมาคราวที่แล้ว  ของใช้บางอย่างยังไม่ได้รื้อออกมาด้วยซ้ำ  แต่ฉันต้องไป หลังได้ยินเสียงแม่ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย หูฉันมีแต่เสียงร้องไห้ของแม่ ตาของฉันเห็นแต่ภาพพ่อ

ฉันลาพักผ่อนฉุกเฉินอีกครั้ง แม้ต้องรบกวนฝากเวรใครต่อใครหลายคน ทุกคนเต็มอกเต็มใจช่วยเหลือฉัน เพราะถ้อยคำที่ฉันเอ่ยปากบอก  ฉันต้องกลับไปหาพ่อ 

เพราะพวกเราผ่านเรื่องร้ายของชีวิตมาเสมอ ทั้งเรื่องของคนไข้และตัวเราเอง บางเรื่อง เราอยากย้อนเวลากลับไปแก้ไข  ให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี  ทั้งที่เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว แต่มันยังติดตรึงในความรู้สึกไปชั่วชีวิต

เพราะฉะนั้น หากเป็นเรื่องร้ายแรง  ทุกคนเต็มใจเสมอที่จะช่วยเหลือกัน นับเป็นสิ่งงดงามของความเป็นมนุษย์  เพราะยามเราต้องเผชิญเรื่องหนักหนาสาหัส  เราต้องการน้ำใจ กำลังใจจากคนรอบข้าง   ฉันโชคดีที่สุดแล้วที่ยังได้รับน้ำใจจากทุกคน  แม้ว่าโชคร้ายรออยู่ข้างหน้าก็ตาม

ฉันซื้อตั๋วด้วยใจสั่นระริก มือกำตั๋วเครื่องบินชื้นไปด้วยเหงื่อ  ก้าวขึ้นเครื่องด้วยขาที่สั่น  ฉันไม่รู้ว่าต้องไปเจออะไรบ้าง สิ่งที่รอฉันอยู่ข้างหน้า  ทำให้หัวใจฉันแตกสลายลงหรือเปล่า ฉันมีแต่ความกลัวท่วมใจ  แม้ต้องข่มใจสักเพียงใด เข้มแข็งสักเพียงไหน  หัวใจฉันยังเต้นรัว  ฉันบอกตัวเองว่า ฉันจะเข้มแข็งให้มากที่สุด

ฉันหยิบหนังสือสวดมนต์เล่มใหม่มาวางบนตัก  เล่มเดิมนั้นฉันวางไว้ข้างเตียงพ่อก่อนฉันกลับมาคราวที่แล้ว  ซึ่งฉันบอกพ่อให้สวดมนต์ทุกวัน ฉันยังจำคำที่พูดกับพ่อ  ลูกหวังให้พ่อเข้มแข็ง  อยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุรนทุรายมากนัก

ฉันสวดมนต์ไปเรื่อยๆระหว่างอยู่บนเครื่อง  สวดทุกบทที่เปิดผ่านแต่ละหน้า   ในใจฉันหวังให้กำลังใจตัวเอง  หวังให้พ่อคลายความเจ็บปวด ให้พ่อหาย ไม่ว่าพ่อจะเป็นอย่างไรในตอนนี้ขอให้ผ่อนคลายความเจ็บปวดที่กำลังเผชิญอยู่

ถึงตอนนี้  หัวใจฉันเศร้าหมองจนต้องร้องไห้ออกมา เพราะฉันรู้ว่า คราวนี้ของพ่อมันหนักหนาสาหัสนัก  ฉันจะไปหาพ่อได้ทันเวลาหรือเปล่า  ฉันจะได้กอดพ่อตอนที่พ่อยังมีลมหายใจอยู่หรือไม่ พ่อจ๋า ลูกจะมีเวลาเหลือได้ทำอะไรให้พ่ออีกหรือเปล่า  ความคิดนี้มันวนเวียน ทิ่มแทงหัวใจเหมือนโดนมีดคม  ฉันได้แต่สวดมนต์แล้วร่ำไห้เมื่อนึกถึงหน้าพ่อ คุณพระ คุณเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้พ่ออย่าเป็นอะไรไปเลย ความคิดของฉันวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา

ฉันไปถึงโรงพยาบาลที่พ่อนอนอยู่จนได้   ระหว่างเดินทางนั้น  ฉันไม่ได้โทรหาแม่และน้อง ฉันกลัวที่จะฟังคำบอกกล่าว ฉันกลัวว่าจะทำใจไม่ไหว  ฉันเดินเหมือนคนหมดแรง แต่ละก้าวจึงละล้าละลัง  ในใจบอกตัวเองให้เข้มแข็งและกล้าเผชิญ  เหมือนที่ฉันเคยเผชิญหน้ากับความเจ็บป่วยช่วยคนอื่นๆ

พอผ่านประตูของตึกที่พ่อนอน  ฉันเห็นพ่อนอนอยู่บนเตียงหน้าเคาน์เตอร์ มองปราดเดียวฉันก็รู้ว่า พ่ออาการหนัก พ่อมีสายออกซิเจนในรูจมูก แขนพ่อมีรอยผ่าตัดให้น้ำเกลือผ่านเส้นเลือด มันเป็นการช่วยชีวิตในขั้นแรกของคนไข้ที่ช็อค ทำไมฉันจะไม่รู้  ระโยงสายน้ำเกลือนั้น  มียาที่เพิ่มความดันโลหิตอยู่ในเครื่องควบคุมจำนวนหยดน้ำเกลือ  ตัวที่ฉันคุ้นเคย แสดงว่า พ่อยังอยู่ในอันตราย  เข่าขวาของพ่อยังพันผ้าก็อสไว้เหมือนเดิม

ฉันถามตัวเอง  เราจะกลัวอะไรเมื่อมาถึงนาทีตอนนี้   พ่อยังนอนรอเราอยู่ตรงหน้า รอให้เรากอดและดูแล พ่อยังมีลมหายใจอยู่ และฉันต้องเดินไปกอดพ่อ ให้กำลังใจพ่อทั้งหมดที่มี ฉันยังทำได้และยังโชคดีที่สุดแล้วที่ยังมาทันเวลา 

ฉันเช็ดน้ำตาจนแห้ง เดินไปหาพ่ออย่างปกติที่สุด

เหมือนพ่อรู้ว่า ฉันมาแล้ว พ่อลืมตาขึ้นมาพอดีที่ฉันยืนอยู่ตรงหน้า เราต่างสบตากัน  แม้ไม่มีน้ำตาไหลออกมา แต่เสียงสะอื้นในอกของใครหนอก็ยังดังออกมาข้างนอก  สองคนพ่อลูกกอดกันกลมอยู่บนเตียงนั้น พ่อพร่ำบอกฉัน พ่อนึกว่าเราจะไม่ทันได้กอดกันอีกแล้ว มันคงเป็นเวลาของพ่อแล้วกระมังลูกเอ๋ย  ไม่หรอกพ่อจ๋า  ฉันพร่ำบอกพ่อ  พ่อยังต้องอยู่กับลูกไปอีกนานเท่านาน พ่อต้องหาย ไม่เป็นไรหรอกนะพ่อจ๋า  ลูกจะอยู่ใกล้พ่อเหมือนเดิม ให้พ่ออดทนนะ

พ่อบอกฉันว่า พ่อได้กลับบ้านแล้ว เมื่อสองสามวันที่ผ่านมา แต่เข่าขวาของพ่อมันบวมแดงขึ้นมาใหม่ พ่อต้องกลับมาหาหมอ  หมอให้นอนเพื่อทำแผลใหม่  ฉีดยาตัวใหม่ที่จำนวนมากกว่าเดิมเพื่อควบคุมการอักเสบ ใครจะรู้ว่า พ่อแพ้ยา ตัวบวม  ปากเจ่อ และทำให้พ่อช็อค   

หมอช่วยชีวิตพ่อไว้ แม้ยังไม่พ้นขีดอันตราย  เข่าขวาของพ่อยังบวมอยู่มาก เชื้อโรคคงเข้าไปในกระแสเลือดด้วยพ่อเลยช็อค หมดสติไปสองวัน

สองวันที่ผ่านมาแม่เล่าให้ฟังว่า  พ่อเพ้อถึงใครต่อใครล้วนแต่เป็นคนที่ตายไปแล้ว

แม่ยิ่งตกใจคิดว่า พ่อคงไม่รอดแน่นอนเลย  แม่เลยโทรบอกลูก โถ แม่คงนึกว่าลูกต้องมาไกลเหนื่อยมาก   แม่ไม่อยากให้ลูกมาเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรดี  ฉันบอกแม่ว่าดีแล้วที่ได้มา พ่อต้องการเรามากที่สุดในเวลาอย่างนี้  ขอให้ลูกได้ทำเพื่อพ่อบ้าง

ค่ำนี้  ฉันนั่งฟุบอยู่ข้างเตียงพ่อเหมือนเดิม  คราวนี้ฉันไม่ได้ปิดม่านให้พ่อ แต่เลือกปิดไฟตรงหน้าเตียงให้แทน  แว่วเสียงที่พ่อเล่าอยู่ในหูของฉันเมื่อลืมตาตื่นว่า พ่อไปเที่ยวที่ไหนมาไม่รู้ลูก สวยเหลือเกิน สงสัยเป็นสวรรค์  พ่อคงถึงเวลาจากแล้วจริงๆ  ถึงได้ไปเที่ยวอย่างนั้น  ที่ที่สบายอย่างนั้นไปยากที่สุดเลย

พ่อพูดเหมือนเพ้อ  แม้มันจะทำให้ฉันตกใจและพาลนึกใจเสีย แต่ฉันก็พูดบอกพ่อว่า หลับเถอะพ่อ พ่อขา คงเป็นฤทธิ์ยาที่ทำให้พ่อเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรหรอก ลูกอยู่ตรงนี้กับพ่อแล้ว  พ่อยิ้มให้ฉันแล้วหลับตา

หลังจากพ่อหลับ  ฉันก้มหน้าซ่อนน้ำตา  ใจฉันอ่อนแอ ขลาดกลัว ... ถึงพรุ่งนี้พ่อจะฟื้นมาไหม พ่อจะลืมตามาส่งยิ้มให้ฉันเหมือนเดิมหรือเปล่า พ่อจ๋า

เฝ้าไข้ข้างเตียงพ่อ (4)

18 October, 2007 - 04:18 -- malam

ทันทีที่พ่อลุกเดินได้ หมออนุญาตให้พ่อเข้าพักในห้องพิเศษได้แล้ว หลังจากที่ขนของใช้ต่างๆ ของพ่อเข้าห้อง ฉันพยุงพ่อลงนั่งรถเข็น แล้วเวรเปลเข็นพ่อเข้าห้อง รอยช้ำรอบตาพ่อเริ่มจางลง ตาขวาที่หมอเปิดดูในตอนเช้าของทุกวันยังเหมือนเดิม ยังเปิดอยู่ตลอดเวลา

เข่าขวาของพ่อยังงอไม่ได้และแผลลึก ยังต้องอยู่โรงพยาบาลอีกหลายวันเพื่อทำแผลและฉีดยา ฉันช่วยพ่อออกกำลังขา โดยยกขาขวาขึ้นสูงและงอเข่า พ่อพยายามทำตามที่ฉันบอก แม้ว่ามันจะทำให้เจ็บแผลมากขึ้น ฉันรู้ว่า พ่อคงอยากหายในเร็ววัน พ่อบ่นอยากกลับบ้าน และหงุดหงิดง่ายมากขึ้น  แม้พ่อพยายามข่มอารมณ์ก็ตาม  เมื่อฉันเอ่ยถึงเรื่องอารมณ์พ่อกับหมอ หมอก็เพิ่มยาให้พ่อ บอกเป็นเพราะอาการกระทบกระเทือนทางสมองนั่นเอง แล้วพ่อก็หลับมากขึ้น มีฉันนั่งมองหน้าพ่ออยู่ข้างเตียง มองแล้วคิดย้อนไปไกล

ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง พ่ออุ้มน้องสาวคนเล็กของฉันไว้ในอ้อมแขน พี่สาวและฉันเดินอยู่ตรงกลาง รั้งท้ายเป็นแม่หอบข้าวของพะรุงพะรัง ในกลางดึกที่เราต่างเดินดุ่มออกมาจากบ้านของย่า  แสงจันทร์สีขาวนวลกระจ่างอยู่กลางฟ้า เราข้ามสะพานไม้ที่ข้ามคลองถึงสามสาย เดินผ่านทุ่งนากว้าง แม้จะรู้สึกกลัว แต่เมื่อเหลือบมองพ่อ ความกลัวก็หายไป

พ่อเดินตัวตรงในความมืดสลัว   ไปให้ถึงบ้านของเราโดยไม่หวาดหวั่น ฉันจึงเดินตามพ่ออย่างมั่นใจ  ในใจฉันรู้ว่า พ่อจะอยู่เคียงข้างเราเสมอและไม่มีวันทิ้งพวกเราไป ก้มลงไปมองในน้ำบนสะพานไม้ ยังเห็นแสงจันทร์สวยกระจ่าง ในตอนนั้นฉันยังเล็กมากแต่แสงจันทร์สวยจับใจติดในความรู้สึกและจำได้ทุกครั้งที่นึกถึงพ่อ  ฉันมักจะนึกถึงดึกคืนนั้น คืนที่พวกเราเดินในความเงียบกลางคืน

แล้วก็ถึงเวลาที่ฉันต้องกลับมาทำงานแล้ว  แม้ในใจฉันอยากอยู่ใกล้พ่อ ดูแลพ่อจนกลับบ้าน แม้ว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ฉันวนเวียนอยู่ข้างเตียงพ่อ โรงอาหารและบ้านพักน้องชายที่ชายทะเลในตอนกลางวัน  แม้จะมีหน้าตาเหมือนคนที่ง่วงนอนตลอดเวลา แต่สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดทำให้พ่อดูดีขึ้นเรื่อยๆ พ่อคงจะได้ออกจากโรงพยาบาลในเร็ววัน  ถึงกระนั้นในใจฉันยังอดห่วงพ่อไม่ได้ เมื่อกำตั๋วรถไว้ในมือ หัวใจก็หนักอึ้ง อ่อนแอ คำพูดบอกลามารออยู่ แต่ไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเอ่ยปากเมื่อสบตาพ่อ

เหมือนพ่อรู้ พ่อมองหน้าฉัน ถามฉันว่า จะกลับวันนี้ใช่ไหมลูก กลับเถอะ พ่อจะทำอย่างที่ลูกบอกและไม่กี่วันพ่อคงกลับบ้านได้ แล้วเราคงไปพบกันที่บ้านนะลูกนะ  พ่อไม่เป็นไรแล้ว  พ่อจะต้องหายดีและอยู่กับลูกไปนานๆ ขอบใจลูกทุกคนที่ทำเพื่อพ่อ พ่อรู้ว่าเรารักกัน พ่อดีใจที่สุดแล้ว

ฉันกล้ำกลืนก้อนแข็งๆ ที่พากันมาอัดแน่นที่หน้าอกลงไป  พยายามกระพริบตาไล่น้ำใสๆ ที่ออกมาบังสายตาไว้ พยักหน้าให้พ่อ บอกพ่อให้กินข้าวมากๆ กินยาและทำตามที่หมอบอกด้วย ถึงอย่างไรพ่อป่วยครั้งนี้ก็ยังมีข้อดีที่ทำให้เราได้พบกัน  แม้จะเป็นในโรงพยาบาลก็เถอะ แต่เรายังได้อยู่ใกล้กัน  ลูกทุกคนของพ่อก็มาอยู่รวมกัน และที่ดีที่สุดก็คือ ฉันได้ใช้วิชาที่พ่อส่งให้ฉันเรียนจนจบมาเพื่อพ่อ  ถือเป็นการคืนกำไรทบต้นในเงินลงทุนที่พ่อขาดทุนมาตลอดชีวิต  แล้วพ่อและฉันก็หัวเราะพร้อมกันเป็นครั้งแรก

ถึงตอนนี้ พ่อคงรู้แล้วว่าฉันทำอะไรบ้างในเวลากลางคืน  ฉันและพ่อเหมือนกันคือ เราต่างเดินไปในความมืด  ทำอะไรก็ไม่รู้ในสิ่งที่มองหาแทบไม่เห็น  แต่ผลของมันยิ่งใหญ่เหมือนแสงจันทร์ในคืนเดือนมืดของดึกคืนนั้นเหลือเกิน มันกระจ่าง สว่างพราวอยู่อย่างนั้น พ่อคงเข้าใจและมองเห็นภาพได้ชัดเจนเมื่อนึกถึง

เหนืออื่นใด ฉันได้กอดพ่อ เราได้กอดกันในวันที่เรายังมีลมหายใจและยังไม่สาย

นะพ่อนะ ลูกคงต้องกลับไปทำหน้าที่ต่อ เรายังได้พบกันในวันหน้าที่บ้านของเรา เราต่างจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อกันและกันนะพ่อ ฉันบอกพ่อเมื่อก้มลงกราบ พ่อยิ้มให้ฉันและกอดฉันนิ่งนาน  แม้ฉันไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง  ฉันก็รู้ว่า พ่อคงกล้ำกลืนน้ำตาเหมือนฉัน 

ฉันเดินไปลาพยาบาลที่เคาน์เตอร์และบอกฝากดูแลพ่อด้วย  ฉันจะรบกวนโทรมาถามอาการพ่อบ่อยๆ และขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ทำให้พ่อของฉันหายเร็วขึ้น

เมื่อหิ้วกระเป๋าออกจากโรงพยาบาล  ฉันกลับไปอย่างมั่นใจ อย่างน้อยฉันรู้ว่าพ่อจะได้กลับบ้านแน่นอน และพ่อจะหายอย่างที่ฉันภาวนามาตลอดทางที่นั่งรถมาหาพ่อ  แม้ว่าพ่อจะต้องเลิกทำสิ่งที่พ่อรักและเคยทำมาชั่วชีวิตหลังการป่วยไข้ครั้งนี้

ท้องทุ่งกว้างๆ คงเศร้า ป่ายางเป็นแถวท่ามกลางแสงจันทร์คงเงียบเหงาวังเวง และพากันแปลกใจว่าทำไมพ่อจึงหายไปจากที่ที่เขารักเหลือเกินได้  แม้มันจะเข้าใจสัจธรรมและเหมือนล่วงรู้การบอกลาเหมือนฤดูเปลี่ยนผ่าน เหมือนในใจฉัน  แต่มันคงเฝ้าคิดถึงพ่อไม่รู้คลาย คงเหมือนพ่อและฉันที่เป็นอย่างนั้น

ระหว่างนั่งรถกลับมาฉันครุ่นคิดถึงพ่อและวางแผนว่าจะกลับมาหาพ่อในช่วงไหนดีนั้น   ฉันคงไม่กลับไป หากฉันล่วงรู้ได้ว่า อีกเพียงหนึ่งสัปดาห์เท่านั้น ฉันจะได้กลับมาหาพ่อด้วยความกระวนกระวาย ห่วงพ่อมากกว่าเดิมหลายเท่านัก

Subscribe to Sick