Skip to main content

 

เมื่อปี พ.ศ.2551 ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ชุมนุมปิดล้อม และจะบุกยึดรัฐสภาจนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องปีนกำแพงหลบหนีออกทางด้านหลัง เป็นสถานการณ์การเมืองที่ตึงเครียด และเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ชุมนุมจนเกิดการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้น และมีการถกเถียงกันจากฝ่ายตำรวจและฝ่ายผู้ชุมนุมว่า การตายในกรณี “น้องโบว์” เกิดจากฝ่ายใดเป็นผู้กระทำ

ฝ่ายพันธมิตรฯ โดยการพิสูจน์ของแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ระบุว่าเกิดจากถูกระเบิดแก๊สน้ำตาของตำรวจตกใส่ถูกลำตัว แต่ฝ่ายตำรวจปฏิเสธ บางข่าวระบุว่าเกิดจาการที่น้องโบว์พกพาระเบิดปิงปอง แล้วล้มลงกระแทกพื้นจนเกิดการระเบิดและเสียชีวิต

อีกกรณีหนึ่งที่เป็นข่าวโด่งดังในครั้งนั้นคือ มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งของกลุ่มพันธมิตรฯ โหดเหี้ยมบ้าเลือด ขับรถพุ่งชนพยายามฝ่าตำรวจ ครั้นไม่ตายก็ถอยหลังมาทับซ้ำเพื่อฆ่าให้ตาย มีภาพเหตุการณ์ถ่ายทอดเป็นข่าวทางทีวี และภาพข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์

ทำให้ผู้ที่ดูข่าวหรืออ่านข่าวต้องรู้สึกชิงชัง แค้นเคืองหนุ่มใหญ่ที่โหดเหี้ยมผู้นี้ ซึ่งต่อมาถูกจับกุมตัว ถูกดำเนินคดี ถูกตำรวจตั้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ เป็นคดีแรกกระทงหนึ่ง และข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เป็นคดีที่สองอีกกระทงหนึ่ง

คดีทั้งสองนี้เป็นความผิดตามมาตรา 289 ถ้าผู้ถูกกระทำถึงแก่ความตาย ผู้กระทำก็จะถูกลงโทษประหารชีวิตทั้งสองกระทง แต่ถ้าไม่ถึงแก่ความตาย โทษก็เบาลง อาจเป็น 20 ปีหรือตลอดชีวิต แล้วแต่พฤติกรรมของการกระทำ

ผลปรากฏว่า ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก 3 ปี และรอลงอาญา เป็นเหตุให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง เข้าใจไปว่าพวกพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองเป็นม็อบมีเส้น จึงมีอภินิหารสั่งการช่วยเหลือ จนศาลตัดสินออกมาเช่นนี้

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2555 ยามค่ำคืน มีผู้ชายตัวผอมๆ เล็กๆ ใส่แว่นตาหนาๆ แบบแว่นสายตาคนหนึ่งถูกส่งเข้ามาในเรือนจำ

ผู้ชายคนนี้ชื่อ ปรีชา อายุ 56 ปี จำเลยในคดีพยายามฆ่าเจ้าพนักงานในขณะปฏิบัติหน้าที่ 2 กระทง ที่หน้าสภาฯ นั่นเอง

เขาถูกศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำคุก 33 ปี 12 เดือน กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ตัดสินจำคุก 3 ปีรอลงอาญา

นายปรีชาเป็นพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองเพียงคนเดียวที่หลงเข้าเรือนจำในขณะที่คนเสื้อแดงถูกขังอยู่เต็มคุก และยึดพื้นที่สร้างเป็นฐานที่มั่นอยู่ก่อนแล้ว จึงมีการกริ่งเกรงว่า จะมีรายการต้อนรับน้องใหม่จนสะบักสบอมแน่

แต่ปรากฏว่า นอกจากจะไม่มีรายการเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว พันธมิตรฯ เสื้อเหลืองท่านนี้กลับได้รับการดูแลอย่างดีจากกลุ่มคนเสื้อแดงเจ้าถิ่น จนเจ้าหน้าที่โล่งใจ

สภาผู้แทนคนเสื้อแดงในเรือนจำฯ ลงมติว่า พวกเราต้องมีใจบริสุทธิ์ ไม่ใช้ความรู้สึกที่โกรธแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดแตกต่างจากเรา และเราควรจะเห็นอกเห็นใจเขาที่ประสบชะชากรรมเช่นเดียวกับเรา เพราะต่างเป็นหญ้าแพรกทั้งคู่ เป็นเหยื่อของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ

พวกเราสภาผู้แทนคนเสื้อแดงในเรือนจำฯ จึงได้ให้การดูแล อำนวยความสะดวกเรื่องข้าวเรื่องน้ำกาแฟในตอนเช้า และไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงรังแก ดูถูกเหยียดหยาม สอบถามเรื่องราวและให้กำลังใจตลอด

จึงได้ทราบความจริงที่ผิดไปจากข่าวว่า แท้ที่จริงที่เขาขับรถชนตำรวจนั้น ไม่ใช่เพราะจิตใจที่โหดร้ายทารุณ เจตนาฆ่าตำรวจ แต่เป็นเพราะเขาบาดเจ็ดตกใจจะขับรถหนีจากที่เกิดเหตุแต่เลือดเข้าตา มองไม่เห็นจึงชนตำรวจที่อยู่ข้างหน้า และพอรถติดฟุตบาทก็ถอยเพื่อเดินหน้าใหม่ก็ชนตำรวจข้างทางด้านหลังอีก จนถูกตั้งข้อหา 2 คดี

ในวันนั้นขณะที่เขาจอดรถอยู่หน้าสภา ก็ไม่แน่ใจว่าถูกยิงหรือถูกตีด้วยกระบอง จนกระจกด้านคนขับแตก ตาขวาบอด ดั้งจมูกหักเลือดอาบเต็มหน้า  และรถของเขาเป็นโตโยต้าไทเกอร์ยกสูงจึงมองไม่เห็นตำรวจ ทำให้ขับชนทั้งไปหน้าและถอยหลัง เมื่อขับหนีไปได้ไม่ไกล ก็ต้องจอดแล้วถูกนำส่งโรงพยาบาลรามาฯ แต่รักษาไม่ทันหายก็ต้องหนีตำรวจออกจากโรงพยาบาล ต่อมาติดต่อขอมอบตัวแล้วได้ประกันจนศาลชั้นต้นตัดสินรอลงอาญาจนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ซึ่งถ้าความจริงเป็นอย่างนี้ ก็แสดงว่าศาลชั้นต้นตัดสินชอบแล้ว

เรื่องถูกทำร้ายจนตาข้างขวาบอดและดั้งจมูกหักไม่อาจกล่าวเท็จได้เพราะหลักฐานทางการแพทย์ก็มีอยู่ และจากเหตุนี้เขาจึงได้รับการเยียวยา 3 ล้านบาทด้วย

ปรีชา อาชีพช่างไฟฟ้าอุตสาหกรรม และจบ มสธ.เกษตรศาสตร์ ผ่านการต่อสู้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 มาด้วย ไม่มีลักษณะของความเป็นคนคลั่งแต่อย่างใด ก็อยากเห็นศาลฎีกาพิพากษาตามศาลชั้นต้น อย่าเอาคนทำผิดเพราะตกใจมาติดคุกเลย และวันนี้ 14 ธันวาคม 2555 เขาก็ถูกย้ายไปเรือนจำกลางคลองเปรมจากพวกเราไปด้วยความประทับใจยิ่ง

 

จดหมายจากนักโทษเสื้อแดงคนหนึ่งถึงทนายความ

ผมมีเรื่องค้างอยู่ในปีเก่าอยู่เรื่องหนึ่งที่อยากนำมาแชร์ให้ฟัง ซึ่งคุณน่าจะได้ข่าวตามสื่อบ้าง คือเรื่องพันธมิตรที่โดนคดีขับรถเหยียบตำรวจ เมื่อปี 2551 และโดนตัดสินมา 34 ปี และเขาเข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย ผมได้รู้จักกับเขาในช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปเรือนจำคลองเปรม เนื่องจากอัตราโทษเกิน 15 ปี เขาชื่อ ปรีชา ตรีจรูญ

หลังจากมีข่าวนี้มา เราบางส่วนในนี้ต่างซุบซิบกันว่า จะทำอะไรยังไงกับเขามั้ยเพื่อสั่งสอนแต่ก็เป็นคนส่วนน้อยเท่านั้น พวกเสื้อแดงบางคน (ส่วนน้อย) มีการแสดงออกถึงความเจ็บแค้น ต้องการข่มขู่ แต่ส่วนใหญ่โดยเฉพาะอาจารย์สุรชัยและผม ได้ช่วยกันทำความเข้าใจถึงความแตกต่างทางความคิด ต่างสี แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ ซึ่งทำให้ผมกับอ.สุรชัย โดนพวกเราบางคนพูดจาถากถาง แดกดันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจจริงๆ

ความจริงแล้ว ด้วยความยาวนานที่พวกเราอยู่กันมาในนี้ มันสามารถจะทำอะไรก็ได้ สั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ แต่พวกเราเลือกที่จะเห็นใจกัน แม้จะเป็นฝ่ายตรงข้ามก็ตาม

ผมนึกถึงสภาพเหตุการณ์ตอนที่ผมโดนรุมกระทืบในนี้แล้ว ผมไม่อยากให้เกิดขึ้นกับใครอีก โดยเฉพาะคนที่ถูกคดีทางการเมืองอย่างพวกเรา

พี่ปรีชาเป็นคนตัวเล็กๆ ผอมๆ รูปร่างเล็กกว่าผมอีก อายุ 50 กว่าๆ ผมสีเทา คือขาวเกือบครึ่ง ในสายตาผม เขาดูเหมือนผู้หญิงด้วยซ้ำ เราแทบไม่เชื่อเลยว่าจะเป็นคนๆ นี้ เช้าวันแรกที่เขาเข้ามา เขาดูกลัวมากๆ ต้น วรกฤต กลุ่มเชียงใหม่ 51 เป็นคนแนะนำให้เรารู้จัก ซึ่งผมก็บอกกับเขาตรงๆ ว่าเราเป็นเสื้อแดง เขาก็มือไหว้เราด้วยความเกรงๆ ผมพาเขาไปพบ อ.สุรชัย ซึ่งก็ให้ความอุ่นใจกับเขาได้เยอะ เราแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน สุขทุกข์กัน ในช่วงเวลา 3-4 วัน ก่อนที่เขาจะย้ายไปคลองเปรม จนทำให้รู้ว่า เขากับเราต่างก็เป็นเหยื่อทางการเมืองเหมือนกัน

ผมได้บอกเล่าเรื่องของพี่ปรีชาให้กับคนที่มาเยี่ยมได้ทราบ หลายคนเมื่อทราบแล้วก็มีอาการโกรธแค้นและสมน้ำหน้า แสดงอาการสะใจอย่างชัดเจน

ผู้ต้องขังเสื้อแดง (ขอย้ำว่าบางคน) ก็พยายามให้คนเสื้อแดงบางคนในพวกเรา ทำการสั่งสอน ข่มขู่เขาตลอด ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นไปได้

มันเกิดอะไรขึ้นกับคนไทยกันนะ เราแตกแยกกันใช้อารมณ์กันโดยไม่คำนึงถึงเหตุผลกันแล้วอย่างนั้นหรือ แดงเกลียดเหลือง เหลืองโกรธแค้นแดง อย่างไม่มีการให้อภัยกัน จนลืมไปแล้วว่าเราเป็นคนไทยเหมือนกัน เหมือนเป็นพี่น้องกัน ถอยออกมาคนละก้าวให้โอกาสกันดีกว่าไหม

พี่ปรีชาอาจเป็นเพื่อนต่างสีที่วันนี้เขาได้รับกรรมไปแล้ว และที่ผ่านมาเขาเองก็ไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข ตลอด 3-4 ปีที่เขาต่อสู้คดีข้างนอก เขาเองก็ต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ เหมือนกัน จะเข้าออกจากบ้านก็ต้องระมัดระวัง เพราะมีคนไม่ชอบเขาอยู่เยอะเหมือนกัน อีกทั้งเขายังต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียตาด้านขวาที่มีผลต่อการเดิน การหยิบจับสิ่งของที่แม้จะผ่านไปหลายปีเขาก็ยังต้องปรับตัวอยู่ 3 ล้านบาทที่เขาได้รับเยียวยาจากการสูญเสียดวงตา เขาบอกว่าไม่คุ้มเลย ถ้าเลือกได้ เขาขอมีอวัยวะครบจะดีกว่า

ผมนึกถึงเพื่อนๆ ผมอีกหลายๆ คนที่เกี่ยวข้องกับคดี 112 โดยเฉพาะป้าอุ๊ หมี สุริยันต์ และณัฐ ที่ทุกวันนี้ พวกเขาก็ยังใช้ชีวิตอย่างไม่ปกติ แม้เรื่องมันจะจบหรือเขาพ้นโทษกันไปแล้ว

ป้าอุ๊กับหลานๆ ยังมีคนคอยจ้องมองอยู่ จับผิดอยู่ เหมือนไม่ยอมให้จบ ทั้งๆ ที่ครอบครัวนี้สูญเสียอากงที่เกี่ยวข้องกับคดีไปกว่าปีแล้ว แต่คนที่คิดต่างเขาไม่จบ จนวันนี้ป้าอุ๊และครอบครัวกำลังคิดจะย้ายไปอยู่กับญาติที่พอจะให้ความอุ่นใจ และปลอดภัยกับเขาและหลานๆ ได้ ซึ่งไม่แน่ใจว่าจะจบปัญหาได้จริงๆ หรือเปล่า หมีเองทุกวันนี้ก็ยังกลับไปทำงานเย็บรองเท้าไม่ได้ เพราะยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของเขาอยู่ จนผมเริ่มกังวลแล้วว่า ผมกับลูกจะอยู่กันยังไง ถ้าสักวันผมได้รับอิสระและออกไปใช้ชีวิตข้างนอก ผมจะได้อยู่อย่างปกติเหมือนเดิมหรือเปล่า

เราทั้งสองฝ่ายมาไกลกันเกินไปแล้วจริงๆ หรือ มันกลับไปเหมือนก่อนไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ เห็นพล.อ.เปรมให้สัมภาษณ์ก่อนปีใหม่ มีบางตอนที่ว่า “คนเรามีความคิดเห็นที่แตกต่างกันได้ แต่ถ้าแตกต่างกันอย่างฉันมิตร ประเทศชาติก็ไม่เสียหาย” ซึ่งผมเห็นด้วยมากๆ และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากให้พวกเราทุกคนคิดหาทางออกให้ประเทศเรา ด้วยการคิดให้โอกาสกัน ให้อภัยกัน แม้ฟังดูแล้วจะเหมือนดัดจริตก็ตาม แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ประเทศนี้เป็นคนในประเทศนี้อยู่กันอย่างสงบสุขต่อไปได

วันที่พี่ปรีชา มีคำสั่งให้ย้ายไปคลองเปรม ผมออกไปเยี่ยมญาติ พร้อม อ.สุรชัย พี่ปรีชาจะเข้ามาลาผมและขอบคุณผมและ อ.สุรชัยที่คอยช่วยเหลือ เขามาตลอด เขาเดินเข้ามาในห้องสมุดที่ปกติผมจะนั่งอยู่ในนี้แล้วถามหาผม ปรากฏว่าเขาถูกพวกเราบางคนด่าทอด้วยความโกรธแค้น

ผมได้จับมือล่ำลาเขาก่อนจะย้ายไปคลองเปรมด้วยความรู้สึกดีต่อกันโดยไม่ต้องพูดอะไรมาก ...

 

 

 

 

บล็อกของ นายหัว ส. และมิตรสหาย

นายหัว ส. และมิตรสหาย
  โดย ... นายหัว ส. ชื่อบทความเดิม: สถานการณ์ประเทศไทย ...ยุทธศาสตร์ยังไม่เปลี่ยน การปรองดองเป็นเพียงยุทธวิธีเท่านั้น
นายหัว ส. และมิตรสหาย
มีคำกล่าวที่ว่า “คุกเจริญสังคมเสื่อม คุกเสื่อมสังคมเจริญ” เป็นดัชนีชี้วัดสังคมไทยปัจจุบันอย่างหนึ่ง เพราะเวลานี้คุกของประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองมาก มีผู้ต้องขัง 240,000 คน ล้นทุกคุก ทั้งๆ ที่เพิ่งมีการพระราชทานอภัยทาเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ที่เพิ่งผ่านมา 3 เดือนเท่านั้น