Skip to main content

   

   ในฐานะที่ผมเป็นคนชอบดูภาพยนตร์สยองขวัญแม้จะเป็นคนกลัวผีก็ตาม ภาพยนตร์ซึ่งเป็นหนึ่งในดวงใจของผมเคียงคู่ไปกับเรื่อง The Exorcist  ก็คือ  The Haunting  อันเป็นสุดยอดภาพยนตร์เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติและความมืดดำในใจของมนุษย์เรื่องนี้กำกับโดยโรเบิร์ต ไวส์  ผู้กำกับภาพยนตร์ที่มีผลงานอันโด่งดังอย่าง The Body Snatcher (1945) The Day the Earth Stood Still (1951) West Side Story (1961)  The Sound of Music (1965)

     The Haunting ออกฉายในปี 1963  สร้างมาจากนวนิยายสยองขวัญขายดีชื่อ The Haunting of Hill House (1959) ของเชอรี แจคสันซึ่งมีอิทธิพลต่อนักเขียนรุ่นหลังอย่างเช่นสตีเฟน คิงซึ่งให้การยกย่องนวนิยายเรื่องนี้อย่างมากมาย  น่าสนใจแม้ว่าภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในต้นทศวรรษที่ 60  จะหันมาเป็นสีธรรมชาติ แต่ The Haunting ยังคงนิยมใช้สีขาวดำซึ่งส่งผลคือภาพยนตร์มีความน่ากลัว เร้นลับอย่างที่สีธรรมชาติไม่สามารถสรรค์สร้างขึ้นมาได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะเป็นบทเรียนสำหรับผู้กำกับภาพยนตร์ของไทยที่ชอบทำหนัง  "ผีสะดุ้ง" คือให้ผีโผล่มาแบบไม่เป็นเวล่ำเวลาและใช้เสียงดังๆ ข่มขวัญคนดู นั้นคือ The Haunting จะทำให้คนดูโดยใช้การเล่าเรื่องและบรรยากาศในการสร้างความน่ากลัวเสียมากกว่า ส่วนเทคนิคพิเศษนั้นไม่ต้องกล่าวถึงแทบไม่มีเลย (ทำให้นึกถึงผู้กำกับหนังไทยคนหนึ่งที่ชอบใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกสร้างผีขึ้นมาจนหนังหมดความน่ากลัวไปเลย)  หรือถ้ามีก็เป็นแบบรากหญ้าเหมือนหนังเกรดบี แต่สามารถตรึงคนดูให้ขนลุกซู่กับเก้าอี้จนได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด คงต้องรอไปถึงปลายทศวรรษที่ 60  โน้นภาพยนตร์อย่างเช่น Rosemary's Baby (1968) จึงจะทำเช่นนี้ได้ หรืออย่าง The Exorcist (1973) ก็ประสบความสำเร็จในการสร้างบรรยากาศแห่งความชั่วร้ายซึ่งดูค่อยเป็นค่อยไปในช่วงต้นๆ ก่อนจะนำไปสู่จุดสุดยอดทางอารมณ์สุดสยอง

 

 

                                                                 

                                                                          ภาพจาก www.flickfetish.com

                ต่อไปนี้เป็นการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์                                             

              เริ่มต้นมาภาพยนตร์ก็สร้างบรรยากาศหลอน ๆ แก่ผู้ชมโดยการเล่าประวัติของปราสาททรงโกทิคขนาดมหึมาหลังหนึ่งชื่อฮิลล์ เฮ้าส์ ซึ่งถูกสร้าง โดยเศรษฐีนามว่าฮิวจ์ เคน ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19  ในสหรัฐอเมริกา เรื่องประหลาดก็เกิดขึ้นเมื่อม้าลากรถที่ลูกสาวและภรรยาของเขาโดยสารมาเกิดพยศขณะกำลังอยู่บนทางไปสู่ตัวปราสาท ทำให้รถพลิกคว่ำเข้าชนกับต้นไม้ใหญ่ ภรรยาของเคนเสียชีวิตคาที่ก่อนจะเห็นตัวบ้านเสียอีก นายเคนเสียใจมากจึงพยายามเลี้ยงลูกสาวอย่างดีที่สุดพร้อมกับหาแม่ใหม่ให้ แต่ภรรยาคนที่ 2  ของเขาก็เสียชีวิตโดยการตกจากบันไดในปราสาทอย่างลึกลับ ต่อมานายเคนนั้นก็จากโลกนี้ไปอีกคนเพราะจมน้ำขณะเดินทางในประเทศอังกฤษ ทิ้งบ้านและมรดกให้กับลูกสาว ซึ่งภาพยนตร์บอกไม่ชัดเจนแต่พอจะเดาได้ว่าเธอเหมือนกับเป็นเด็กปัญญาอ่อนที่วันๆ เอาแต่นอนอยู่บนเตียงรอการเลี้ยงดูจากพี่เลี้ยงไปจนแก่เฒ่า และเธอก็ได้จ้างผู้หญิงคนหนึ่งมาเป็นคนดูแล

       คืนหนึ่งหญิงชราเกิดสิ้นใจกระทันหันโดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากคนดูแลเพราะหญิงสาวมัวแต่ไปพลอดรักกับผู้ชาย ทว่าคนดูแลคนนั้นก็ได้รับบ้านเป็นมรดก ฉากน่ากลัวที่สุดของหนังก็คือตอนที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่ในบ้านเพียงลำพังพร้อมกับสภาพจิตที่ย่ำแย่ เธอได้ปีนบันไดในห้องสมุดขึ้นไปแขวนคอตัวเอง ภาพยนตร์ไม่ได้บอกชัดเจนว่าการกระทำของเธอเกิดจากความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยหญิงชราผู้เป็นนายจ้างได้ทันเวลาหรือว่าถูกผีในปราสาทดลใจเอา ก่อนที่ปราสาทอันแสนน่ากลัวนี้จะตกไปอยู่ในมือของญาติๆ ของนายเคนจนถึงปัจจุบัน ซึ่งไม่มีใครกล้าพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานเกินวันสองวัน แม้แต่คนดูแลบ้านพร้อมกับภรรยาก็อาศัยอยู่ห่างจากฮิลล์ เฮ้าส์ไปหลายไมล์ และคนทั้งคู่จะไม่ยอมอยู่ในบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดินเป็นอันขาด

        ดร.จอห์น มาร์กเวย์ (ริชาร์ด จอห์นสัน) ต้องการทำการทดลองปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติในฮิลล์ เฮ้าส์จึงไปพักอยู่ในปราสาทอย่างไม่มีกำหนดเวลาพร้อมเชิญผู้ร่วมทดลองซึ่งเป็นผู้หญิง 2 คนที่มีประสาทสัมผัสพิเศษคือเอลีนอร์ ลานซ์ (จูลีย์ แฮร์ริส) ที่วัยเยาว์เคยพบกับปรากฏการณ์โพล์เตอร์ไกสท์ หรือการพบกับผีที่ชอบทำเสียงดังหรือเคลื่อนย้ายของในบ้านและ ธีโอดอรา ธีโอ (แคร์ บลูม) ซึ่งมีพลังจิตสามารถทายไพ่ที่ซ่อนในมือได้ ดร.มาร์กเวย์ยังต้องรับเอาเด็กหนุ่มนามว่า ลุค แซนเดอร์สัน (รัสส์ แทมบิล์น) หลานของเจ้าของบ้านคนปัจจุบันมาร่วมทดลองด้วย อย่างไรก็ตาม ตัวละครที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เน้นมากที่สุดคือเอลีนอร์ซึ่งมีสภาพจิตใจไม่ปรกตินัก เธอมักจะโทษตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้แม่ของตัวเองเสียชีวิตเพราะไม่ยอมมาช่วยเหลือแม่หลังจากได้ยินเสียงแม่ตบกำแพงก่อนจะสิ้นลมบนเตียงที่นอนป่วยมานาน

                   

                                                  

                                                             

                                                                        ภาพจาก www.finalgirlsupportgroup.com

 

    เอลีนอร์ต้องอาศัยอยู่ในบ้านพี่สาวโดยมีที่นอนคือห้องนั่งเล่นและมีปัญหากับครอบครัวของพี่สาวอยู่เนืองๆ ในที่สุดเมื่อได้รับคำเชิญจาก ดร.มาร์กเวย์ เอลีนอร์ก็เก็บข้าวของแอบเอารถพี่สาวมุ่งหน้าจะมาตายดาบหน้า ณ ฮิลล์ เฮ้าส์ เธอสามารถสัมผัสได้ถึงความไม่ปกติของปราสาทหลังนี้เช่นเมื่อเธอก้าวเข้าใกล้ตัวปราสาท เธอบอกกับคนดูว่า ตัวปราสาทกำลัง "จ้องมอง"เธออย่างไม่วางตา และหลังจากนั้นภาพยนตร์ก็ถ่ายทอดความผิดปรกติและการหลอกหลอน (แบบมีศิลปะ)  ของปราสาทโดยผ่านสายตาของเอลีนอร์ตลอดจนจบ และคนดูก็ได้รู้ว่าฮิลล์ เฮ้าส์นี่เองเป็นตัวละครเอกตัวที่ 5 ของเรื่องที่บทบาทไม่ด้อยกว่าใครในเรื่องเลย

    The Haunting ถูกนำมาสร้างใหม่ในปี 1999 โดยแจน เดอบองท์ซึ่งนำสเปเชียลเอฟเฟ็คมาเสริมสร้างความน่ากลัวแต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ด้วยนักวิจารณ์มักจะโจมตีภาพยนตร์ในเรื่องการแสดงอันไม่ได้เรื่องของตัวละครพร้อมกับบทที่ย่ำแย่ขาดมิติทางจิตวิทยาที่เคยมีเต็มเปี่ยมในภาพยนตร์ต้นแบบ  และหากใครได้ดูเรื่อง Psycho ของอัลเฟรด ฮิชต์ค็อคมาก่อนก็จะรู้ได้เลยว่า The Haunting ต้นแบบดูจะได้รับอิทธิพลมาอย่างมากมายในเรื่องของการสร้างบรรยากาศที่ดูลึกลับ ไม่น่าไว้วางใจ สลับกับการนำเสนอปมซ่อนเร้นทางจิตวิทยาของตัวละครที่ภาพยนตร์ในยุคปัจจุบันมักจะนำมาใช้ พร้อมกับการทิ้งปมให้คนดูตีความเอาเองว่ามันเกิดจาก "ปราสาท" ที่เต็มไปด้วยวิญญาณที่ขมขื่นใจหรือว่าแท้ที่จริงมันเกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของ "ประสาท" ตัวละครเองอย่างในเรื่องนี้ความรู้สึกผิดบาปของเอลีนอร์ช่างเหมือนกับ "คนดูแล"ที่ปล่อยให้คนแก่เสียชีวิตบนเตียงเสียนี่กระไร จึงไม่ต้องสงสัยว่าเอลีนอร์จะต้องพบกับฉากสุดท้ายเช่นเดียวกับ"คนดูแล"หรือแม้แต่นายหญิงคนแรกของปราสาท...

 

 

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ  paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                                                                                    &
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                 แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก  www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989  หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523  ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี  ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&