ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาได้เพียงเรื่องเดียวนั่นคือ Fidelio
กระนั้นกว่าจะเข็น Fidelioออกมาได้ เบโธเฟนก็ต้องใช้พรแสวงในการศึกษาอย่างจริงจัง (ตามมุมมองของคนทั่วไป โมซาร์ทเก่งเพราะพรสวรรค์และเบโธเฟนเก่งเพราะพรแสวง ความจริงคนทั้งคู่ก็อาศัยพรทั้งสองประการนี้ไปพร้อมๆ กัน) เบโธเฟนลงทุนไปเรียนกับครูเพลงต่าง ๆ รวมไปถึง อันโตนีโอ ซาเลียรี นักแต่งอุปรากรที่สุดแสนโด่งดังในยุคของเขา ในส่วนของการร้องเพลง ช่วงปี 1800-1802 ซาเสียรีดีใจหายช่วยสอนแบบให้เปล่า เบโธเฟนจึงตอบแทนโดยการแต่งเพลงแบบ Variation รวมไปถึงอุทิศโซนาต้าสำหรับเปียโนและไวโอลินจำนวน 3 เพลงให้แก่ท่านอาจารย์ (เป็นที่น่าสนใจว่าถ้าซาเลียรีเป็นผู้ฆ่าโมซาร์ทเหมือนที่เล่าลือจริง เบโธเฟนซึ่งชื่นชอบโมซาร์ทก็ไม่น่าจะมาสนิทสนมกับครูเพลงท่านนี้เป็นอันขาด)
ที่สำคัญ เบโธเฟนยังต้องอาศัยนักเขียนบทละคร นามว่าโจเซฟ ซอห์นไลท์เนอร์ซึ่งก็ดัดแปลงบทมาจากละครเรื่อง Leonore ของญอง นิโคลา บูลลีย์ ผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศส และได้แรงบันดาลใจจากหญิงคนหนึ่งที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายเพื่อช่วยเหลือสามีจากคุกบาสตีย์ (คุกที่ขังนักโทษการเมืองในฝรั่งเศส) แต่ในอุปรากรของเบโธเฟนเป็นฉากในคุกใต้ดินสเปน ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ที่ลีโอนอราปลอมเป็นชายหนุ่มที่ชื่อฟิเดลีโอมาช่วยสามีของเธอคือฟลอเรสตาน นักหนังสือพิมพ์ที่ถูกคุมขังในคุกใต้ดินโดยดอน ปีซาร์โร หัวหน้าเรือนจำจอมอิทธิพล ฟิเดริโอทำงานเป็นลูกน้องของรอคโค พัศดีเฒ่า เช่นเดียวกับฮาคิโน คนเฝ้าประตูซึ่งลุ่มหลงลูกสาวของรอคโคคือมาร์เซลลิน แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมเล่นด้วยและกลับมาปฏิพัทธ์ต่อตัวฟิเดริโอ เพื่อให้เป็นไปตามแผนการ เธอก็ต้องตกกระไดพลอยโจน เป็นคู่รักและว่าที่เจ้าบ่าวของมาร์เซลลินไปด้วย ดอน ปีซาโรได้รับทราบข่าวว่าดอน เฟอร์ดินันด์รัฐมนตรีจะมาตรวจคุกเพราะได้รับข่าวว่า ปีซาโร ทำตัวเป็นเผด็จการ เขาจึงคิดจะสังหารฟลอเรสตานเพื่อปกปิดความผิดของตัวเอง ในท้ายสุดแล้ว ฟิเดริโอจะสามารถช่วยสามีของตนได้หรือไม่ จึงน่าตื่นเต้นว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป
ภาพจาก www.vienna-concert.com
(ลีโอนอราขณะเอาขนมปังให้แก่ฟลอเรสตานในคุกใต้ดิน ด้วยความมืด เขาไม่สามารถเห็นหล่อนอย่างชัดเจน แต่ด้วยความซาบซึ้งใจจึงร้องเพลงอวยพรหล่อน "Euch werde Lohn in bessern Welten" หรือ "ท่านจะได้รับรางวัลในสวรรค์" )
อุปรากรเรื่องนี้เดิมทีมีอยู่ 3 องค์ ภายใต้ชื่อเดิมคือ Leonore ถูกนำออกแสดงที่เทียเทอร์ อันเดอร์ ไวน์ ที่กรุงเวียนนา ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ปี 1805 แต่สิ่งที่ไม่น่าชื่นชมคือกรุงเวียนนาถูกยึดครองโดยกองทัพฝรั่งเศส เนื้อหาของอุปรากรที่มีเรื่องการเมืองเป็นฉากหลังของความรักและความเสียสละ ทำให้เพื่อนๆ ของเบโธเฟนกลัวว่า จะทำให้พวกนายทหารฝรั่งเศสที่มานั่งดูกันเป็นหมู่คณะเกิดความไม่พอใจ จึงกดดันให้เบโธเฟน ปรับเปลี่ยนเนื้อหาใหม่ ให้เหลือแค่ 2 องค์แถมยังต้องเขียนเพลงโหมโรงใหม่ ในปี 1806 และมาปรับเปลี่ยนเนื้อหาของอุปรากรกับจังหวะเพลงอีกครั้งในปี 1814 ท้ายสุดเขาต้องแต่งเพลงโหมโรงถึง 4 ครั้ง (Leonore Overture No. 1-3 และเพลงโหมโรง Fidelio)
สาเหตุอื่นที่ทำให้ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพราะนอกจากเบโธเฟนจะเป็นพวก Perfectionist คือชอบความสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกับโยฮันเนส บาร์มส์แล้ว เขามีอาการผิดปกติทางหู (ไม่ใช่หนวกทีเดียว หากแต่ค่อย ๆ แย่ลงตามอายุขัยและมาหนวกสนิทก็เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน) ทำให้เบโธเฟนแต่งทำนองและจังหวะของการร้องในลักษณะที่ยากเย็นสำหรับการร้อง (เป็นปัญหาเดียวกับที่เขาพบในซิมโฟนีหมายเลข 9 ที่ท่อนสุดท้ายมีเพลงประสานเสียงอันแสนโด่งดัง) เป็นที่น่าจดใจว่าในการแสดงอีกครั้งของอุปรากรเรื่องนี้ในปี 1814 ที่คาร์ทเนอร์เตอร์ เทียเตอร์ เด็กหนุ่มวัย 17 ปี นามว่า ฟรานซ์ ชูเบิร์ตถึงกลับยอมขายตำราเรียนเพื่อจะซื้อตั๋วเข้ามาชม ชูเบิร์ตชื่นชอบเบโธเฟนอย่างสุดซึ้ง ถึงขั้นแสดงเจตจำนงขอเป็นหนึ่งในบรรดาผู้แบกโลงของเบโธเฟนเพื่อไปฝังในพิธีศพ
ภาพจาก www.commdiginews.com
(รูปของกลุ่มนักโทษที่ตอบจบถูกปลดปล่อยจากคุกเพื่อพบกับลูกเมียและร้องประสานเสียง "Wer ein holdes Weib errungen" เพื่อยกย่องความกล้าหาญของลีโอนอรา)
Fidelio ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก และเป็นที่โด่งดังจนถึงปัจจุบันถึงแม้จะมีผู้วิจารณ์ว่าอุปรากรของเขาดูเหมือนจะขาดความลุ่มลึกและความสำเร็จเกิดจากบารมีของเบโธเฟนเป็นสำคัญ ว่าง่ายๆ คือคนที่รักเบโธเฟนก็จะรักอุปรากรเรื่องนี้ไปด้วย มากกว่าจะตระหนักถึงพลังของอุปรากรที่มักจะถูกดนตรีประกอบข่ม แต่ Fidelio ได้นำเสนอความแรงกล้าของความรักและการเสียสละ ที่สำคัญมีแนวทางการเมืองอยู่ด้วยอย่างชัดเจน อันแสดงให้เห็นว่าเบโธเฟนมีความสนใจในการเมือง (นอกจากนี้ยังจะดูได้จากการที่เขาเคยอุทิศซิมโฟนีหมายเลข 3 ให้กับนโปเลียน) สิ่งนี้ทำให้ เขาแตกต่างจากคีตกวีจำนวนมาก
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ช่วงนี้หลายประเทศได้ทำการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488) ประเทศที่ได้รับชัยชนะอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและพันธมิต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
I remember reading the interview by the last promoter of คณะราษฏร (People's Party or PP) from the Sarakandee magazine ,probably a decade ago.At that time he was ageing , frail ,but still p
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
n the future of disruptive world,if I am able to make the documentary film about Sergeant Major Chakaphan Thomma who committed the worst Mass shooting in Thai history , what will the t
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Puzzling that it may seem when Thai authority chose the day king Naresuan reputedly fought with Hongsawadee's viceroy on the elephants as the Army Day.This is because, on that glorious
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นตำราเรียนมักบอกว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 มีประเทศที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศคือจีน เวียดนาม ลาว คิวบาว และเกาหลีเหนือ (ตลกดีมีคนที
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"...All right, Mr. DeMille, I'm ready for my close-up."
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากใครมาดูหนังเรื่อง Wild Strawberries แล้วเคยประทับใจกับหนังเรื่อง About Schmidt (2002) ที่ Jack Nicholson แสดงเป็นพ่อหม้ายชราที่ต้องเดินทางไปกับรถตู้ขนาดใหญ่เพื่อไปงานแต่งงานของลูกสาวและได้ค้นสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตมาก่อน ก็จะพบว่าทั้งสองเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Throne of Blood (1957) หรือ"บัลลังก์เลือด" เป็นภาพยนตร์ขาวดำของยอดผู้กำกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นคืออาคิระ คุโรซาวา ที่ทางตะวันตกยกย่องมาก เกือบจะไม่แพ้ Seven Samurai หรือ Rashomon เลยก็ว่าได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือการดัดแปลงมาจาก Macbeth