Skip to main content

  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบาลเบ่ยจิ่งอย่างมากในวันนี้ ต่อไปนี้คือความหายนะครั้งที่ 2 ที่ก่อโดยพรรคคอมมิวนิสต์นั่นคือปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งเป็นความตั้งใจของเหมา เจ๋อตงบิดาผู้ก่อตั้งจีนยุคใหม่ (ซึ่งยืนอ่านประกาศเหนือประตูของพระราชวังต้องห้ามในวันที่ 1 เดือนตุลาคมปี 1949) เพื่อการลุสู่อำนาจอันสะท้อนถึงความฉ้อฉลสุดขีดของการเมืองจีน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนที่สนับสนุนรัฐบาลเบ่ยจิ่งมักอ้างว่าเกิดจากความผิดพลาดของรัฐบาลจีนเพียงอย่างเดียว อันสะท้อนให้เห็นว่าภาพอันสวยงามที่จีนพยายามนำเสนอในวันชาตินี้มีเงามืดแฝงอยู่อย่างแยกไม่ออกด้วย

 

  การปฏิวัติวัฒนธรรมหรือ Cultural Revolution มีตัวละครสำคัญคือชาวเร็ดการ์ด (ภาษาจีนคือหง เหว่ยปิง) คือเยาวชนซึ่งได้รับการปลูกฝังให้เลื่อมใสและศรัทธาในอุดมการณ์ของเหมา เจ๋อตง ผ่านหนังสือเล่มเล็กสีแดงคือสรรนิพนธ์ของเหมา ถือได้ว่าเป็นจักรกลสำคัญของปฏิวัติวัฒนธรรมจีนซึ่งเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี 1966 ในการประชุมของคณะกรรมการกลางของพรรคคอมมิวนิสต์ เหมาได้กล่าวคำปราศรัยเรียกร้องให้เยาวชนเล่นงานผู้นำของพรรคซึ่งหันมาสมาทานค่านิยมของชนชั้นกลางและละทิ้งจิตวิญญาณของการปฏิวัติ ปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นเกิดจากความต้องการของเหมาในการกลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังจากต้องเพลี่ยงพล้ำให้กับผู้นำคนอื่นในพรรคอย่างเช่นหลิว เซ่าฉีและเติ้ง เสี่ยวผิง เพราะความล้มเหลวของนโยบายการก้าวกระโดดไกล (Great Leap Forward) ในทศวรรษที่ 50 ของเหมาซึ่งส่งผลให้เกิดทุพภิขภัยครั้งร้ายแรง มีการประเมินว่ามีคนจีนเสียชีวิตไปประมาณ 45 ล้านศพ

 

 

                                   ในภาพอาจจะมี 18 คน, ผู้คนกำลังยืน

 

 

   เหมาเสนอทฤษฎีตามแบบสตาลินว่า ตอนนั้ันจีนยังไม่สามารถก้าวสู่สังคมนิยมแบบเต็มรูปแบบได้เพราะยังมีคนอีกจำนวนมากซึ่งยังฝักใฝ่ในทุนนิยม หัวต้านการปฏิวัติ หรือพวกนิยมศักดินาแฝงอยู่ในสังคมจีน ทุกระดับแม้แต่ในพรรคคอมมิวนิสต์ คนเหล่านั้นต้องถูกกำจัดให้หมดไป เช่นเดียวกับสิ่งเก่าๆ อย่างนิสัย ธรรมเนียม ความคิด วัฒธรรม (4เก่าหรือ 4 olds) ต้องถูกทำลาย นอกจากเหมาแล้วก็ยังมีลิ่วล้ออาศัยกระแสเชิดชูเหมาเพื่อสร้างอำนาจในตัวเองอย่างเช่นนางเจียง ชิงหัวหน้าแก๊งค์สี่คนซึ่งเป็นภรรยาของเหมา เฉิน ป่อต๋าและหลินเปียวเป็นต้น พวกเร็ดการ์ดก็จะถือว่าการชุมนุมและเดินพาเหรดต่อหน้าเหมาจู่เสียน (ท่านประธานเหมา) เป็นเกียรติในชีวิตมากอย่างเช่นในปี 1966 ที่จตุรัสเทียนอันเหมิน พวกเขาจะลงทุนแออัดกันในรถไฟเพื่อเดินทางมาจากมณฑลไกลๆ เพื่อจะได้พบกับเหมา

 

   พวกเร็ดการ์ดได้เข้าเล่นงานบุคคลในทุกภาคส่วนของสังคมตั้งแต่คุณครูในห้องเรียนตัวเอง อาจารย์มหาวิทยาลัย ปัญญาชนจนไปถึงผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเช่น หลิว เซ่าฉี เติ้ง เสี่ยวผิง เผิง เต๋อหวาย ฯลฯ หลิวและเผิงถูกเร็ดการ์ดทำร้ายร่างกายและปล่อยให้เสียชีวิต ส่วนเติ้งแม้ไม่ได้มีชะตากรรมเช่นเดียวกับเพื่อนแต่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด ลูกชายของเขาต้องพิการเพราะโดดจากตึกเพื่อฆ่าตัวตายหนีพวกเร็ดการ์ด สำหรับโจว เอินไหลนายกรัฐมนตรีเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่รับผลกระทบน้อยที่สุดแต่ก็ทำให้เขาต้องแสดงความซื่อสัตย์อย่างสุดจิตสุดใจต่อเหมา วิธีการของพวกเร็ดการ์ดได้แก่การนำตัวผู้เคราะห์ร้ายไปสอบสวน รุมทำร้าย ด่าทอ ประณาม นำไปแห่ประจานต่อหน้าสาธารณะ บังคับให้สวมหมวกยาวๆ (หมวกคนโง่) โกนหัวบางส่วน หรือเอาของหนักๆ แขวนคอ (เหมือนในหนังเรื่อง The Last Emperor เป็นเครื่องพิมพ์ดีด) เพื่อให้คนเหล่านั้นสำนึกผิดและสารภาพทั้งที่ไม่ได้มีความผิดอะไร บ้างก็ถูกบังคับให้คลานเหนือเศษกระจก บ้างก็ถูกจับไปประหารชีวิตเสียเลย นัยว่าในยุคนั้นไม่มีใครปลอดภัยเลย เพราะทุกคนสามารถถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกมีความคิดดังข้างบนได้หมด

 

นอกจากนี้ วัดวาอาราม โบสถ์คริสต์ โบราณสถานอย่างเช่นสุสานกษัตริย์ราชวงศ์หมิง ถูกพวกเร็ดการ์ดบุกเข้าทำลายเพราะเห็นว่าเป็นเศษเดนของศักดินา แต่พวกเขาก็แอบปล้นสะดมด้วย อาจารย์วรศักดิ์ มหัทธโนบลเล่าว่าตอนเจียง ไคเช็คหนีไปไต้หวันในปี 1949 ได้ขโมยของโบราณไปหลายแสนชิ้นซึ่งกลายเป็นเรื่องดีไป ไม่เช่นนั้นของพวกนี้ต้องสูญสลายหรือหายไปในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นแน่ สังคมและเศรษฐกิจจีนในช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมได้รับความเสียหายอย่างหนัก มีผู้เสียชีวิตเป็นล้านๆ หรืออาจถึงหลายสิบล้าน (จำนวนที่ว่านี้คือการประเมิน เพราะการนับจำนวนจริงๆ เป็นไปไม่ได้เลย) ครอบครัวต้องแตกสลาย ตัวอย่างในนั้นคือครอบครัวของสี จิ้นผิง ผู้นำคนปัจจุบันของจีน โดยคุณพ่อคือสี จ้ง สวินเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรคซึ่งถูกเร็ดการ์ดเล่นงานเหมือนกัน ส่วนพี่สาวของสี จิ้นผิงต้องฆ่าตัวตายเพราะโดนแรงกดดันจากพวกเร็ดการ์ด ส่วนฝ่ายความมั่นคงอย่างตำรวจและกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนได้รับคำสั่งให้อยู่นิ่งเฉย อย่างไรก็ตามในช่วงหลังก็ไม่ได้มีตัวละครที่ก่อความวุ่นวายเพียงแค่เร็ดการ์ด หากรวมไปถึงคนงานและทหารบางหน่วยอีกด้วย และมีนับครั้งในถ้วนที่บรรดาคนเหล่านั้นซึ่งแบ่งเป็น กลุ่มเป็นก๊กจะหันมาต่อสู้กันเองไม่ว่าทางกายหรือการใช้อาวุธจนดูเหมือนกับสงครามกลางเมืองแบบย่อยๆ

 

เมื่อเหมา เจ๋อตงเห็นว่าปฏิวัติวัฒนธรรมเริ่มลุกลามจนคุมไม่อยู่จึงประกาศยุติการปฏิวัติในปี 1969 และได้ให้กองทัพปลดปล่อยประชาชนจีนเข้าจัด การกับเร็ดการ์ดโดยส่งเยาวชนเหล่านั้นไปเรียนรู้วิถีของมวลชนในชนบทเป็นเวลาหลายปี พวกเร็ดการ์ดปัจจุบันถูกขนานนามว่าเป็นรุ่นที่สาปสูญ (Lost Generation) และหนึ่งในนั้นคือสี จิ้นผิงซึ่งต้องไปอยู่ในถ้ำ กินนอนกับชาวบ้านที่มณฑลส่านซีอยู่หลายปี และจากนั้นกองทัพก็เข้ามามีอิทธิพลในสังคมจีนอย่างมาก จวบจนหลิน เปียวผู้มีอำนาจสูงสุดในกองทัพและทายาททางการเมืองของเหมาเกิดแตกคอกับเหมาและพยายามทำรัฐประหารโค่นล้มท่านประธาน แต่ไม่สำเร็จ เลยหนีไปมงโกเลียพร้อมครอบครัวแต่เครื่องบินตกเสียก่อนในปี 1971 กระนั้นปฏิวัติวัฒนธรรมก็ยังมีแรงเฉื่อยอยู่ไปจนถึงปี 1976 ที่เหมาถึงแก่อสัญกรรม และแก๊งสี่คนถูกจับกุมดำเนินคดีต้องติดคุกกันไปคนหลายสิบปี แต่นางเจียง ชิงได้ฆ่าตัวตายขณะถูกคุมขัง เมื่อเติ้ง เสี่ยวผิงขึ้นมามีอำนาจในอีก 2 ปีต่อมาก็ได้รื้อฟื้นเกียรติยศแก่เหยื่อของการปฏิวัติ

 

                          

                              ในภาพอาจจะมี 3 คน, ผู้คนกำลังยืน, ฝูงชน และสถานที่กลางแจ้ง

 

 

ปัจจุบันพรรคคอมมิวนิสต์เองยังยอมรับว่าเป็นการปฏิวัติวัฒนธรรมเป็นความผิดพลาดที่ร้ายแรง แต่ก็พยายามไม่ให้กลายเป็นวาทกรรมที่แพร่หลายในการทำลายชื่อเสียงของทางพรรค คนรุ่นใหม่ของจีนก็ได้รับการศึกษาทางประวัติศาสตร์ที่โดดข้ามยุคนี้ไปหรือกล่าวถึงในบางด้าน (เหมือนเด็กไทยที่ได้เรียนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519) ส่วนพวกเร็ดการ์ดในปัจจุบันซึ่งอายุ 50 ขึ้นไปกลายเป็นนายทุน นักธุรกิจก็เยอะ จำนวนมากจะแสดงความรู้สึกเสียใจต่อการกระทำของตัวเอง บ้างก็หันมาประณามเหมาอย่างเสีย ๆ หายๆ ตัวอย่างเช่นจุง ชาง เจ้าของหนังสือ Mao: The Unknown Story เกี่ยวกับชีวประวัติเหมาในด้านลบสุดๆ ทั้งนี้ไม่รวมถึงหนังสือ The Private Life of Chairman Mao ซึ่งเปิดเผยถึงตัวตนที่แท้จริงของเหมาในบางด้านที่เขียนโดยนายแพทย์ประจำตัวของเหมาคือลี่ จื้อซุยผู้ซึ่งก็ถือว่าได้รับผล กระทบจากปฏิวัติวัฒนธรรมเช่นกัน

อย่างไรก็ตามในยุคของสี จิ้นผิงผู้นำซึ่งเปลี่ยนแปลงแนวคิดผู้นำรวมหมู่ (Collective Leadership) ที่วางโดยเติ้ง เสี่ยวผิง ได้พยายามรื้อฟื้นลัทธิบูชาบุคคลแบบเหมายุคใหม่หรือ Neo-Maoism และมีความกลัวต่อการปฏิวัติวัฒนธรรมเวอร์ชั่น 2.0 คือลัทธิล่าแม่มดตามแบบจีนอีกครั้ง จึงกลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่เหยื่อปฏิวัติวัฒนธรรมอย่างสีจะหันมาใช้กลยุทธดังกล่าวเพื่อสร้างอำนาจให้กับตัวเอง

บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์

อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เข้าใจว่าผลงานของ William Shakespeare ที่คนไทยรู้จักกันดีรองจากเรื่อง Romeo and Julius ก็คือวานิชเวนิส หรือ Merchant of Venice ด้วยเหตุที่ล้นเกล้ารัชกาลที่หกทรงแปลออกมาเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาสำหรับเด็กนักเรียนได้อ่านกัน และประโยค ๆ หนึ่งกลายเป็นประโยคยอดฮิตที่ยกย่องดนตรีว่า &nbsp
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากพูดถึงหนังเพลงหรือ musical ที่มีสีสันมากที่สุดเรื่องหนึ่งในทศวรรษที่ห้าสิบและหกสิบ เราก็คงจะนึกถึงเรื่อง West Side Story เป็นเรื่องแรก ๆ อาจจะก่อน Singin' in The Rain หรือ Sound of Music เสียด้วยซ้ำ ด้วยหนังเรื่องนี้มีจุดเด่นคือเพลงทั้งบรรเลงและเพลงร้องที่แสนไพเราะ ฝีมือการกำกับวงของวาทยากรอ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
มักเป็นที่เข้าใจว่าอเมริกาเป็นประเทศแห่งความเท่าเทียมกัน อาจด้วยอเมริกานั้นไม่เคยเปลี่ยนผ่านยุคศักดินาเหมือนกับประเทศในเอเชียและยุโรป อเมริกาถึงแม้จะมีชนชั้นกลางมากแต่บรรดาในชนชั้นกลางก็มีการแบ่งแบ่งแยกที่ดีที่สุดคือเงิน รองลงมาก็ได้แก่ฐานะทางสังคม สีผิว เพศ ฯลฯ เอาเข้าจริงๆ ไม่มีสังคมไหนในโลกท
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
    1.นอยด์ เป็นคำแสลงที่ถือกำเนิดได้มานานหลายปีแล้ว มาจากคำว่า noid กร่อน (โดยคนไทยเอง) จากศัพท์อังกฤษ  paranoid ซึ่งแปลว่า ความวิตกกังวลว่าคนอื่นไม่ชอบหรือพยายามจะทำร้ายตัวเองแม้ว
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                                                                                    &
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ผีเป็นบุคคลที่เราไม่พึงปรารถนาจะพบ แต่เราชอบนินทาพวกเขาแถมยังพยายามเจอบ่อยเหลือเกินในจอภาพยนตร์ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริงหรือเปล่า ด้วยส่วนใหญ่ได้ยินกันปากต่อปาก ประสบการณ์ส่วนตัวก็ไม่ชัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติทางประสาทสัมผัส หรือการหลอกตัวเองก็ได้ ยิ่งหนังผีทำได้วิจิตร พิศดารออกมามากเท่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
                 แปลและตัดต่อบางส่วนจากบทความ Gustav Mahler : The Austrian composer เขียนโดยเดรีก วี คุก จาก  www.britannica.com
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ทศวรรษที่ 80 ของฝรั่งคือปี 1980-1989  หรือว่าช่วง พ.ศ. 2523  ถึง พ.ศ.
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ถึงแม้เบโธเฟน (Ludwig Van Beethoven) จะได้ชื่อว่าเป็น คีตกวีที่แสนเก่งกาจคนหนึ่งในยุคคลาสสิกและโรแมนติก แต่ศิลปะแขนงหนึ่งที่เขาไม่สู้จะถนัดนักคือการเขียนอุปรากร เหมือนกับ โมซาร์ท คาร์ล มาเรีย ฟอน เวเบอร์ หรือ โจอากีโน รอสซีนี  ดังนั้นช่วงชีวิต 50 กว่าปีของเบโธเฟนจึงสามารถสร้างอุปรากรออกมาไ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ตามความจริง คำว่า Godfather เป็นคำที่ดีมาก หมายถึงพ่อทูนหัว ของศาสนาคริสต์ที่หมายถึงใครสักคนหนึ่งยอมรับเป็นพ่อทูนหัวของเด็กซึ่งเป็นลูกของคนอื่นในพิธีศีลจุ่มหรือ Baptism เขาก็จะเป็นผู้ประกันว่าเด็กคนนั้นจะได้รับการศึกษาทางศาสนาและถ้าพ่อแม่ของเด็กคนนั้นตายก็ต้องรับอุปการะ นอกจากนี้ยังหมายถึงฝ่ายห
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
 visionary ,under the shadow Prayut tries to be the most visionary politician,but he is merely under the shadow of Thacky.&