ในวันพุธที่ 20 มกราคมที่จะถึงนี้ โดนัลด์ ทรัมป์ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งจากประธานาธิบดีเป็นอดีตประธานาธิบดีไปเสียแล้ว สำหรับผมรู้สึกว่ามันผ่านไปเร็วเหลือเกิน ตอนเขาแข่งขันเพื่อชิงกับตำแหน่งประธานาธิบดีกับฮิลลารี่ คลินตันอย่างดุเดือดและพลิกล็อคเมื่อ 4 ปีก่อนก็เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานซืน เป็นเรื่องน่าตลกว่าสาเหตุที่ทรัมป์ได้รับเลือกตั้งก็คือสาเหตุเดียวกับการที่เขาต้องเข้ากระบวนการเพื่อถอดถอนหรือ impeach อีกครั้งก่อนหมดวาระนั่นคือความรักอย่างไม่เสื่อมคลายของบรรดาแฟนคลับจำนวนมากนั่นเอง พวกเขาเริ่มต้นจากการเห็นว่าทรัมป์เป็นคนนอกของวงการการเมืองสหรัฐฯ ที่น่าศรัทธา เป็นมหาเศรษฐีที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนประสบความสำเร็จ เป็นคนพูดจาโผงผาง หัวอนุรักษ์นิยม เชิดชูความเป็นอเมริกันมาอย่างคงเส้นคงวา ด้วยก่อนทรัมป์จะมาชิงตำแหน่งประธานาธิบดีนั้น คนอเมริกันจำนวนมากเบื่อหน่ายการเมืองสหรัฐฯ เพราะเป็นวงการที่เต็มไปด้วยอภิสิทธิชน นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของชนชั้นสูง โดยมีตัวแทนอย่างประธานาธิบดีบารัก โอบามา คู่สามีภรรยาคืออดีตประธานาธิบดีบิล และนางฮิลลารี่ คลินตัน ถึงแม้โอบามาและนางคลินตันจะถล่มกันเสียเละเทะในช่วงแข่งขันเพื่อเป็นตัวแทนของพรรคเมื่อปี 2008 พวกอนุรักษ์นิยมก็มองว่าทั้งคู่อยู่ในประเภทเดียวกัน เช่นเดียวกับรองประธานาธิบดี โจ ไบเดนซึ่งคว่ำหวอดในการเมืองมาหลายสิบปีแต่จืดฉืด ไร้สีสัน เหมาะกับไปเลี้ยงหลานที่บ้าน ซึ่งถ้า 4 ปีก่อนเขาลงแข่งขันแทนคลินตัน เขาก็คงแพ้ทรัมป์เช่นกัน ในสายตาของคนอเมริกันจำนวนมากโดยเฉพาะพวกอนุรักษ์นิยมที่เบื่อการเมืองแบบเดิมๆ ทรัมป์ที่แม้ยังดูเป็นอิสระจากพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นต้นสังกัดน่าจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการเมืองสหรัฐฯ
กระนั้นใน 4 ปีที่ผ่านมาได้สะท้อนว่าทรัมป์บริหารประเทศแบบ unconventional คือแหกกรอบและขาดความเป็นระบบไม่ได้มีผลงานอะไรโดดเด่นนัก นอกจากเรื่องเศรษฐกิจ (ซึ่งก็มีคนว่าที่จริงเป็นผลต่อเนื่องมาจากรัฐบาลของโอบามา) เขายังลือชื่อในการปลดผู้ทำงานรอบข้างเป็นว่าเล่น ไม่ว่ารัฐมนตรีว่ากระทรวงสำคัญอย่างกระทรวงต่างประเทศและกลาโหมเช่นเดียวกับที่ปรึกษาความมั่นคงเพียงเพราะคนเหล่านั้นไม่สามารถตอบสนองอัตตาอันแรงกล้าและนโยบายที่ไม่คงเส้นคงวาของทรัมป์ได้ และพวกเขาก็ออกมาให้สัมภาษณ์โจมตีหรือเขียนหนังสือเปิดเผยข้อมูลที่เป็นโทษแก่ทรัมป์ทั้งสิ้นนอกจากนี้คนรอบข้างของเขาเช่นนักวางกลยุทธ์ในการหาเสียงหรือทนายส่วนตัวของทรัมป์ก็มีแต่เจอปัญหาทางกฎหมาย นอกจากนี้ทรัมป์ยังเจอปัญหาทางกฎหมายเองเช่นการหนีภาษีหรือการฉ้อโกงเรื่องอสังหาริมทรัพย์ ส่วนนโยบายการทำสงครามการค้ากับจีนถึงแม้จะทำให้เขาปลุกระดมลัทธิชาตินิยมแต่ก็การขึ้นกำแพงภาษีของจีนทำให้เกษตรกรซึ่งเคยเป็นฐานเสียงของเขาจำนวนมากต้องเดือดร้อน ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวผสมกับความผิดพลาดครั้งใหญ่ของทรัมป์ในการรับมือกับโรคระบาดโควิด - 19 ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนพ่ายแพ้แก่โจ ไบเดน
อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องที่น่าทึ่งว่า แม้ว่าทรัมป์จะแพ้ด้วยคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) ให้แก่ไบเดนถึง 232 ต่อ 306 และแพ้คะแนนเสียงของประชาชน (Popular Vote) แก่ไบเดน ถึง 7 ล้านเสียง แต่ทรัมป์ถือได้ว่าเป็นผู้แข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ นั่นคือ 74,222,593 เสียง มากกว่าโอบามาในปี 2008 ถึง 5 ล้านเสียง (นอกจากนี้ยังเป็นเรื่องน่าขนลุกว่าทรัมป์ได้คะแนนเสียงมากว่าประธานาธิบดีในอดีตซึ่งเป็นขวัญใจและวีรบุรุษของคนอเมริกันทั้งสิ้นอย่างเช่นจอห์น เอฟ เคนนาดี หรือแฟรงคลิน ดี รุสเวลต์ หากไม่คำนึงถึงสัดส่วนของจำนวนประชากรที่เปลี่ยนไป ) และถ้าเปรียบเทียบกับคะแนนเสียงของตัวทรัมป์เองในปี 2016 คือ 62,984,828 เสียง ก็แสดงให้เห็นว่าเขาได้คะแนนจากประชาชนเพิ่มเกือบ 12 ล้านเสียง! อันแสดงว่าที่จริงทรัมป์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เพียงแต่ไบเดนได้คะแนนมากกว่าจากพวกเดโมแครตที่เกลียดทรัมป์หรือ พวกเฉยๆ ต่อไบเดนแต่ไม่ชอบนโยบายทรัมป์อย่างการรับมือกับโควิด-19 เป็นต้น
มีการวิเคราะห์มากมายว่าเหตุใดทรัมป์จึงได้คะแนนเสียงจากประชาชนมากกว่าเดิมและเป็นจำนวนมหาศาล คำตอบที่น่าจะตรงกันก็คือ Politics of Identity หรือการเมืองภาคอัตลักษณ์นั้นเอง ในขณะที่มีคนอเมริกันจำนวนมากเสื่อมศรัทธาทรัมป์ แต่ก็มีคนอเมริกันอีกจำนวนมากที่ยังคงหรือหันมาศรัทธาในตัวทรัมป์โดยการมองผ่านมุมของพวกอนุรักษ์นิยมในแง่มุมที่แตกต่างกันออกไป (กล่าวง่าย ๆ คือมีคนออกจากกลุ่มเอฟซีทรัมป์ แต่ก็มีคนยังอยู่หรือเข้าร่วมกลุ่มมากกว่า) นั่นคือคนอเมริกันหัวอนุรักษ์นิยมจำนวนมากมองว่าพวกที่เป็นศัตรูกับทรัมป์โดยเฉพาะพรรคเดโมแครต ล้วนเป็นพวกเสรีนิยมจอมปลอมที่แสดงท่าทีเหมือนยกย่องสิทธิสตรี ชาว LGBT คนสีผิวเพียงเพื่อคะแนนเสียง (ผมเคยเห็นการ์ตูนล้อเลียน แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐว่าพร้อมจะแปลงร่างเป็นอะไรก็ได้เพื่อดูดคะแนนเสียงจากคนอเมริกัน) บางพวกมองว่าเรื่องอื้อฉาวของทรัมป์ทั้งหลายนั้นเกิดจากการกลั่นแกล้งของพวกเดโมแครตและพวกมีอำนาจแฝงเช่นพวกนายทุนและระบบราชการอันทรงอิทธิพลเพราะทรัมป์ต้องการต่อสู้และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจของคนเหล่านั้น บางพวกก็เชื่อในทฤษฏีสมคบคิดอย่าง QAnon ที่ทรัมป์และพลพรรคปลุกปั่นทางอินเทอร์เน็ตว่าเป็นองค์กรลับอันทรงอิทธิพลที่ชั่วร้ายและคอยเล่นงานทรัมป์อยู่
ส่วนการระบาดของโควิด -19 ที่ทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตไปเป็นแสนๆ นั้นแม้ทรัมป์จะต้องรับผิดชอบอย่างเต็มตัว อย่างนายบ็อบ วูดวาร์ดนักหนังสือพิมพ์อาวุโสเปิดเผยบทสัมภาษณ์ของทรัมป์ว่าตนรู้ดีว่าโควิด-19นั้นระบาดง่ายและอันตรายแต่ไม่ต้องการให้เป็นเรื่องสำคัญนักเพราะจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย ย่อมทำให้คะแนนความนิยมของท่านประธานาธิบดีตกต่ำแต่ตามความจริงแล้ว สหรัฐฯ มีขนาดกว้างและมลรัฐต่างก็รับผลกระทบจากโควิด-19 ไม่เท่ากัน ดังนั้นมลรัฐที่ได้รับผลกระทบคือคนติดเชื้อน้อยและผู้ว่าการรัฐเป็นรีพับลิกันจนถึงวันเลือกตั้งก็อาจเลือกทรัมป์เป็นจำนวนมาก หรือพวกขวาอาจหันไปตำหนิผู้บริหารในระดับรองลงมาอย่างผู้ว่าการรัฐและนายกเทศมนตรี โดยเฉพาะจากพรรคเดโมแครตแทนทรัมป์ และที่สำคัญมีเพียงร้อยละ 24 ของผู้สนับสนุนทรัมป์เห็นว่าเรื่องโรคระบาดดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญในการลงคะแนนเสียง พวกขวาจำนวนมากยังเชื่อไปถึงขั้นว่าโควิด -19 เป็นแค่ทฤษฎีสมคบคิดที่สร้างขึ้นมา หาได้มีตัวตนอยู่จริงไม่ เช่นเดียวกับการประท้วงของพวกเรียกร้องสิทธิเสรีภาพของคนสีผิวอย่างเช่น Black Lives Matter เมื่อปีที่แล้ว พวกอนุรักษ์นิยมโดยเฉพาะคนขาวก็มองว่าเป็นเครื่องมือของนักการเมืองพรรคเดโมแครตในการทำลายความน่าเชื่อถือของทรัมป์เช่นการที่ผู้ว่าการรัฐหรือนายกเทศมนตรีไม่ยอมใช้กำลังจัดการกับกลุ่มประท้วงโดยเด็ดขาด โดยแท้ที่จริงมันคือมุมมองของคนขาวที่ยังถือว่าตัวเองเหนือกว่าใคร
นอกจากนี้คนจำนวนมากยังเชื่อว่าไบเดนเป็นหุ่นเชิดของจีน และจะมีนโยบายเอาอกเอาใจจีนในอนาคต ประธานาธิบดีที่อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ยังจะไม่สามารถรักษา law and order ของประเทศนี้ได้ อาจเพราะพรรคเดโมแครตแสดงตนว่าอยู่เคียงข้างขบวนการ Black Lives Matter เสมอมา หรือทรัมป์ยังกล่าวหาว่าไบเดนจะนำเอาลัทธิสังคมนิยมมาใช้ ทำให้คนเชื้อสายละตินหรือ Hispanic ซึ่งทรัมป์เคยดูุถูกอย่างมากเมื่อ 4 ปีก่อนหันมาเลือกทรัมป์ เพราะมีความรู้สึกด้านลบกับสังคมนิยมที่ก่อความเสียหายให้กับประเทศเก่าของพวกเขาอย่างคิวบาหรือเวเนซูเอลา (และตามความจริงทรัมป์เน้นที่คนเม็กซิโกมากกว่า) นอกจากนี้ยังได้แก่พวกอนุรักษ์นิยมอย่างพวกเคร่งศาสนาที่เป็นคนผิวขวาและโดยเฉพาะกลุ่ม Evangelical Protestants ที่ให้การสนับสนุนทรัมป์ซึ่งแสดงตัวเองว่าสนิทแนบแน่นกลุ่มของตน พวกขวาจำนวนหนึ่งยังเชื่อมานานแล้วว่าไบเดนและโอบามานั้นที่แท้จริงบูชาซาตาน และจะนำอเมริกาสู่ยุคมืด ตัวอย่างได้แก่ดาราดังคือ จอน วอยต์บิดาของแอเจลินา โจลี
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ชื่นชอบทรัมป์ที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยอดเยี่ยม และอัตราคนว่างงานต่ำ พวกเขายังฝันว่าสหรัฐฯ จะกลับมา great again ภายใต้อำนาจนำของผู้ชายผิวขาว หลังจากเล่นงานคู่แข่งตัวฉกาจอย่างจีนเสียย่ำแย่และโรคโควิด -19 ผ่านพ้นไป
ด้วยเหตุการณ์ดังกล่าวข้างบนก็ล้วนเป็นพัฒนาการของทรัมป์และทีมงานในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาดในการใส่ร้ายป้ายสีคู่แข่งตั้งแต่ 4 ปีก่อนนั้นเองผ่านข่าวปลอมหรือข้อมูลอันเป็นเท็จ กระนั้นเราก็ไม่สามารถบอกได้ว่า 70 กว่าล้านคนที่เลือกทรัมป์จะเป็นพวกขวาอนุรักษ์นิยมเสียหมดจำนวนมากอาจเลือกเพราะชอบนโบายของทรัมป์มากกว่าไบเดนหรือเกลียดไบเดนเสียยิ่งกว่าทรัมป์ อย่างไรก็ตามทรัมป์ซึ่งเป็นโรคหลงตัวเองก็ไม่สามารถปล่อยวางตำแหน่งประธานาธิบดีได้ ท่ามกลางตัวเลขอันน่ามหัศจรรย์ของผู้ลงคะแนนเสียงให้ เขาเชื่อว่าการใช้ทวิตเตอร์ (ซึ่งปัจจุบันถูกระงับไปตลอดกาล) ในการกล่าวหาไบเดนโกงการเลือกตั้งจะสามาถปลุกระดมกลุ่มผู้ภักดีต่อตนอย่างเหนียวแน่นซึ่งมีอัตลักษณ์ทางการเมืองคือพวกอนุรักษ์นิยมผิวขาวได้จำนวนมหาศาล และในที่สุดพวกเขาก็เข้ายึดรัฐสภาอันจะทำให้การลงคะแนนเสียงรับรองไบเดนล้มเหลว เช่นเดียวกับการที่ทรัมป์บีบให้ไมค์ เพนซ์ รองประธานาธิบดีซึ่งเป็นประธานล้มพิธีให้ได้แต่เพนซ์ปฏฺิเสธ ทรัมป์ได้รับการประณามจากทุกฝ่ายรวมไปถึงขบวนการถอดถอนออกจากตำแหน่งอันทำให้เขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่โดนถอดถอนถึง 2 ครั้ง และคนที่เคยเลือกเขาเมื่อปีที่แล้วคงคลายความนิยมไปเป็นจำนวนมหาศาล แต่ยังน่าจะมีฝ่ายขวาจำนวนมากเห็นอกเห็นใจทรัมป์ว่าตกเป็นเหยื่อของสื่อฝ่ายซ้ายและนักการเมืองพรรคเดโมแครต คนพวกนี้อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในอนาคตอีกก็เป็นได้
จากการถูกโจมตีเสียเละเทะ และกองกำลังเนชั่นนัลการ์ดได้เข้ามาประจำอย่างหนาแน่นเพื่อรักษาความสงบช่วงไบเดนและกมาลา แฮร์ริสเข้าพิธีสาบานตน ทรัมป์คงมีโอกาสน้อยเต็มทีที่จะทำอะไรแผลงๆ เพื่อยื้อตำแหน่งประธานาธิบดีได้ต่อไป เราน่าจะมาดูว่าสหรัฐฯ ในหยุคหลังทรัมป์นั้นจะมีสภาพความเป็นไปอย่างไร จากแรงปะทะของการขึ้นมาของพวกเสรีนิยมกับร่องรอยที่เหลือของพวกอนุรักษ์นิยมแบบสุดโต่ง ส่วนทรัมป์หากรอดจากการเข้ากระบวนการถอดถอนและสามารถลงแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีได้อีก 4 ปีข้างหน้า เขาจะมีบทบาททางการเมืองอย่างไรตั้งแต่หลังวันที่ 20 กระนั้นผู้ที่ยังรักเขาอยู่ไม่เสื่อมคลายก็เป็นตัวแปรสำคัญอยู่นั่นเอง
ภาพจาก KSAT.com
บล็อกของ อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
ช่วงนี้หลายประเทศได้ทำการเฉลิมฉลองเนื่องในวาระครบรอบการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือเมื่อ 75 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ.1945 หรือ พ.ศ.2488) ประเทศที่ได้รับชัยชนะอย่างเช่นสหรัฐอเมริกาและพันธมิต
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
I remember reading the interview by the last promoter of คณะราษฏร (People's Party or PP) from the Sarakandee magazine ,probably a decade ago.At that time he was ageing , frail ,but still p
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
n the future of disruptive world,if I am able to make the documentary film about Sergeant Major Chakaphan Thomma who committed the worst Mass shooting in Thai history , what will the t
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Puzzling that it may seem when Thai authority chose the day king Naresuan reputedly fought with Hongsawadee's viceroy on the elephants as the Army Day.This is because, on that glorious
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เห็นกระแสแปนิคเมื่อหลายวันก่อน ทำให้นึกได้ว่าชาวโลกมีการคาดหมายหรือหวาดกลัวมานานแล้วว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 เริ่มได้ตั้งแต่ยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มาหมาดๆ นั่นคือการกลายเป็นศัตรูระหว่างสหรัฐฯ กับสหภาพโซเวียตซึ่งเคยเป็นพันธมิตรกันแบบหลวมๆ ในการต่อสู้กับฝ่ายอักษะ การสิ้นสุดของสงครามได้ทำให้ฝ่า
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
นตำราเรียนมักบอกว่าหลังสิ้นสุดสงครามเย็นและการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 มีประเทศที่ยังเป็นคอมมิวนิสต์เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศคือจีน เวียดนาม ลาว คิวบาว และเกาหลีเหนือ (ตลกดีมีคนที
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
เมื่อวันที่ 1 ตุลาคมที่ผ่านมาป็นวันครบรอบ 70 ปีของการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งมีการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ของรัฐบาลจีนไปพร้อมกับการประท้วงของชาวฮ่องกงซึ่งมุ่งมั่นท้าทายรัฐบ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
"...All right, Mr. DeMille, I'm ready for my close-up."
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
หากใครมาดูหนังเรื่อง Wild Strawberries แล้วเคยประทับใจกับหนังเรื่อง About Schmidt (2002) ที่ Jack Nicholson แสดงเป็นพ่อหม้ายชราที่ต้องเดินทางไปกับรถตู้ขนาดใหญ่เพื่อไปงานแต่งงานของลูกสาวและได้ค้นสัจธรรมอะไรบางอย่างของชีวิตมาก่อน ก็จะพบว่าทั้งสองเ
อรรถสิทธิ์ เมืองอินทร์
Throne of Blood (1957) หรือ"บัลลังก์เลือด" เป็นภาพยนตร์ขาวดำของยอดผู้กำกับภาพยนตร์ญี่ปุ่นคืออาคิระ คุโรซาวา ที่ทางตะวันตกยกย่องมาก เกือบจะไม่แพ้ Seven Samurai หรือ Rashomon เลยก็ว่าได้ ลักษณะเด่นของมันก็คือการดัดแปลงมาจาก Macbeth