Skip to main content

นายยืนยง



นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม
สำนักพิมพ์ : นิลุบล

ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล



อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ...


แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ

มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ

บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ


เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา แต่ขณะเดียวกันต้องยอมรับไปพร้อมว่า ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ไร้โอกาสเข้าถึงการศึกษาภาคประถม  นวนิยายที่เขียนถึงสัมพันธภาพระหว่างครูกับลูกศิษย์ถือกำเนิดและดำรงอยู่เหมือนเป็นมนต์เสน่ห์หนึ่งของชีวิต และด้วยภาษาเขียนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ชวนซาบซึ้ง ก็ทำให้นวนิยายเรื่อง บ้านก้านมะยม ก้าวออกมาจากความทรงจำอีกครั้ง


บ้านก้านมะยม ผลงานของประภัสสร เสวิกุล เป็นผลงานเขียนที่เล่าถึงความผูกพันระหว่างครูกับลูกศิษย์ ที่ความเรียบง่าย ซึ้งกินใจ แต่ความมุ่งหมายของผู้เขียน ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเชิงชั้นการประพันธ์เท่านั้น เพราะขณะเดียวกันยังเสนอแนะให้คนในสังคมครุ่นคิดไปถึงปัญหาด้านการศึกษาและแนวทางที่เด็กด้อยโอกาสจะเข้าถึงครู เข้าถึงความรู้ ...นี่เองที่เป็นจุดน่ายกย่องยิ่งเมื่อนวนิยายเรื่องหนึ่งจะมีมรรคประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าความงดงามทางวรรณศิลป์


กล่าวกันว่า ประภัสสร เสวิกุล ถนัดมากในการเขียนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ (บางส่วนจาก รวมเรื่องสั้น หยาดฝน สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าวิทยา พ..๒๕๑๙ ) ขณะที่ บ้านก้านมะยม ก็เป็นเรื่องรักในแนวถนัดของประภัสสร แต่ไม่ใช่ความรักความใคร่อย่างธรรมดา หากเป็นความรักที่ช่วยชุบชูจรรโลงสังคม เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตน ซึ่งล้วนน่าสนใจยิ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านก้านมะยมได้กระตุ้นให้รู้สึก นึก ครุ่นคิดกับปัญหาสังคม และพร้อม กล้า ยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลาย นี่คือหลักใหญ่ใจความของนวนิยายเรื่องนี้ทีเดียว


ลักษณะเฉพาะของงานเขียนประเภทนวนิยายคือโครงเรื่องที่ซับซ้อน มีโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อยผูกร้อยและเชื่อมโยงเข้าสู่เอกภาพของโครงเรื่องหลัก เปรียบได้กับการสร้างบ้านหลังใหญ่โดยมีนักเขียนเป็นวิศวกร และกับเล่มนี้ประภัสสร ได้ออกแบบฉากหน้าเป็นโรงเรียนบ้านก้านมะยม โรงเรียนเล็ก ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนทางเลือก ที่นักเรียนจะแต่งกายตามสบายและเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนาน มุ่งเน้นให้นักเรียนเป็นคนดีของสังคมในแนวทางที่ตัวเองรักและถนัด ต่างจากโรงเรียนอีกมากมายในสังคมที่เน้นหนักด้านความรู้วิชาการ การสอบแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ซึ่งส่งผลให้สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนเคร่งเครียดขึ้น


โรงเรียนบ้านก้านมะยมถือกำเนิดพร้อมกับความผิดหวังในคนรักของหญิงสาวจากกรุงเทพ ที่เดินทางผ่านมายังชุมชนลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ แต่เมื่อเห็นว่าย่านตำบลท่าตลาดแห่งนี้ไม่มีโรงเรียน เธอจึงเช่าเรือนไม้จากคุณนายล้อมเพชรเพื่อใช้เป็นห้องเรียน เธอคนนั้นคือครูสายสร้อย


เรื่องดำเนินไปกระทั่งครูสาวล่วงเข้าสู่วัยชรา มีลูกศิษย์หลายต่อหลายรุ่น จากพ่อแม่ถึงรุ่นลูก ซึ่งล้วนอยู่ในตำบลท่าตลาดและใกล้เคียง กระทั่งคุณนายล้อมเพชรเร่งมาทวงบ้านซึ่งเป็นโรงเรียนบ้านก้านมะยมกลับคืน อันเป็นเหตุให้ตัวละครในเรื่องต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้ครูและโรงเรียนอยู่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านท่าตลาดดังเดิม


นี้เป็นโครงเรื่องหลักที่ผู้เขียนวางไว้ แต่ยังมีจุดชวนสนใจอื่นอยู่ที่โครงเรื่องย่อยที่ผูกร้อยกันเข้ามา จากตัวละครที่ผู้เขียนได้ปูพื้นหลัง วาดความเป็นมาเป็นไปไว้อย่างมีชีวิตชีวา


ความน่าสนใจนั้นเกิดจากตัวละครนั่นเอง ผู้เขียนได้ถ่ายทอดทัศนะคติที่มีต่อผู้คน สังคม ต่อวิกฤตการณ์ หรือเรื่องที่กำลังก่อตัวเป็นวิกฤตการณ์ที่สำคัญต่าง ๆ เช่นระบบการศึกษา การล่มสลายของสังคมชนบท เพื่อเสนอแนวทางคลี่คลายปัญหา เพื่อจรรโลงสังคมให้ดีงาม โดยผูกปมความขัดแย้งไว้ ๒ ขั้ว เป็นระยะ ๆ ยกตัวอย่างเช่น คู่ระหว่างหมอพิพัฒน์กับสุนิสา คู่สามีภรรยา


หมอพิพัฒน์ นายแพทย์หนุ่มจากกรุงเทพผู้อุทิศตัวให้สังคมด้อยโอกาสเช่นบ้านท่าตลาด

สุนิสา หญิงสาวผู้มีอันจะกินจากกรุงเทพ ติดตามสามีมาอยู่ที่บ้านพักโรงพยาบาล ทั้งคู่คิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องที่หมอพิพัฒน์อยากให้ติ๊ดตี่ ลูกสาววัยห้าขวบเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านก้านมะยม


ตลอดเวลา สุนิสาไม่เห็นด้วยกับการที่สามีจะมาใช้ชีวิตที่นี่ เธอเป็นห่วงอนาคตลูกสาว แต่พิพัฒน์สามีก็มีวิธีการเข้าคลี่คลายปัญหา ที่น่าสนใจคือวิธีการดังกล่าวนั้น


วิธีการของหมอพิพัฒน์ก็คือวิธีการของประภัสสรที่นำเสนอผ่านตัวละครที่เขาสร้างขึ้น เป็นวิธีที่ไม่ใช้การโน้มน้าวหรือบังคับขู่เข็ญ หากแต่พยายามดึงเอาศักยภาพภายใจของภรรยาสาวออกมา เพื่อให้เธอตระหนักในคุณค่าของตัวเอง แล้วเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่พร้อมช่วยจรรโลงสร้างสรรค์สังคมต่อไป ระหว่างความขัดแย้งของคู่สามีภรรยา ผู้เขียนสร้างให้ ติ๊ดตี่ (ลูกสาว) เป็นตัวกลางคอยเชื่อม ซึ่ง ติ๊ดตี่ เป็นตัวแทนของความดีงาม บริสุทธิ์


เราจะสังเกตเห็นได้ตลอดเวลาขณะที่พ่อแม่ “หารือ” กันในปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนทะเลาะกันในสายตาของเด็กอย่างติ๊ดตี่ ยกตัวอย่างในตอนที่ สามพ่อแม่ลูก กำลังตัดสินใจว่าติ๊ดตี่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านก้านมะยมดีหรือไม่ ( หน้า ๓๒ )

พูดจริง ๆ นะคะ หญิงสาวเน้นเสียง ถ้าไม่มีโรงเรียนที่ดีกว่านี้ ฉันสอนติ๊ดตี่อยู่กับบ้านก็ได้

ผมไม่เห็นว่าที่นี่มันจะเลวร้ายอะไรเลย คุณหมอพูดอย่างใจเย็น อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กคนอื่น ๆ เขาเป็นกัน

คุณเป็นหมอบ้านนอกยังไม่พอหรือคะ สุนิสามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ทำไมต้องให้ลูกเป็นเด็กบ้านนอกไปด้วย

ไม่ดีหรือ นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเบา ๆ คุณก็จะได้เป็นคุณนายบ้านนอกอีกคนไง

คุณพ่อ คุณแม่ ดีกันเถอะค่ะ ติ๊ดตี่ดึงมือบิดามารดามาหากัน


ตลอดเวลาที่สองคู่ขัดแย้งมีความเห็นไม่ตรงกัน หมอพิพัฒน์ฝ่ายสามีก็จะใช้เหตุผลและอารมณ์ขันเข้าคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งก็ได้ผลดีทุกครั้ง ขณะเดียวกันติ๊ดตี่ ลูกสาวก็จะเป็นฝ่ายกลาง ไม่เข้าข้างพ่อหรือแม่ หรือในอีกตัวอย่างหนึ่ง
( หน้า ๑๕๐ ) ในตอนที่ติ๊ดตี่กับเพื่อน ๆ พากันหาที่ซ่อนตัวจากเข็มฉีดวัคซีนของหมอพิพัฒน์ แม้เมื่อทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่วายสุนิสาผู้เป็นแม่ยังอดตัดพ้อกับสามีไม่ได้


คุณพูดเหมือนไม่ห่วงติ๊ดตี่เลย

ห่วงซิ ทำไมผมจะไม่ห่วงลูก เขามองดูหล่อน แต่ผมไม่เอาลูกมาเป็นห่วงคล้องคอตัวเองและไม่เอาตัวเองไปเป็นห่วงคล้องคอลูกต่างหาก โรงเรียนบ้านก้านมะยมไม่มีทางที่จะเหมือนกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ ...เด็ก ๆ ที่บ้านก้านมะยมด้อยโอกาสที่ไม่ได้เกิดในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งมีความเจริญทางวัตถุ แต่ผมก็เชื่อว่าพวกแกมีจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงามไม่แพ้เด็ก ๆ ที่อื่น


คำพูดของหมอล้วนแสดงออกถึงเจตคติของผู้เขียนที่ยังเชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ และมองโลกในด้านที่เป็นจริง  วิธีการแก้ไขปัญหาโดยไม่แบ่งฝักฝ่ายหรือโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกับตนนั้น เป็นวิธีที่ถูกนำเสนอมาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ซึ่งปรากฏให้เห็นและใช้ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาทะเลาะวิวาท ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมมากมายนัก (ยกตัวอย่าง ตอนที่ ๖ ) เมื่อเกิดกรณีชกต่อยระหว่างเด็กชายโก๊ะ กับเด็กชาย นงค์ จนเป็นเหตุให้นายแกวกับนายนวลพ่อของเด็กชายทั้งสองต้องเป็นมวยคู่เอกแทนคู่ลูกชาย ผู้แจ้งเหตุร้ายนี้กลับไม่ขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจ แต่หันมาพึ่งหมอพิพัฒน์ ด้วยประสบการณ์หมอจึงพามาตัดสินกันที่โรงเรียน เมื่อหมอรู้ว่าทั้ง ๕ ตัวการล้วนเป็นลูกศิษย์ครูสายสร้อยแห่งบ้านก้านมะยม


เมื่อฟังความจากทุกฝ่ายแล้ว ครูจึงสรุปว่า

ถ้าคิดกันอย่างนี้ก็เป็นปัญหาโลกแตก แล้วลงท้ายก็หาทางจบไม่ได้ ใครจะเป็นคนเริ่มต้นไม่สำคัญเท่ากับว่าใครจะเป็นคนที่ทำให้เรื่องยุติลงได้ต่างหาก บางครั้งการยอมแพ้ ยอมเป็นฝ่ายเลิกราก็คือการเป็นผู้ชนะที่แท้จริง เป็นอย่างที่พูดกันว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นั่นแหละ


หากครูตัดสินลงไปว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด ให้เกิดมีแพ้มีชนะ ปัญหาที่ตามมาคือ ความบาดหมางใจกัน และอยากแก้มือคืน ไม่บังเกิดสันติสุขที่แท้จริงได้


ขณะที่ปัญหาในส่วนย่อยถูกนำมากล่าวในเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น ปัญหาข้อหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก เช่นความก้าวเข้ามาของความเจริญด้านวัตถุ ที่คืบคลานเข้ามาถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม


ชุมชนแห่งนี้เป็นหมู่บ้านริมน้ำ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีเรือ จักรยานเป็นพาหนะของชาวบ้าน นอกจากหมอพิพัฒน์คนเดียวที่มีปิคอัพเก่าปุเรง ตัวละครที่เป็นตัวแทนของค่านิยมเก่าแบบอนุรักษ์นิยมซึ่งเห็นได้ชัด คือ นายแกว พ่อของเด็กชายโก๊ะ มีอาชีพขับเรือยนต์ ซึ่งกำลังถูกคุกคามจากเรือหางยาวที่กำลังอยู่ในความนิยมของผู้สัญจรขณะนั้น


ความขัดแย้งเล็ก ๆ ที่ชัดเจนนี้ ปรากฎอยู่ในตอนที่ครูสายสร้อยมาตามให้โก๊ะไปโรงเรียนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ขณะที่สองพ่อลูกไม่เห็นด้วย

โดยฝ่ายพ่อพูดว่า ลูกฉัน ฉันมีปัญญาเลี้ยงมันได้

ใจคอพ่อจะขับเรือเลี้ยงมันไปจนแก่เลยอย่างนั้นหรือ ตะก่อนเรือเมล์ขึ้นล่องมีตั้งหลายลำ แต่ตอนนี้เรือหางก็เข้ามาแย่งคนไปเสียตั้งเยอะ ฯลฯ ช่างหัวมัน พ่อชักจะหัวเสีย ใครอยากลงเรือหางก็ช่างมัน อีกหน่อยพอล่มบ่อยเข้าก็จะรู้สึกกันเอง อีกอย่างฉันไม่มีทางจะส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่อำเภอแน่นอน แต่เมื่อรู้ว่าครูสายสร้อยเป็นคนมาตามโก๊ะไปเข้าเรียน พ่อจึงยอมอ่อนข้อให้


ปัญหาเรื่องส่งลูกเข้าเรียนนั้นถูกคลี่คลายด้วยตัวละครที่เปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจของชุมชน (
ครูสายสร้อย) ไปแล้ว แต่ปัญหาเรื่องความเจริญทางวัตถุนั้น ผู้เขียนกำหนดให้เรือยนต์ของนายแกวถูกเรือแจวคูขัดแย้งชนจนล่มกลางแม่น้ำ ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้เขียนว่าเรื่องบางเรื่องหากยังแข็งขืนต่อต้าน ฝ่ายที่เจ็บปวดก็คือ ฝ่ายที่ไม่รู้จักอ่อนข้อยอมรับในด้านดีของฝ่ายตรงข้าม เปรียบดั่งไม้ใหญ่กับต้นหญ้ายามพายุกระหน่ำพัด...


สรุปได้ว่า วิธีการคลี่คลายปัญหาต่อกรณีคู่ขัดแย้งให้เกิดสันติสุขในสังคมที่ประภัสสรนำเสนอในนวนิยายเรื่องนี้ เป็นวิธีการที่เป็นธรรม คือ เมื่อมี ๒ ฝ่าย ก็ทำให้ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นยอมรับในส่วนผิดของตัว และยอมรับในส่วนถูกของฝ่ายตรงข้าม หรือ
ยอมรับในความเป็นอื่น


แต่กับปัญหาที่ใหญ่กว่า หรือที่เรียกว่าเป็นปัญหาของสังคมคนหมู่มากเล่า เขากล่าวไว้อย่างไร?


ผู้เขียนสร้างตัวละครให้เกี่ยวโยง ผูกพันกันมานมนาน ทุกคนล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับโรงเรียนบ้านก้านมะยม ครั้นเมื่อมีปัญหาทุกคนก็ร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่หมอพิพัฒน์กับสุนิสา เป็นตัวตั้งตัวตี ทั้งที่เป็นคนมาจากที่อื่น นายแกว นายนวล นายสังข์ ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ ลูกศิษย์รุ่นเล็ก ชาวบ้านร้านตลาดต่างร่วมใจกันลงขันด้วยแรงกายแรงใจเต็มกำลังความสามารถ


พลังของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากปัญหาโรงเรียนบ้านก้านมะยมต้องปิดตัวลงกระทันหัน บวกกับการเข้าเจรจาของหมอพิพัฒน์และภรรยา แม้คุณนายล้อมเพชรจะใจแข็งไม่ยอม หนำซ้ำยังจงใจโก่งราคาค่าเช่าอย่างไร ปัญหาก็คลี่คลายลงไปได้ แม้จะเพียงเปราะหนึ่งเท่านั้น
เพราะผู้เขียนได้วางจุดหักเหสำคัญไว้ตรงที่ผู้มีอำนาจโดยตรง มีสิทธิ์เด็ดขาดในการเข้าแก้ไขปัญหาใหญ่โตของชุมชน ซึ่งบุคคลนั้นก็คือหลานของคุณนายล้อมเพชร


สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยดีเมื่อปมขัดแย้งคลายตัวลงจนเกือบจะเรียกได้ว่าถึงที่สุด ด้วยการยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนของสองพี่น้อง โทนี่กับจูเลีย ผู้มาจากกรุงเทพฯ เพื่อทวงสิทธิ์ในกองมรดกส่วนของพ่อจากคุณนายล้อมเพชร ผู้เป็นป้าแท้ ๆ


ทีแรก ๒ ฝ่าย (หลาน – ป้า) แสดงปฏิกิริยาชัดเจนในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพื่อก้าวเข้าสู่เป้าหมายของตัวเอง ฝ่ายหนึ่งจะเอาให้ได้ ส่วนอีกฝ่ายหวงแหนไว้สุดกำลัง แต่ปัญหาใหญ่ที่ถูกแก้ไขได้เป็นเปราะสุดท้ายโดยสองคนพี่น้องจากกรุงเทพนั้น แม้จะไม่มีน้ำหนักและรายละเอียดของตัวละครในเชิงลึกมากนัก แต่ก็ทำให้คิดต่อไปได้ว่า การที่สองพี่น้องยอมเป็นฝ่ายเลิกทวงมรดกจากป้า เพื่อให้โรงเรียนบ้านก้านมะยมเปิดทำการสอนดังเดิมนั้น เป็นการแก้ปัญหาจากฝ่ายที่มีอำนาจโดยตรง ซึ่งสรุปได้ว่า ฝ่ายที่ร่วมแก้ปัญหาคือ ๑. คนที่มีอำนาจต่อรองโดยตรง ๒. คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง – อ้อม ย่อมต้องอาศัย ๒ ฝ่ายเข้าร่วมมือกัน


หากฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองสูดสุด (ที่มีอำนาจเหนือกลุ่มคนที่ได้ผลกระทบโดยตรง) ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ หากแต่เห็นแก่มรรคผลของสังคมโดยรวม ปัญหาจะคลี่คลายลงได้ด้วยสันติ ประโยชน์สุขย่อมบังเกิดแก่สังคม และแน่นอนว่าทุกปัญหาย่อมมีแนวทางคลี่คลายได้ถ้ากล้าหาญและร่วมมือกันด้วยความจริงใจ.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…