Skip to main content

นายยืนยง



นวนิยายเรื่อง : บ้านก้านมะยม
สำนักพิมพ์ : นิลุบล

ผู้แต่ง : ประภัสสร เสวิกุล



อาขยาน เป็นบทท่องจำที่เด็กวัยประถมล้วนมีประสบการณ์ในการท่องจนเสียงแหบแห้งมาบ้างแล้ว ทุกครั้งที่แว่วเสียง ...


แมวเอ๋ยแมวเหมียว รูปร่างประเปรียวเป็นนักหนา หรือ

มานี มานะ จะปะกระทะ มะระ อะไร จะไป จะดู หรือ

บ้าใบ้ถือใยบัว หูตามัวมาใกล้เคียง เล่าท่องอย่าละเลี่ยง ยี่สิบม้วนจำจงดี ฯลฯ


เมื่อนั้น..ความรู้สึกจากอดีตเหมือนได้ลอยอ้อยอิ่งออกมาจากความทรงจำ ช่างเป็นภาพแสนอบอุ่น ทั้งรอยยิ้มและไม้เรียวของคุณครู ทั้งเสียงหัวเราะและเสียงกระซิบกระซาบจากเพื่อน ๆ ตัวน้อยในวัยเยาว์ของเรา แต่ขณะเดียวกันต้องยอมรับไปพร้อมว่า ยังมีเด็กอีกจำนวนไม่น้อยที่ไร้โอกาสเข้าถึงการศึกษาภาคประถม  นวนิยายที่เขียนถึงสัมพันธภาพระหว่างครูกับลูกศิษย์ถือกำเนิดและดำรงอยู่เหมือนเป็นมนต์เสน่ห์หนึ่งของชีวิต และด้วยภาษาเขียนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน ชวนซาบซึ้ง ก็ทำให้นวนิยายเรื่อง บ้านก้านมะยม ก้าวออกมาจากความทรงจำอีกครั้ง


บ้านก้านมะยม ผลงานของประภัสสร เสวิกุล เป็นผลงานเขียนที่เล่าถึงความผูกพันระหว่างครูกับลูกศิษย์ ที่ความเรียบง่าย ซึ้งกินใจ แต่ความมุ่งหมายของผู้เขียน ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเชิงชั้นการประพันธ์เท่านั้น เพราะขณะเดียวกันยังเสนอแนะให้คนในสังคมครุ่นคิดไปถึงปัญหาด้านการศึกษาและแนวทางที่เด็กด้อยโอกาสจะเข้าถึงครู เข้าถึงความรู้ ...นี่เองที่เป็นจุดน่ายกย่องยิ่งเมื่อนวนิยายเรื่องหนึ่งจะมีมรรคประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าความงดงามทางวรรณศิลป์


กล่าวกันว่า ประภัสสร เสวิกุล ถนัดมากในการเขียนเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ (บางส่วนจาก รวมเรื่องสั้น หยาดฝน สำนักพิมพ์ผ่านฟ้าวิทยา พ..๒๕๑๙ ) ขณะที่ บ้านก้านมะยม ก็เป็นเรื่องรักในแนวถนัดของประภัสสร แต่ไม่ใช่ความรักความใคร่อย่างธรรมดา หากเป็นความรักที่ช่วยชุบชูจรรโลงสังคม เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตน ซึ่งล้วนน่าสนใจยิ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า บ้านก้านมะยมได้กระตุ้นให้รู้สึก นึก ครุ่นคิดกับปัญหาสังคม และพร้อม กล้า ยื่นมือเข้ามาช่วยคลี่คลาย นี่คือหลักใหญ่ใจความของนวนิยายเรื่องนี้ทีเดียว


ลักษณะเฉพาะของงานเขียนประเภทนวนิยายคือโครงเรื่องที่ซับซ้อน มีโครงเรื่องหลัก โครงเรื่องย่อยผูกร้อยและเชื่อมโยงเข้าสู่เอกภาพของโครงเรื่องหลัก เปรียบได้กับการสร้างบ้านหลังใหญ่โดยมีนักเขียนเป็นวิศวกร และกับเล่มนี้ประภัสสร ได้ออกแบบฉากหน้าเป็นโรงเรียนบ้านก้านมะยม โรงเรียนเล็ก ๆ ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นโรงเรียนทางเลือก ที่นักเรียนจะแต่งกายตามสบายและเรียนรู้อย่างมีความสุข สนุกสนาน มุ่งเน้นให้นักเรียนเป็นคนดีของสังคมในแนวทางที่ตัวเองรักและถนัด ต่างจากโรงเรียนอีกมากมายในสังคมที่เน้นหนักด้านความรู้วิชาการ การสอบแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ซึ่งส่งผลให้สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนเคร่งเครียดขึ้น


โรงเรียนบ้านก้านมะยมถือกำเนิดพร้อมกับความผิดหวังในคนรักของหญิงสาวจากกรุงเทพ ที่เดินทางผ่านมายังชุมชนลุ่มแม่น้ำแห่งนี้ แต่เมื่อเห็นว่าย่านตำบลท่าตลาดแห่งนี้ไม่มีโรงเรียน เธอจึงเช่าเรือนไม้จากคุณนายล้อมเพชรเพื่อใช้เป็นห้องเรียน เธอคนนั้นคือครูสายสร้อย


เรื่องดำเนินไปกระทั่งครูสาวล่วงเข้าสู่วัยชรา มีลูกศิษย์หลายต่อหลายรุ่น จากพ่อแม่ถึงรุ่นลูก ซึ่งล้วนอยู่ในตำบลท่าตลาดและใกล้เคียง กระทั่งคุณนายล้อมเพชรเร่งมาทวงบ้านซึ่งเป็นโรงเรียนบ้านก้านมะยมกลับคืน อันเป็นเหตุให้ตัวละครในเรื่องต้องลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อให้ครูและโรงเรียนอยู่เป็นที่พึ่งของชาวบ้านท่าตลาดดังเดิม


นี้เป็นโครงเรื่องหลักที่ผู้เขียนวางไว้ แต่ยังมีจุดชวนสนใจอื่นอยู่ที่โครงเรื่องย่อยที่ผูกร้อยกันเข้ามา จากตัวละครที่ผู้เขียนได้ปูพื้นหลัง วาดความเป็นมาเป็นไปไว้อย่างมีชีวิตชีวา


ความน่าสนใจนั้นเกิดจากตัวละครนั่นเอง ผู้เขียนได้ถ่ายทอดทัศนะคติที่มีต่อผู้คน สังคม ต่อวิกฤตการณ์ หรือเรื่องที่กำลังก่อตัวเป็นวิกฤตการณ์ที่สำคัญต่าง ๆ เช่นระบบการศึกษา การล่มสลายของสังคมชนบท เพื่อเสนอแนวทางคลี่คลายปัญหา เพื่อจรรโลงสังคมให้ดีงาม โดยผูกปมความขัดแย้งไว้ ๒ ขั้ว เป็นระยะ ๆ ยกตัวอย่างเช่น คู่ระหว่างหมอพิพัฒน์กับสุนิสา คู่สามีภรรยา


หมอพิพัฒน์ นายแพทย์หนุ่มจากกรุงเทพผู้อุทิศตัวให้สังคมด้อยโอกาสเช่นบ้านท่าตลาด

สุนิสา หญิงสาวผู้มีอันจะกินจากกรุงเทพ ติดตามสามีมาอยู่ที่บ้านพักโรงพยาบาล ทั้งคู่คิดเห็นไม่ตรงกันเรื่องที่หมอพิพัฒน์อยากให้ติ๊ดตี่ ลูกสาววัยห้าขวบเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านก้านมะยม


ตลอดเวลา สุนิสาไม่เห็นด้วยกับการที่สามีจะมาใช้ชีวิตที่นี่ เธอเป็นห่วงอนาคตลูกสาว แต่พิพัฒน์สามีก็มีวิธีการเข้าคลี่คลายปัญหา ที่น่าสนใจคือวิธีการดังกล่าวนั้น


วิธีการของหมอพิพัฒน์ก็คือวิธีการของประภัสสรที่นำเสนอผ่านตัวละครที่เขาสร้างขึ้น เป็นวิธีที่ไม่ใช้การโน้มน้าวหรือบังคับขู่เข็ญ หากแต่พยายามดึงเอาศักยภาพภายใจของภรรยาสาวออกมา เพื่อให้เธอตระหนักในคุณค่าของตัวเอง แล้วเธอก็จะเป็นส่วนหนึ่งในกลไกที่พร้อมช่วยจรรโลงสร้างสรรค์สังคมต่อไป ระหว่างความขัดแย้งของคู่สามีภรรยา ผู้เขียนสร้างให้ ติ๊ดตี่ (ลูกสาว) เป็นตัวกลางคอยเชื่อม ซึ่ง ติ๊ดตี่ เป็นตัวแทนของความดีงาม บริสุทธิ์


เราจะสังเกตเห็นได้ตลอดเวลาขณะที่พ่อแม่ “หารือ” กันในปัญหาขัดแย้งต่าง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเหมือนทะเลาะกันในสายตาของเด็กอย่างติ๊ดตี่ ยกตัวอย่างในตอนที่ สามพ่อแม่ลูก กำลังตัดสินใจว่าติ๊ดตี่จะเข้าเรียนที่โรงเรียนบ้านก้านมะยมดีหรือไม่ ( หน้า ๓๒ )

พูดจริง ๆ นะคะ หญิงสาวเน้นเสียง ถ้าไม่มีโรงเรียนที่ดีกว่านี้ ฉันสอนติ๊ดตี่อยู่กับบ้านก็ได้

ผมไม่เห็นว่าที่นี่มันจะเลวร้ายอะไรเลย คุณหมอพูดอย่างใจเย็น อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะให้ลูกได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กคนอื่น ๆ เขาเป็นกัน

คุณเป็นหมอบ้านนอกยังไม่พอหรือคะ สุนิสามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้น ทำไมต้องให้ลูกเป็นเด็กบ้านนอกไปด้วย

ไม่ดีหรือ นายแพทย์หนุ่มหัวเราะเบา ๆ คุณก็จะได้เป็นคุณนายบ้านนอกอีกคนไง

คุณพ่อ คุณแม่ ดีกันเถอะค่ะ ติ๊ดตี่ดึงมือบิดามารดามาหากัน


ตลอดเวลาที่สองคู่ขัดแย้งมีความเห็นไม่ตรงกัน หมอพิพัฒน์ฝ่ายสามีก็จะใช้เหตุผลและอารมณ์ขันเข้าคลี่คลายสถานการณ์ ซึ่งก็ได้ผลดีทุกครั้ง ขณะเดียวกันติ๊ดตี่ ลูกสาวก็จะเป็นฝ่ายกลาง ไม่เข้าข้างพ่อหรือแม่ หรือในอีกตัวอย่างหนึ่ง
( หน้า ๑๕๐ ) ในตอนที่ติ๊ดตี่กับเพื่อน ๆ พากันหาที่ซ่อนตัวจากเข็มฉีดวัคซีนของหมอพิพัฒน์ แม้เมื่อทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ไม่วายสุนิสาผู้เป็นแม่ยังอดตัดพ้อกับสามีไม่ได้


คุณพูดเหมือนไม่ห่วงติ๊ดตี่เลย

ห่วงซิ ทำไมผมจะไม่ห่วงลูก เขามองดูหล่อน แต่ผมไม่เอาลูกมาเป็นห่วงคล้องคอตัวเองและไม่เอาตัวเองไปเป็นห่วงคล้องคอลูกต่างหาก โรงเรียนบ้านก้านมะยมไม่มีทางที่จะเหมือนกับโรงเรียนในกรุงเทพฯ ...เด็ก ๆ ที่บ้านก้านมะยมด้อยโอกาสที่ไม่ได้เกิดในกรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งมีความเจริญทางวัตถุ แต่ผมก็เชื่อว่าพวกแกมีจิตใจที่บริสุทธิ์และดีงามไม่แพ้เด็ก ๆ ที่อื่น


คำพูดของหมอล้วนแสดงออกถึงเจตคติของผู้เขียนที่ยังเชื่อมั่นในความดีงามของมนุษย์ และมองโลกในด้านที่เป็นจริง  วิธีการแก้ไขปัญหาโดยไม่แบ่งฝักฝ่ายหรือโน้มน้าวให้อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกับตนนั้น เป็นวิธีที่ถูกนำเสนอมาตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง ซึ่งปรากฏให้เห็นและใช้ได้ผล ไม่ว่าจะเป็นปัญหาภายในครอบครัว ปัญหาทะเลาะวิวาท ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมมากมายนัก (ยกตัวอย่าง ตอนที่ ๖ ) เมื่อเกิดกรณีชกต่อยระหว่างเด็กชายโก๊ะ กับเด็กชาย นงค์ จนเป็นเหตุให้นายแกวกับนายนวลพ่อของเด็กชายทั้งสองต้องเป็นมวยคู่เอกแทนคู่ลูกชาย ผู้แจ้งเหตุร้ายนี้กลับไม่ขอความช่วยเหลือที่สถานีตำรวจ แต่หันมาพึ่งหมอพิพัฒน์ ด้วยประสบการณ์หมอจึงพามาตัดสินกันที่โรงเรียน เมื่อหมอรู้ว่าทั้ง ๕ ตัวการล้วนเป็นลูกศิษย์ครูสายสร้อยแห่งบ้านก้านมะยม


เมื่อฟังความจากทุกฝ่ายแล้ว ครูจึงสรุปว่า

ถ้าคิดกันอย่างนี้ก็เป็นปัญหาโลกแตก แล้วลงท้ายก็หาทางจบไม่ได้ ใครจะเป็นคนเริ่มต้นไม่สำคัญเท่ากับว่าใครจะเป็นคนที่ทำให้เรื่องยุติลงได้ต่างหาก บางครั้งการยอมแพ้ ยอมเป็นฝ่ายเลิกราก็คือการเป็นผู้ชนะที่แท้จริง เป็นอย่างที่พูดกันว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร นั่นแหละ


หากครูตัดสินลงไปว่าฝ่ายใดถูกฝ่ายใดผิด ให้เกิดมีแพ้มีชนะ ปัญหาที่ตามมาคือ ความบาดหมางใจกัน และอยากแก้มือคืน ไม่บังเกิดสันติสุขที่แท้จริงได้


ขณะที่ปัญหาในส่วนย่อยถูกนำมากล่าวในเรื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไปนั้น ปัญหาข้อหนึ่งที่ถูกกล่าวถึง คือเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยภายนอก เช่นความก้าวเข้ามาของความเจริญด้านวัตถุ ที่คืบคลานเข้ามาถึงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม


ชุมชนแห่งนี้เป็นหมู่บ้านริมน้ำ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเรียบง่าย มีเรือ จักรยานเป็นพาหนะของชาวบ้าน นอกจากหมอพิพัฒน์คนเดียวที่มีปิคอัพเก่าปุเรง ตัวละครที่เป็นตัวแทนของค่านิยมเก่าแบบอนุรักษ์นิยมซึ่งเห็นได้ชัด คือ นายแกว พ่อของเด็กชายโก๊ะ มีอาชีพขับเรือยนต์ ซึ่งกำลังถูกคุกคามจากเรือหางยาวที่กำลังอยู่ในความนิยมของผู้สัญจรขณะนั้น


ความขัดแย้งเล็ก ๆ ที่ชัดเจนนี้ ปรากฎอยู่ในตอนที่ครูสายสร้อยมาตามให้โก๊ะไปโรงเรียนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ ขณะที่สองพ่อลูกไม่เห็นด้วย

โดยฝ่ายพ่อพูดว่า ลูกฉัน ฉันมีปัญญาเลี้ยงมันได้

ใจคอพ่อจะขับเรือเลี้ยงมันไปจนแก่เลยอย่างนั้นหรือ ตะก่อนเรือเมล์ขึ้นล่องมีตั้งหลายลำ แต่ตอนนี้เรือหางก็เข้ามาแย่งคนไปเสียตั้งเยอะ ฯลฯ ช่างหัวมัน พ่อชักจะหัวเสีย ใครอยากลงเรือหางก็ช่างมัน อีกหน่อยพอล่มบ่อยเข้าก็จะรู้สึกกันเอง อีกอย่างฉันไม่มีทางจะส่งลูกไปเข้าโรงเรียนที่อำเภอแน่นอน แต่เมื่อรู้ว่าครูสายสร้อยเป็นคนมาตามโก๊ะไปเข้าเรียน พ่อจึงยอมอ่อนข้อให้


ปัญหาเรื่องส่งลูกเข้าเรียนนั้นถูกคลี่คลายด้วยตัวละครที่เปรียบเสมือนที่พึ่งทางใจของชุมชน (
ครูสายสร้อย) ไปแล้ว แต่ปัญหาเรื่องความเจริญทางวัตถุนั้น ผู้เขียนกำหนดให้เรือยนต์ของนายแกวถูกเรือแจวคูขัดแย้งชนจนล่มกลางแม่น้ำ ตรงนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของผู้เขียนว่าเรื่องบางเรื่องหากยังแข็งขืนต่อต้าน ฝ่ายที่เจ็บปวดก็คือ ฝ่ายที่ไม่รู้จักอ่อนข้อยอมรับในด้านดีของฝ่ายตรงข้าม เปรียบดั่งไม้ใหญ่กับต้นหญ้ายามพายุกระหน่ำพัด...


สรุปได้ว่า วิธีการคลี่คลายปัญหาต่อกรณีคู่ขัดแย้งให้เกิดสันติสุขในสังคมที่ประภัสสรนำเสนอในนวนิยายเรื่องนี้ เป็นวิธีการที่เป็นธรรม คือ เมื่อมี ๒ ฝ่าย ก็ทำให้ทั้ง ๒ ฝ่ายนั้นยอมรับในส่วนผิดของตัว และยอมรับในส่วนถูกของฝ่ายตรงข้าม หรือ
ยอมรับในความเป็นอื่น


แต่กับปัญหาที่ใหญ่กว่า หรือที่เรียกว่าเป็นปัญหาของสังคมคนหมู่มากเล่า เขากล่าวไว้อย่างไร?


ผู้เขียนสร้างตัวละครให้เกี่ยวโยง ผูกพันกันมานมนาน ทุกคนล้วนมีส่วนสัมพันธ์กับโรงเรียนบ้านก้านมะยม ครั้นเมื่อมีปัญหาทุกคนก็ร่วมมือกัน เริ่มตั้งแต่หมอพิพัฒน์กับสุนิสา เป็นตัวตั้งตัวตี ทั้งที่เป็นคนมาจากที่อื่น นายแกว นายนวล นายสังข์ ลูกศิษย์รุ่นใหญ่ ลูกศิษย์รุ่นเล็ก ชาวบ้านร้านตลาดต่างร่วมใจกันลงขันด้วยแรงกายแรงใจเต็มกำลังความสามารถ


พลังของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงและโดยอ้อมจากปัญหาโรงเรียนบ้านก้านมะยมต้องปิดตัวลงกระทันหัน บวกกับการเข้าเจรจาของหมอพิพัฒน์และภรรยา แม้คุณนายล้อมเพชรจะใจแข็งไม่ยอม หนำซ้ำยังจงใจโก่งราคาค่าเช่าอย่างไร ปัญหาก็คลี่คลายลงไปได้ แม้จะเพียงเปราะหนึ่งเท่านั้น
เพราะผู้เขียนได้วางจุดหักเหสำคัญไว้ตรงที่ผู้มีอำนาจโดยตรง มีสิทธิ์เด็ดขาดในการเข้าแก้ไขปัญหาใหญ่โตของชุมชน ซึ่งบุคคลนั้นก็คือหลานของคุณนายล้อมเพชร


สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยดีเมื่อปมขัดแย้งคลายตัวลงจนเกือบจะเรียกได้ว่าถึงที่สุด ด้วยการยอมเสียสละประโยชน์ส่วนตนของสองพี่น้อง โทนี่กับจูเลีย ผู้มาจากกรุงเทพฯ เพื่อทวงสิทธิ์ในกองมรดกส่วนของพ่อจากคุณนายล้อมเพชร ผู้เป็นป้าแท้ ๆ


ทีแรก ๒ ฝ่าย (หลาน – ป้า) แสดงปฏิกิริยาชัดเจนในการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เพื่อก้าวเข้าสู่เป้าหมายของตัวเอง ฝ่ายหนึ่งจะเอาให้ได้ ส่วนอีกฝ่ายหวงแหนไว้สุดกำลัง แต่ปัญหาใหญ่ที่ถูกแก้ไขได้เป็นเปราะสุดท้ายโดยสองคนพี่น้องจากกรุงเทพนั้น แม้จะไม่มีน้ำหนักและรายละเอียดของตัวละครในเชิงลึกมากนัก แต่ก็ทำให้คิดต่อไปได้ว่า การที่สองพี่น้องยอมเป็นฝ่ายเลิกทวงมรดกจากป้า เพื่อให้โรงเรียนบ้านก้านมะยมเปิดทำการสอนดังเดิมนั้น เป็นการแก้ปัญหาจากฝ่ายที่มีอำนาจโดยตรง ซึ่งสรุปได้ว่า ฝ่ายที่ร่วมแก้ปัญหาคือ ๑. คนที่มีอำนาจต่อรองโดยตรง ๒. คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง – อ้อม ย่อมต้องอาศัย ๒ ฝ่ายเข้าร่วมมือกัน


หากฝ่ายที่มีอำนาจต่อรองสูดสุด (ที่มีอำนาจเหนือกลุ่มคนที่ได้ผลกระทบโดยตรง) ไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ หากแต่เห็นแก่มรรคผลของสังคมโดยรวม ปัญหาจะคลี่คลายลงได้ด้วยสันติ ประโยชน์สุขย่อมบังเกิดแก่สังคม และแน่นอนว่าทุกปัญหาย่อมมีแนวทางคลี่คลายได้ถ้ากล้าหาญและร่วมมือกันด้วยความจริงใจ.


บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ.…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ฝรั่งคลั่งผี ผู้เขียน : ไมเคิล ไรท จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : กรกฎาคม 2550 อ่าน ฝรั่งคลั่งผี ของ ไมเคิล ไรท จบ ฉันลิงโลดเป็นพิเศษ รีบนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ทันที จะว่าร้อนวิชาเกินไปหรือก็ไม่ทราบ โปรดให้อภัยฉันเถิด ในเมื่อเขาเขียนดี จะตัดใจได้ลงคอเชียวหรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เด็กบินได้ ผู้เขียน : ศรีดาวเรือง ประเภท : นวนิยายขนาดสั้น พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2532 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์กำแพง มาอีกแล้ว วรรณกรรมเพื่อชีวิต เขียนถึงบ่อยเหลือเกิน ชื่นชม ตำหนิติเตียนกันไม่เว้นวาย นี่ฉันจะจมอยู่กับปลักเพื่อชีวิตไปอีกกี่ทศวรรษ อันที่จริง เพื่อชีวิต ไม่ใช่ “ปลัก” ในความหมายที่เราชอบกล่าวถึงในแง่ของการย่ำวนอยู่ที่เดิมแบบไร้วัฒนาการไม่ใช่หรือ เพื่อชีวิตเองก็เติบโตมาพร้อมพัฒนาการทางสังคม ปลิดขั้วมาจากวรรณกรรมศักดินาชน เรื่องรักฉันท์หนุ่มสาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : คนซื้อฝัน ผู้เขียน : ศุภร บุนนาค ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2537 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะอ่านหนังสือของนักเขียนไทยให้มากกว่าเดิม ฉันดำเนินการแล้วล่ะ อ่านแล้ว อิ่มเอมกับอรรถรสแบบที่หาจากวรรณกรรมแปลไม่ได้ หาจากภาษาของนักเขียนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้ จนรู้สึกไปว่า คุณค่าของภาษาได้แกว่งไกวไปกับกาละด้วย
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เพลงกล่อมผี ผู้เขียน : นากิบ มาห์ฟูซ ผู้แปล : แคน สังคีต จาก Wedding Song ภาษาอังกฤษโดย โอลีฟ อี เคนนี ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2534 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์รวมทรรศน์ หนาวลมเหมันต์แห่งพุทธศักราช 2552 เยียบเย็นยิ่งกว่า ผ้าผวยดูไร้ตัวตนไปเลยเมื่อเจอะเข้ากับลมหนาวขณะมกราคมสั่นเทิ้มด้วยคน ฉันขดตัวอยู่ในห้องหลบลมลอดช่องตึกอันทารุณ อ่านหนังสือเก่า ๆ ที่อุดม ไรฝุ่นยั่วอาการภูมิแพ้ โรคประจำศตวรรษที่ใครก็มีประสบการณ์ร่วม อ่านเพลงกล่อมผีของนากิบ มาห์ฟูซ ที่แคน สังคีต ฝากสำนวนแปลไว้อย่างเฟื่องฟุ้งเลยทีเดียว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง สวัสดีปี 2552 ขอสรรพสิ่งแห่งสุนทรียะจงจรรโลงหัวใจท่านผู้อ่านประดุจลมเช้าอันอ่อนหวานที่เชยผ่านเข้ามา คำพรคงไม่ล่าเกินไปใช่ไหม ตลอดเวลาที่เขียนบทความใน สวนหนังสือ แห่ง ประชาไท นี้ ความตื่นรู้ ตื่นต่อผัสสะทางวรรณกรรม ปลุกเร้าให้ฉันออกเสาะหาหนังสือที่มีแรงดึงดูดมาอ่าน และเขียนถึง ขณะเดียวกันหนังสืออันท้าทายเหล่านั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้วาวโรจน์ขึ้นกับหัวใจอันมักจะห่อเหี่ยวของฉัน
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เงาสีขาวผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน น้ำเน่าในคลองต่อให้เน่าเหม็นปานใดย่อมระเหยกลายเป็นไออยู่นั่นเอง แต่การระเหิด ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกับการระเหย  ระเหย คือ การกลายเป็นไอ จากสถานภาพของของเหลวเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นก๊าซระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานภาพเป็นก๊าซโดยตรงจากของแข็งเป็นก๊าซ โดยไม่ต้องพักเปลี่ยนเป็นสถานภาพของเหลวก่อน ต่างจากการระเหย แต่เหมือนตรงที่ทั้งสองกระบวนการมีปลายทางอยู่ที่สถานภาพของก๊าซสอดคล้องกับความน่าเกลียดที่ระเหิดกลายเป็นไอแห่งความงามได้
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เงาสีขาว ผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทอง ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน ปกติฉันไม่นอนดึกหากไม่จำเป็น และหากจำเป็นก็เนื่องมาจากหนังสือบางเล่มที่อ่านค้างอยู่ มันเป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งที่ดุนหลังฉันให้หยิบ เงาสีขาว ขึ้นมาอ่าน เวรกรรมแท้ ๆ เชียว เราไม่น่าพบกันอีกเลย คุณแดนอรัญ แสงทอง ฉันควรรู้จักเขาจาก เรื่องสั้นขนาดยาวนาม อสรพิษ และ นวนิยายสุดโรแมนติกในนามของ เจ้าการะเกด เท่านั้น แต่กับเงาสีขาว มันทำให้ซาบซึ้งว่า กระบือย่อมเป็นกระบืออยู่วันยังค่ำ (เขาชอบประโยคนี้นะ เพราะมันปรากฏอยู่ในหนังสือของเขาตั้งหลายครั้ง)…
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร   ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน…
สวนหนังสือ
เมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือที่แปลเป็นไทยว่า สัจนิยมมายา หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ เป็นแนวการเขียนที่นักเขียนไทยนำมาใช้ในงานเรื่องสั้น นวนิยายกันมากขึ้น ไม่เว้นในกวีนิพนธ์ โดยส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ซึ่งมาเกซเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮวน รุลโฟ (ฆวน รุลโฟ) จากผลงานนวนิยายเรื่อง เปโดร ปาราโม อีกทอดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์วรรณกรรมแนวนี้ถูกตัดตอน ขอกล่าวถึงต้นธารของงานสกุลนี้สักเล็กน้อย กล่าวถึงฮวน รุลโฟ ซึ่งจริงๆ แล้วควรเขียนเป็นภาษาไทยว่า ฆวน รุลโฟ ทำให้หวนระลึกถึงผลงานแปลฉบับของ ราอูล ที่ฉันตกระกำลำบากในการอ่านอย่างแสนสาหัส…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครนA SHORT HISTORY OF TRACTORS IN UKRAINIAN ผู้เขียน : MARINA LEWYCKA ผู้แปล : พรพิสุทธิ์ โอสถานนท์ ประเภท : นวนิยายแปล พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน และแล้วฉันก็ได้อ่านมัน ไอ้เจ้าแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เมียงมองอยู่นานสองนานแล้วได้สมใจซะที ซึ่งก็สมใจจริงแท้แน่นอนเพราะได้อ่านรวดเดียวจบ (แบบต่อเนื่องยาวนาน) จบแบบสังขารบอบช้ำเมื่อต่อมขำทำงานหนัก ลามไปถึงปอดที่ถูกเขย่าครั้งแล้วครั้งเล่า ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เป็นนวนิยายสมัยใหม่ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ดึงดูดแบบยุคทุนนิยมเสรี…