Skip to main content

 

ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ

ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 .. 2536


ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ


เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็ ไม่ต้องขยายความให้เมื่อย อย่างไรก็ตาม ได้นำประวัติย่อจากหนังสือเล่มนี้มาบอกเล่าไว้ด้วย ก็เป็นการเผื่ออีกนั่นแหละ


ประวัติสังเขปของประไพ วิเศษธานี

ชื่อจริง อัศนี พลจันทร เกิดปี พ..2460 เรียนจบชั้นเตรียมอุดมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าศึกษาต่อขั้นอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สำเร็จเป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรกและเข้ารับราชการในตำแหน่งอัยการอยู่หลายจังหวัดเช่น อยุธยา, ปัตตานี เป็นต้น เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนและลงในหนังสือพิมพ์เอกชนสยามนิกร ราวปีพ..2482-2484 ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วได้จับงานเขียนอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลงานปรากฏในอักษรสาส์น สยามสมัยและปิยมิตรวันจันทร์ ในปี พ.. 2492-2504 มีทั้งบทความ, กวีนิพนธ์, เรื่องสั้น, เรื่องแปลบทละคอน ใช้นามปากกาต่าง ๆ เช่น นายผี, นางสาวอัศนี, ศรีอินทรายุธ, อินทรายุธ, กุลิศ อินทุศักดิ์, หง เกลียวกาม, สายฟ้า, ประไพ วิเศษ-ธานี, อุทิศ ประสานสภา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพูดเขียนได้หลายภาษา


ชื่อหนังสือที่ดูเหมือนจะหนักไปทางตำราเฉพาะทาง ใครไม่นิยมการประพันธ์อาจรู้สึกเฉย ๆ ซึ่งก็จริงตามนั้น แต่นอกจากตำราทางฉันทลักษณ์ที่เราเข้าใจกันแล้ว ยังมีคติที่ยังคงนำมาใช้เปรียบเทียบ วิเคราะห์โลกทัศน์ทางวรรณกรรมได้จนถึงปัจจุบัน ในส่วนคำนำของสำนักพิมพ์กล่าวไว้ว่า


เสมือนคำนำ

หนังสือเคล็ดกลอนเคล็ดแห่งอหังการ เคยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ปิยมิตร-วันจันทร์ ฉบับ 189-192 ประจำวันที่ 9,16,27และ 30 มกราคม 2505 หนังสือเคล็ดกลอนเคล็ดแห่งอหังการนับมาจนถึงปัจจุบันนี้เกินกว่า 47 ปี อายุของหนังสือฉันเปลี่ยนให้เป็นพ..2551 เอาเอง (เพิ่มความขลังตามใจนึก) และหากใครเคยติดสะกิดใจกับคำว่า “อหังการกวี” หรือ “อหังการ์” เห็นทีต้องเสาะหาเล่มนี้มาอ่านเสียแล้ว แต่ที่นี่ตัดทอนมาบางส่วนให้ได้สมใจคนช่างอยากรู้ และสนองใจตัวเองนิด ๆ


จากเสมือนคำนำ “กวีย่อมต้องมีอหังการ นั่นคือ, อหังการที่จะไม่ก้มหัวให้แก่ความกดดันที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม...แต่นี่มิได้หมายความว่า กวีจะต้องมี “อหังการ” แก่คนทั่วไปตรงข้าม, เขากลับจะต้องก้มหัวให้แก่มวลประชาสามัญชน, ต่อสู้แทนและสะท้อนชีวิตที่ต่อสู้ของมวลเหล่านั้นอย่างไม่อาลัยแก่ตัวเอง”


เท่านี้เป็นเพียงคำนำ ยังไม่ก้าวไปถึงเนื้อหา ที่มีตั้งแต่บท เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ กลอนจะดีได้ด้วยอาศัยอะไร? เคล็ดแห่งฉันทาการ เหตุไรจึงต้องมีฉันทลักษณาวิทยา และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กวีควรอ่านยิ่ง แถมท้ายด้วยบท สุวิชาโน ภวํ โหติ, นหิ ปูตํ สฺยาทฺโคกฺษีรํ ศฺวทฤเตา ธฤตมฺ, ภูมิโต นิคคฺโต รโส, เทวา น อิสฺสยนฺติ ปุริสปรกฺกมสฺส


ขอยกบางบทที่น่าคิดมาให้อ่านก่อน เพราะบางทีอดแคลงใจกับกวีร่วมสมัยไม่ได้ว่า บทกวีแบบใดที่เรียกได้ว่าเป็นกลอนไม่อาจเอื้อมได้ขึ้นชั้นเป็นกวีนิพนธ์ หรือแบบใดเป็นของ “ขึ้นหิ้ง”


บทที่ 3 เหตุไรจึงต้องมีฉันทลักษณวิทยา

ฉันทลักษณวิทยาคือ วิชาว่าด้วยกฎเกณฑ์โดยตรงแห่งการแต่งกาพย์กลอนทั้งหลาย ฉันทลักษณวิทยาเมื่อได้ประกอบขึ้นแล้วก็เป็นลักษณะพิเศษที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของกาพย์กลอน คำประพันธ์ไม่ว่าจะเป็นชนิดไรและไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หากไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งฉันทลักษณวิทยาแล้วก็จะเรียกว่ากาพย์กลอนไม่ได้


การวางกฎเกณฑ์ที่จำเป็นโดยเฉพาะเป็นการเพียงพอแล้ว ส่วนกฎเกณฑ์ที่นอกเหนือไปจากนั้นเป็นเรื่อง “ในทางศิลปะ” ที่กวีแต่ละคนจะต้องศึกษาค้นคว้าเอาเองในขั้นต่อไป


หน้า 26 ฉันทลักษณวิทยาก็คือการจัดกระบวนดนตรีของกาพย์กลอนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้กาพย์กลอนซึ่งเป็นศิลปะที่มีบรรเลงแห่งดนตรี จึงจะเป็นกาพย์กลอนไปไม่ได้ถ้าไม่ประกอบด้วยฉันทลักษณวิทยา ดังนั้นการเข้าใจฉันทลักษณวิทยาจึงเป็นสิ่งที่นักกลอนทั่วไปจะขาดเสียมิได้เลย


เนื่องจากฉันทลักษณวิทยาไม่ใช่คัมภีร์แห่งฉันทลักษณ์ เพราะฉะนั้นนักลำที่ไม่เคยรู้จักคัมภีร์ฉันทลักษณ์จึงสามารถว่าลำที่ไพเราะจับใจนักหนา เขาเหล่านั้นได้ฝึกฝนฉันทลักษณวิทยาจากการสืบทอดในชนบทเป็นเวลานาน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่นักเรียนรู้ทั้งหลายในเมืองไม่อาจลบหลู่ได้โดยแท้


ทั้งนี้ก็เพราะกาพย์กลอนเป็นที่ประชุมแห่งถ้อยคำอันเป็นระเบียบ


น่าสังเกตว่า นายผี ใช้คำว่ากาพย์กลอนเป็นหลัก หาได้ใช้คำว่า “กวีนิพนธ์”

ครั้นแล้วก็ต่อด้วยหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ที่น่าจะนำมาใช้พิจารณากวีนิพนธ์ที่ร่ายรำเพลงรายสัปดาห์ว่าอย่างไหนที่เข้าขั้น


บทที่ 4 กฎเกณฑ์ขั้นต่ำและขั้นสูงของกาพย์กลอน

ฉันทลักษณวิทยาแบ่งกฎเกณฑ์ออกเป็นสอง คือ กฎเกณฑ์ขั้นต่ำและกฎเกณฑ์ขั้นสูง


กฎเกณฑ์ขั้นต่ำ เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับของกาพย์กลอนอย่างใดอย่างหนึ่ง กาพย์กลอนจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยกฎเกณฑ์ขั้นต่ำนี้ พูดอีกนัยหนึ่ง กาพย์กลอนอย่างน้อยจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จำนวนหนึ่ง กฎเกณฑ์จำนวนนั้นเรียกว่า กฎเกณฑ์ขั้นต่ำของกาพย์กลอนเช่น โคลงสี่สุภาพมีกฎเกณฑ์ขั้นต่ำว่า บทหนึ่งมีสี่บาท (บทและบาท ใช้เรียกสำหรับโคลง, กลอนไม่เรียกเป็นบทและบาท แต่เรียกเป็นคำและวรรค) สามบาทแรกมีบาทละ 7 คำ บาทสุดท้ายมี 9 คำ ลักษณะที่สำคัญคือเอกโทซึ่งมีคำเอก 7 คำ คำโท 4 คำ ซึ่งบังคับตำแหน่งไว้ขัดเจน


กฎเกณฑ์ขั้นสูง เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่บังคับของกาพย์กลอน เพราะถึงแม้จะไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้เลยก็ย่อมทำได้ หากว่าได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขั้นต่ำครบถ้วนแล้วก็นับเป็นกลอนแล้ว กฎเกณฑ์ขั้นสูงมีไว้เพียงเพื่อที่จะทำให้กลอนนั้น ๆ เพิ่มความสมบูรณ์ในทางความหมายและเพิ่มความไพเราะในทางเสียงดนตรีขึ้นอีกเท่านั้น


ใครที่อ่านกวีนิพนธ์อยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะผลงานของอัจฉริยะรายสัปดาห์ (ขอยืมสำนวนของ แดนอรัญ แสงทองมาใช้ ด้วยความนิยมส่วนตัว) ที่ปรากฏตามนิตยสารนั้น จะอธิบายเรื่องสำคัญ ๆ อย่างนี้ได้น่าฟังกว่า อาจจะมากกว่า นายผี ด้วยซ้ำ เพราะการอ่านเขียนกวีนิพนธ์ในยุคนี้เป็นการเขียนถึง “แก่น” แท้ ๆ เพียว ๆ ใครจะมาพูดเรื่องกฎเกณฑ์ฉันทลักษณ์อันเป็นเพียงเปลือกนอก เห็นทีจะหลุดยุค แต่สำหรับฉันคำว่า “แก่น” กับ “เปลือก” ทุกวันนี้ถูกนำมาใช้ให้กลับกลอกสิ้นดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเน้น “แก่น” หรือ “เปลือก” มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง และแทบจะไม่เป็นประเด็นอีกต่อไปแล้ว


ดังนั้นคำว่า “จรรโลงใจ” นั้น อาจมีรหัสลับบางอย่างที่กวีมีความพยายามจะสื่อสารไปถึงผู้อ่าน และบางทีมันก็เป็นรหัสที่ลับจริง ๆ ด้วย


อย่างไรก็ตาม นายผี ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเลือกใช้คำในการเขียนกาพย์กลอนไว้พอสมควร ที่ชัดเจนมีเยอะ แต่ยกหน้า 75 มาเป็นตัวเลือกหนี่ง


หน้า 75 เราเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าจะแต่งกาพย์กลอนไทยแล้วก็ใช้คำไทยธรรมดา ๆ เห็นจะดีกว่า การใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตนั้นไม่หรูหราอะไรดอก ถ้าท่านจะไปดูภาพยนตร์ที่ศาลาเฉลิมกรุง ท่านก็ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยตามแบบไทยตามชีวิตที่ปกติของท่าน มิใช่ว่าท่านจะแต่งสากลแล้วโพกผ้าศิโรเพฐน์อย่างอาคันตุกะชาวฮินดู เพราะฉะนั้นกาพย์กลอนที่ท่านเขียนขึ้นในสมัยนี้ก็ไม่ควรที่จะเป็นแบบในสมัยโบราณรุ่มร่ามคล้าย ๆ พระยาตรังเขียน ควรจำไว้ว่าที่นรินทรอินมีชื่อเสียงกว่าพระยาตรังนั้นนอกจากเหตุอื่น ๆ เป็นอันมากแล้ว ยังอยู่ที่นรินทรอินได้ใช้ภาษาและท่วงทำนองในสมัยของเขามาเขียนนิราศของเขา ทั้ง ๆ ที่ได้ลอกเลียนความคิดของศรีปราชญ์ไม่ใช่น้อย ส่วนพระยาตรังซึ่งก็ได้ลอกเลียนความคิดของศรีปราชญ์ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่ก็ได้ลอกเลียนไปถึงภาษาและท่วงทำนองด้วย คงจะหวังให้ดู “ขลัง” และ “โบร่ำโบราณ” เหมือนศรีปราชญ์ซึ่งอยู่คนละสมัยกับเขานั้น ไม่สามารถจะทำให้โคลงนิราศของเขามีเสน่ห์อะไรเลย ... อย่างว่านั่นแหละในสมัยของเรานี้ก็มีผู้คิดอยากจะทำตัวเป็นคน “ขลัง” อยู่หลายคน ได้ทำเป็นเขียนโคลงจะให้เห็นเป็นแบบสมัย ทวาทศมาศ แต่น่าอนาถที่โคลงของเขาฟังไม่เข้าเค้า ศัพท์แสงที่ใช้หวังจะให้ขรึมก็กลับดูครึคระ ผิด ๆ ถูก ๆ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ โบราณฟังไม่ได้สมัยใหม่ฟังไม่ดี น่าขัน ดู ๆ เหมือนสาวทึมทึกดัดผมทาเล็บสวมเกือกส้นสูง แต่กินหมากแล้วยังแถมคาดเข็มขัดนากเส้นเบ้อเริ่ม

 


ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งกับทัศนะนี้ของนายผี และยังนำใช้ได้จริงอยู่ในยุคปัจจุบัน เพราะอะไรน่ะหรือ เห็นจะต้องนำมายกตัวอย่างจากหนังสือกวีนิพนธ์เล่มอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป

ทั้งนี้ ที่รสนิยม ค่านิยมอันเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ได้เปลี่ยนท่า เปลี่ยนขั้วไปจากโบราณอยู่มาก อีกอย่างหนึ่งคือ รหัสลับ ที่กวีต้องการสื่อนั้น นอกจากจะเป็นความลับที่ลึกแล้ว นายผียังเขียนไว้ราวกับได้ให้โอวาทข้ามเวลาเลยทีเดียว ลองอ่านดู


กาพย์กลอนต้องการความหมายที่แจ่มชัดเท่า ๆ กับความไพเราะ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการความลึกซึ้งด้วย ก็เพราะเหตุนี้แหละ บางคนจึงได้พยายามเขียนกลอนให้เข้าใจยากและกำกวม เพื่อจะให้เห็นว่าเป็นกลอนที่ลึกซึ้งหนักหนา แต่ที่จริงความกำกวมกับความลึกซึ้งนั้นเป็นคนละเรื่อง ความลึกซึ้งจะต้องมีความแจ่มชัดเข้าใจง่าย ถ้าความกำกวมไม่แจ่มชัด เข้าใจไม่ได้ว่าหมายถึงอะไร ก็ไม่อาจจะ “เข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ได้ นี่ธรรมดาเหลือเกิน ไม่เข้าใจแล้วจะว่าลึกซึ้งได้อย่างไร ที่ว่า “ลึกจนคนไม่เข้าใจ” นั้นที่แท้เป็นความเลอะมากกว่า กลอนที่มีความกำกวนนั้นก็คือความไม่แจ่มชัดนั่นเอง ... ความกำกวมของกาพย์กลอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี และก็ต่างกับความมีนัยของกาพย์กลอน บางคนเข้าใจว่าความกำกวมเป็นของดี คืออาจจะหมายความอย่างนั้นก็ได้อย่างนี้ก็ได้ จากนี้ก็เลยเห็นเป็นเรื่องลึกซึ้งไป อันที่จริงความกำกวมก็คือความหมายที่ไม่แจ่มชัดว่าเป็นอย่างไหนแน่ ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ความมีนัยนั้นเป็นเรื่องที่จะเห็นความหมายที่ซ่อนไว้อีกอย่างหนึ่งได้เป็นนัย ๆ นั้นก็คือความหมายนั้น ๆ ไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ แต่ก็สามารถทำให้ผู้อ่านผู้ฟังเห็นความแจ่มกระจะออกไป ถ้าความนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งจะเข้าใจได้มากออกไปอีก ชัดเจนออกไปอีกก็เป็นความที่ลึกซึ้ง ตัวอย่างกลอนที่มีความกำกวมในประวัติวรรณคดีไทยก็คือ


จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้ว

ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา

ที่สุนทรภู่ท้วงว่า “สมมาดอะไร” นั้นถูกทีเดียว เพราะความกำกวมไม่แจ่มชัดลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้เสียใหม่ว่า


จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้ว

ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา


กวีเป็นผู้ทำการใหญ่ เพราะฉะนั้นจะต้องมีความแจ่มชัดในทางความคิด ต่อจากนั้นจะทำอะไรอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ส่งท้ายด้วยความอหังการที่นายผีใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเล่ม และน่าจะยกเป็นหัวใจของกวีนิพนธ์ร่วมสมัยได้ด้วย


อหังการ
แปลตามพยัญชนะก็คือความเป็นตัวของตัวเอง นั่นคือนักเขียนจะต้องยึดหลักการและทัศนะของตัวให้มั่น ไม่ทิ้งหลักการและทัศนะที่ถูกต้องของตน ไม่ว่าในกรณีเช่นไร อหังการโดยอรรถะหมายถึงความภูมิใจในการงานอันดีงามของตน และเมื่อนึกถึงหน้าที่ของนักเขียนแล้วเขาก็ควรมีอหังการตามความหมายนี้ แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งเกิดอหังการโดยมิได้เป็นตัวของตัวเอง และทั้งโดยมิได้มีอะไรน่าภาคภูมิ นี่ก็คือความเย่อหยิ่งซึ่งนักเขียนทั้งหลายพึงหลีกเลี่ยงให้ไกลแสนไกล ภาษิตหนึ่งมีว่าความถ่อมตนทำให้เจริญ ความเย่อหยิ่งลำพองใจทำให้เสื่อมเสีย บางทีจะเป็นเครื่องประกอบปราภวสูตรได้บ้างดอกกระมัง หากนักเขียนเราจะรำลึกข้อนี้เป็นนิตย์ เมื่อการเขียนเรื่องเป็นเรื่องที่ควรภาคภูมิอหังการเช่นนี้แล้ว การเขียนเรื่องให้ดีก็เป็นความจำเป็น ฉะนั้น, เคล็ดแห่งการเขียนเรื่องจึงมิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็น เคล็ดแห่งอหังการ นั่นเอง


ฉะนั้น เคล็ดแห่งอหังการ คงไม่ใช่เรื่องของ “แก่น” ที่ใครพากันเอามาพูดง่าย ๆ ว่าเป็น “แก่น” เท่านั้นดอกกระมัง หรือหากว่าจะเป็นเช่นเขาว่า มันก็สุดแท้แต่ใครจะเดินรอยตาม.

 

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…