Skip to main content

 

ชื่อหนังสือ : เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ

ผู้เขียน : ประไพ วิเศษธานี

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ทะเลหญ้า พิมพ์ครั้งที่ 3 .. 2536


ไปเจอหนังสือเก่าสภาพดีเล่มหนึ่งเข้าที่ตลาดนัดหนังสือใกล้บ้าน เป็นความถูกใจที่วิเศษสุด เนื่องจากเป็นหนังสือที่คิดว่าหายากแล้ว ไม่เท่านั้นเนื้อหายังเป็นตำราทางการประพันธ์ เหมาะทั้งคนที่เป็นนักเขียนและนักอ่าน นำมาตัดทอนให้อ่านสนุก ๆ เผื่อว่าจะได้ใช้ในคราวบังเอิญ


เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการเล่มนี้ ผู้เขียนใช้นามปากกา ประไพ วิเศษธานี ซึ่งไม่เป็นที่คุ้นสักเท่าไร แต่หากบอกว่านามปากกานี้เป็นอีกสมัญญาหนึ่งของนายผี อัศนี พลจันทร ล่ะก็ ไม่ต้องขยายความให้เมื่อย อย่างไรก็ตาม ได้นำประวัติย่อจากหนังสือเล่มนี้มาบอกเล่าไว้ด้วย ก็เป็นการเผื่ออีกนั่นแหละ


ประวัติสังเขปของประไพ วิเศษธานี

ชื่อจริง อัศนี พลจันทร เกิดปี พ..2460 เรียนจบชั้นเตรียมอุดมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เข้าศึกษาต่อขั้นอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง สำเร็จเป็นธรรมศาสตร์บัณฑิตรุ่นแรกและเข้ารับราชการในตำแหน่งอัยการอยู่หลายจังหวัดเช่น อยุธยา, ปัตตานี เป็นต้น เริ่มเขียนหนังสือตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนและลงในหนังสือพิมพ์เอกชนสยามนิกร ราวปีพ..2482-2484 ภายหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วได้จับงานเขียนอย่างจริงจัง ซึ่งมีผลงานปรากฏในอักษรสาส์น สยามสมัยและปิยมิตรวันจันทร์ ในปี พ.. 2492-2504 มีทั้งบทความ, กวีนิพนธ์, เรื่องสั้น, เรื่องแปลบทละคอน ใช้นามปากกาต่าง ๆ เช่น นายผี, นางสาวอัศนี, ศรีอินทรายุธ, อินทรายุธ, กุลิศ อินทุศักดิ์, หง เกลียวกาม, สายฟ้า, ประไพ วิเศษ-ธานี, อุทิศ ประสานสภา ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีความสามารถพูดเขียนได้หลายภาษา


ชื่อหนังสือที่ดูเหมือนจะหนักไปทางตำราเฉพาะทาง ใครไม่นิยมการประพันธ์อาจรู้สึกเฉย ๆ ซึ่งก็จริงตามนั้น แต่นอกจากตำราทางฉันทลักษณ์ที่เราเข้าใจกันแล้ว ยังมีคติที่ยังคงนำมาใช้เปรียบเทียบ วิเคราะห์โลกทัศน์ทางวรรณกรรมได้จนถึงปัจจุบัน ในส่วนคำนำของสำนักพิมพ์กล่าวไว้ว่า


เสมือนคำนำ

หนังสือเคล็ดกลอนเคล็ดแห่งอหังการ เคยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ปิยมิตร-วันจันทร์ ฉบับ 189-192 ประจำวันที่ 9,16,27และ 30 มกราคม 2505 หนังสือเคล็ดกลอนเคล็ดแห่งอหังการนับมาจนถึงปัจจุบันนี้เกินกว่า 47 ปี อายุของหนังสือฉันเปลี่ยนให้เป็นพ..2551 เอาเอง (เพิ่มความขลังตามใจนึก) และหากใครเคยติดสะกิดใจกับคำว่า “อหังการกวี” หรือ “อหังการ์” เห็นทีต้องเสาะหาเล่มนี้มาอ่านเสียแล้ว แต่ที่นี่ตัดทอนมาบางส่วนให้ได้สมใจคนช่างอยากรู้ และสนองใจตัวเองนิด ๆ


จากเสมือนคำนำ “กวีย่อมต้องมีอหังการ นั่นคือ, อหังการที่จะไม่ก้มหัวให้แก่ความกดดันที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม...แต่นี่มิได้หมายความว่า กวีจะต้องมี “อหังการ” แก่คนทั่วไปตรงข้าม, เขากลับจะต้องก้มหัวให้แก่มวลประชาสามัญชน, ต่อสู้แทนและสะท้อนชีวิตที่ต่อสู้ของมวลเหล่านั้นอย่างไม่อาลัยแก่ตัวเอง”


เท่านี้เป็นเพียงคำนำ ยังไม่ก้าวไปถึงเนื้อหา ที่มีตั้งแต่บท เคล็ดกลอน เคล็ดแห่งอหังการ กลอนจะดีได้ด้วยอาศัยอะไร? เคล็ดแห่งฉันทาการ เหตุไรจึงต้องมีฉันทลักษณาวิทยา และกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่กวีควรอ่านยิ่ง แถมท้ายด้วยบท สุวิชาโน ภวํ โหติ, นหิ ปูตํ สฺยาทฺโคกฺษีรํ ศฺวทฤเตา ธฤตมฺ, ภูมิโต นิคคฺโต รโส, เทวา น อิสฺสยนฺติ ปุริสปรกฺกมสฺส


ขอยกบางบทที่น่าคิดมาให้อ่านก่อน เพราะบางทีอดแคลงใจกับกวีร่วมสมัยไม่ได้ว่า บทกวีแบบใดที่เรียกได้ว่าเป็นกลอนไม่อาจเอื้อมได้ขึ้นชั้นเป็นกวีนิพนธ์ หรือแบบใดเป็นของ “ขึ้นหิ้ง”


บทที่ 3 เหตุไรจึงต้องมีฉันทลักษณวิทยา

ฉันทลักษณวิทยาคือ วิชาว่าด้วยกฎเกณฑ์โดยตรงแห่งการแต่งกาพย์กลอนทั้งหลาย ฉันทลักษณวิทยาเมื่อได้ประกอบขึ้นแล้วก็เป็นลักษณะพิเศษที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งของกาพย์กลอน คำประพันธ์ไม่ว่าจะเป็นชนิดไรและไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หากไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์แห่งฉันทลักษณวิทยาแล้วก็จะเรียกว่ากาพย์กลอนไม่ได้


การวางกฎเกณฑ์ที่จำเป็นโดยเฉพาะเป็นการเพียงพอแล้ว ส่วนกฎเกณฑ์ที่นอกเหนือไปจากนั้นเป็นเรื่อง “ในทางศิลปะ” ที่กวีแต่ละคนจะต้องศึกษาค้นคว้าเอาเองในขั้นต่อไป


หน้า 26 ฉันทลักษณวิทยาก็คือการจัดกระบวนดนตรีของกาพย์กลอนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้กาพย์กลอนซึ่งเป็นศิลปะที่มีบรรเลงแห่งดนตรี จึงจะเป็นกาพย์กลอนไปไม่ได้ถ้าไม่ประกอบด้วยฉันทลักษณวิทยา ดังนั้นการเข้าใจฉันทลักษณวิทยาจึงเป็นสิ่งที่นักกลอนทั่วไปจะขาดเสียมิได้เลย


เนื่องจากฉันทลักษณวิทยาไม่ใช่คัมภีร์แห่งฉันทลักษณ์ เพราะฉะนั้นนักลำที่ไม่เคยรู้จักคัมภีร์ฉันทลักษณ์จึงสามารถว่าลำที่ไพเราะจับใจนักหนา เขาเหล่านั้นได้ฝึกฝนฉันทลักษณวิทยาจากการสืบทอดในชนบทเป็นเวลานาน เขาเหล่านั้นเป็นผู้ที่นักเรียนรู้ทั้งหลายในเมืองไม่อาจลบหลู่ได้โดยแท้


ทั้งนี้ก็เพราะกาพย์กลอนเป็นที่ประชุมแห่งถ้อยคำอันเป็นระเบียบ


น่าสังเกตว่า นายผี ใช้คำว่ากาพย์กลอนเป็นหลัก หาได้ใช้คำว่า “กวีนิพนธ์”

ครั้นแล้วก็ต่อด้วยหลักเกณฑ์คร่าว ๆ ที่น่าจะนำมาใช้พิจารณากวีนิพนธ์ที่ร่ายรำเพลงรายสัปดาห์ว่าอย่างไหนที่เข้าขั้น


บทที่ 4 กฎเกณฑ์ขั้นต่ำและขั้นสูงของกาพย์กลอน

ฉันทลักษณวิทยาแบ่งกฎเกณฑ์ออกเป็นสอง คือ กฎเกณฑ์ขั้นต่ำและกฎเกณฑ์ขั้นสูง


กฎเกณฑ์ขั้นต่ำ เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับของกาพย์กลอนอย่างใดอย่างหนึ่ง กาพย์กลอนจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยอาศัยกฎเกณฑ์ขั้นต่ำนี้ พูดอีกนัยหนึ่ง กาพย์กลอนอย่างน้อยจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์จำนวนหนึ่ง กฎเกณฑ์จำนวนนั้นเรียกว่า กฎเกณฑ์ขั้นต่ำของกาพย์กลอนเช่น โคลงสี่สุภาพมีกฎเกณฑ์ขั้นต่ำว่า บทหนึ่งมีสี่บาท (บทและบาท ใช้เรียกสำหรับโคลง, กลอนไม่เรียกเป็นบทและบาท แต่เรียกเป็นคำและวรรค) สามบาทแรกมีบาทละ 7 คำ บาทสุดท้ายมี 9 คำ ลักษณะที่สำคัญคือเอกโทซึ่งมีคำเอก 7 คำ คำโท 4 คำ ซึ่งบังคับตำแหน่งไว้ขัดเจน


กฎเกณฑ์ขั้นสูง เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่บังคับของกาพย์กลอน เพราะถึงแม้จะไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้เลยก็ย่อมทำได้ หากว่าได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ขั้นต่ำครบถ้วนแล้วก็นับเป็นกลอนแล้ว กฎเกณฑ์ขั้นสูงมีไว้เพียงเพื่อที่จะทำให้กลอนนั้น ๆ เพิ่มความสมบูรณ์ในทางความหมายและเพิ่มความไพเราะในทางเสียงดนตรีขึ้นอีกเท่านั้น


ใครที่อ่านกวีนิพนธ์อยู่เป็นปกติ โดยเฉพาะผลงานของอัจฉริยะรายสัปดาห์ (ขอยืมสำนวนของ แดนอรัญ แสงทองมาใช้ ด้วยความนิยมส่วนตัว) ที่ปรากฏตามนิตยสารนั้น จะอธิบายเรื่องสำคัญ ๆ อย่างนี้ได้น่าฟังกว่า อาจจะมากกว่า นายผี ด้วยซ้ำ เพราะการอ่านเขียนกวีนิพนธ์ในยุคนี้เป็นการเขียนถึง “แก่น” แท้ ๆ เพียว ๆ ใครจะมาพูดเรื่องกฎเกณฑ์ฉันทลักษณ์อันเป็นเพียงเปลือกนอก เห็นทีจะหลุดยุค แต่สำหรับฉันคำว่า “แก่น” กับ “เปลือก” ทุกวันนี้ถูกนำมาใช้ให้กลับกลอกสิ้นดี เพราะฉะนั้น ไม่ว่าใครจะเน้น “แก่น” หรือ “เปลือก” มันก็ขึ้นอยู่กับตัวของเขาเอง และแทบจะไม่เป็นประเด็นอีกต่อไปแล้ว


ดังนั้นคำว่า “จรรโลงใจ” นั้น อาจมีรหัสลับบางอย่างที่กวีมีความพยายามจะสื่อสารไปถึงผู้อ่าน และบางทีมันก็เป็นรหัสที่ลับจริง ๆ ด้วย


อย่างไรก็ตาม นายผี ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการเลือกใช้คำในการเขียนกาพย์กลอนไว้พอสมควร ที่ชัดเจนมีเยอะ แต่ยกหน้า 75 มาเป็นตัวเลือกหนี่ง


หน้า 75 เราเป็นคนไทยด้วยกัน ถ้าจะแต่งกาพย์กลอนไทยแล้วก็ใช้คำไทยธรรมดา ๆ เห็นจะดีกว่า การใช้คำศัพท์บาลีสันสกฤตนั้นไม่หรูหราอะไรดอก ถ้าท่านจะไปดูภาพยนตร์ที่ศาลาเฉลิมกรุง ท่านก็ควรแต่งตัวให้เรียบร้อยตามแบบไทยตามชีวิตที่ปกติของท่าน มิใช่ว่าท่านจะแต่งสากลแล้วโพกผ้าศิโรเพฐน์อย่างอาคันตุกะชาวฮินดู เพราะฉะนั้นกาพย์กลอนที่ท่านเขียนขึ้นในสมัยนี้ก็ไม่ควรที่จะเป็นแบบในสมัยโบราณรุ่มร่ามคล้าย ๆ พระยาตรังเขียน ควรจำไว้ว่าที่นรินทรอินมีชื่อเสียงกว่าพระยาตรังนั้นนอกจากเหตุอื่น ๆ เป็นอันมากแล้ว ยังอยู่ที่นรินทรอินได้ใช้ภาษาและท่วงทำนองในสมัยของเขามาเขียนนิราศของเขา ทั้ง ๆ ที่ได้ลอกเลียนความคิดของศรีปราชญ์ไม่ใช่น้อย ส่วนพระยาตรังซึ่งก็ได้ลอกเลียนความคิดของศรีปราชญ์ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน แต่ก็ได้ลอกเลียนไปถึงภาษาและท่วงทำนองด้วย คงจะหวังให้ดู “ขลัง” และ “โบร่ำโบราณ” เหมือนศรีปราชญ์ซึ่งอยู่คนละสมัยกับเขานั้น ไม่สามารถจะทำให้โคลงนิราศของเขามีเสน่ห์อะไรเลย ... อย่างว่านั่นแหละในสมัยของเรานี้ก็มีผู้คิดอยากจะทำตัวเป็นคน “ขลัง” อยู่หลายคน ได้ทำเป็นเขียนโคลงจะให้เห็นเป็นแบบสมัย ทวาทศมาศ แต่น่าอนาถที่โคลงของเขาฟังไม่เข้าเค้า ศัพท์แสงที่ใช้หวังจะให้ขรึมก็กลับดูครึคระ ผิด ๆ ถูก ๆ ป้ำ ๆ เป๋อ ๆ โบราณฟังไม่ได้สมัยใหม่ฟังไม่ดี น่าขัน ดู ๆ เหมือนสาวทึมทึกดัดผมทาเล็บสวมเกือกส้นสูง แต่กินหมากแล้วยังแถมคาดเข็มขัดนากเส้นเบ้อเริ่ม

 


ฉันเห็นด้วยอย่างยิ่งกับทัศนะนี้ของนายผี และยังนำใช้ได้จริงอยู่ในยุคปัจจุบัน เพราะอะไรน่ะหรือ เห็นจะต้องนำมายกตัวอย่างจากหนังสือกวีนิพนธ์เล่มอื่น ๆ ในโอกาสต่อไป

ทั้งนี้ ที่รสนิยม ค่านิยมอันเกี่ยวกับกวีนิพนธ์ได้เปลี่ยนท่า เปลี่ยนขั้วไปจากโบราณอยู่มาก อีกอย่างหนึ่งคือ รหัสลับ ที่กวีต้องการสื่อนั้น นอกจากจะเป็นความลับที่ลึกแล้ว นายผียังเขียนไว้ราวกับได้ให้โอวาทข้ามเวลาเลยทีเดียว ลองอ่านดู


กาพย์กลอนต้องการความหมายที่แจ่มชัดเท่า ๆ กับความไพเราะ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องการความลึกซึ้งด้วย ก็เพราะเหตุนี้แหละ บางคนจึงได้พยายามเขียนกลอนให้เข้าใจยากและกำกวม เพื่อจะให้เห็นว่าเป็นกลอนที่ลึกซึ้งหนักหนา แต่ที่จริงความกำกวมกับความลึกซึ้งนั้นเป็นคนละเรื่อง ความลึกซึ้งจะต้องมีความแจ่มชัดเข้าใจง่าย ถ้าความกำกวมไม่แจ่มชัด เข้าใจไม่ได้ว่าหมายถึงอะไร ก็ไม่อาจจะ “เข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ได้ นี่ธรรมดาเหลือเกิน ไม่เข้าใจแล้วจะว่าลึกซึ้งได้อย่างไร ที่ว่า “ลึกจนคนไม่เข้าใจ” นั้นที่แท้เป็นความเลอะมากกว่า กลอนที่มีความกำกวนนั้นก็คือความไม่แจ่มชัดนั่นเอง ... ความกำกวมของกาพย์กลอนนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี และก็ต่างกับความมีนัยของกาพย์กลอน บางคนเข้าใจว่าความกำกวมเป็นของดี คืออาจจะหมายความอย่างนั้นก็ได้อย่างนี้ก็ได้ จากนี้ก็เลยเห็นเป็นเรื่องลึกซึ้งไป อันที่จริงความกำกวมก็คือความหมายที่ไม่แจ่มชัดว่าเป็นอย่างไหนแน่ ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ความมีนัยนั้นเป็นเรื่องที่จะเห็นความหมายที่ซ่อนไว้อีกอย่างหนึ่งได้เป็นนัย ๆ นั้นก็คือความหมายนั้น ๆ ไม่อาจพิสูจน์ยืนยันได้ แต่ก็สามารถทำให้ผู้อ่านผู้ฟังเห็นความแจ่มกระจะออกไป ถ้าความนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งจะเข้าใจได้มากออกไปอีก ชัดเจนออกไปอีกก็เป็นความที่ลึกซึ้ง ตัวอย่างกลอนที่มีความกำกวมในประวัติวรรณคดีไทยก็คือ


จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้ว

ให้ลูกแก้วสมมาดปรารถนา

ที่สุนทรภู่ท้วงว่า “สมมาดอะไร” นั้นถูกทีเดียว เพราะความกำกวมไม่แจ่มชัดลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้เสียใหม่ว่า


จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้ว

ให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา


กวีเป็นผู้ทำการใหญ่ เพราะฉะนั้นจะต้องมีความแจ่มชัดในทางความคิด ต่อจากนั้นจะทำอะไรอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


ส่งท้ายด้วยความอหังการที่นายผีใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเล่ม และน่าจะยกเป็นหัวใจของกวีนิพนธ์ร่วมสมัยได้ด้วย


อหังการ
แปลตามพยัญชนะก็คือความเป็นตัวของตัวเอง นั่นคือนักเขียนจะต้องยึดหลักการและทัศนะของตัวให้มั่น ไม่ทิ้งหลักการและทัศนะที่ถูกต้องของตน ไม่ว่าในกรณีเช่นไร อหังการโดยอรรถะหมายถึงความภูมิใจในการงานอันดีงามของตน และเมื่อนึกถึงหน้าที่ของนักเขียนแล้วเขาก็ควรมีอหังการตามความหมายนี้ แต่ยังมีคนจำนวนหนึ่งเกิดอหังการโดยมิได้เป็นตัวของตัวเอง และทั้งโดยมิได้มีอะไรน่าภาคภูมิ นี่ก็คือความเย่อหยิ่งซึ่งนักเขียนทั้งหลายพึงหลีกเลี่ยงให้ไกลแสนไกล ภาษิตหนึ่งมีว่าความถ่อมตนทำให้เจริญ ความเย่อหยิ่งลำพองใจทำให้เสื่อมเสีย บางทีจะเป็นเครื่องประกอบปราภวสูตรได้บ้างดอกกระมัง หากนักเขียนเราจะรำลึกข้อนี้เป็นนิตย์ เมื่อการเขียนเรื่องเป็นเรื่องที่ควรภาคภูมิอหังการเช่นนี้แล้ว การเขียนเรื่องให้ดีก็เป็นความจำเป็น ฉะนั้น, เคล็ดแห่งการเขียนเรื่องจึงมิใช่อะไรอื่น นอกจากเป็น เคล็ดแห่งอหังการ นั่นเอง


ฉะนั้น เคล็ดแห่งอหังการ คงไม่ใช่เรื่องของ “แก่น” ที่ใครพากันเอามาพูดง่าย ๆ ว่าเป็น “แก่น” เท่านั้นดอกกระมัง หรือหากว่าจะเป็นเช่นเขาว่า มันก็สุดแท้แต่ใครจะเดินรอยตาม.

 

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ถ้าเปรียบสวนหนังสือเหมือนผืนดินแห่งหนึ่งแล้วล่ะก็ ผู้เขียนเองก็ได้แสดงความคิดเห็นต่อหนังสือ จากการอ่านผลงานทางวรรณกรรมของบรรดานักประพันธ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะรูปแบบเรื่องสั้น นวนิยาย หรือกระทั่งกวีนิพนธ์บางเล่ม ข้อเขียนที่มีต่อหนังสือบางเล่มหรือเรื่องบางเรื่อง อาจแบ่งเป็นผลรับตามสูตรคณิตศาสตร์ได้ไม่ชัดเจน ใช้หลักต้องใจต้องอารมณ์และความนึกหวังเป็นหลักก็ว่าได้
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก ผู้เขียน : กลุ่มจิตวิวัฒน์ ประเภท : ความเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน  
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ           :           ชะบน ผู้เขียน               :           ธีระยุทธ  ดาวจันทึก ประเภท              :           นวนิยาย   พิมพ์ครั้งที่ 1 เมษายน 2537 จัดพิมพ์โดย        :    …
สวนหนังสือ
นายยืนยง  ชื่อหนังสือ : มนุษย์หมาป่า ผู้แต่ง : เจน ไรซ์ ผู้แปล : แดนอรัญ แสงทอง จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์หนึ่ง พิมพ์ครั้งแรก : สิงหาคม 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : บันทึกนกไขลาน (The Wind-up Bird Chronicle) ผู้เขียน : ฮารูกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) ผู้แปล : นพดล เวชสวัสดิ์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์แม่ไก่ขยัน   “หนูอยาก...อยากจะได้มีดผ่าตัดสักเล่ม หนูจะกรีดผ่า ชะโงกหน้าเข้าไปมองข้างใน ไม่ใช่ผ่าศพคนนะ... แค่ก้อนเนื้อแห่งความตาย หนูแน่ใจว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างซ่อนอยู่ในนั้น ก้อนกลมเหนียวหยุ่นเหมือนลูกซอฟต์บอล แก่นกลางแข็งเป็นเส้นประสาทพันขดแน่น หนูอยากหยิบออกมาจากร่างคนตาย เอาก้อนนั้นมาผ่าดู อยากรู้ว่าเป็นอะไรกันแน่... (ภาคหนึ่ง, หน้า 36)
สวนหนังสือ
นายยืนยง  เมื่อวานนี้เอง ฉันเพิ่งถามตัวเองอย่างจริงจัง แบบไม่อิงค่านิยมใด ๆ ถามออกมาจากตัวของความรู้สึกอันแท้จริง ณ เวลานี้ว่า ทำไมฉันชอบอ่านวรรณกรรมมากที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหลาย คุณเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้หรือเปล่า
สวนหนังสือ
นายยืนยง ฉันวาดหวังสวยหรูไว้กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงบนผืนดินห้าไร่เศษ ที่ดินผืนสวยซึ่งพรั่งพร้อมไปด้วยปัจจัยแห่งกสิกรรม มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงา มีบ่อน้ำขนาดใหญ่สองบ่อ และกระท่อมน้อยบนเนินเตี้ย ๆ รายล้อมไปด้วยทุ่งข้าวเขียวขจี แต่ระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือน มายาแห่งหวังก็พังทลายลงต่อหน้าต่อตา ฉันจำเก็บข่มความขมขื่นไว้กับชีวิตใหม่ ในที่พำนักใหม่ ซึ่งไม่ใช่ผืนดินแห่งนี้
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552
สวนหนังสือ
  และแล้วรางวัลซีไรต์ปี 2552 รอบของนวนิยายก็ประกาศผลแล้ว ปรากฏเป็นผลงานนวนิยายเรื่อง ลับแลแก่งคอย ของอุทิศ เหมะมูล โดยแพรวสำนักพิมพ์เป็นผู้จัดพิมพ์ (ประกาศผลเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา)ใครเชียร์เล่มนี้ก็ได้ไชโยกัน ฉันเองก็มีเล่มนี้เป็นหนึ่งในหลายเล่มด้วย รู้สึกสะใจลึก ๆ ที่อุทิศได้ซีไรต์ เนื่องจากเคยเชื่อว่า งานดี ๆ อย่างที่ใจเราคิดมักพลาดซีไรต์เป็นเนืองนิตย์ ผิดกับคราวนี้ที่งานดี ๆ ของนักเขียน "อย่างอุทิศ" ได้รางวัล
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ           :           นัยน์ตาของโคเสี่ยงทาย ผู้แต่ง                 :           วิสุทธิ์ ขาวเนียม ประเภท              :           กวีนิพนธ์รางวัลนายอินทร์อะวอร์ดครั้งที่ 10 จัดพิมพ์โดย        : …
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ลับแล, แก่งคอยผู้แต่ง : อุทิศ เหมะมูลประเภท : นวนิยายจัดพิมพ์โดย : แพรวสำนักพิมพ์ พิมพ์ครั้งแรก 2552
สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประเทศใต้ผู้เขียน : ชาคริต โภชะเรืองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่ 1 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ก๊วนปาร์ตี้ ข้อเด่นอย่างแรกที่เห็นได้ชัดจากนวนิยายเรื่องประเทศใต้ หนึ่งในผลงานที่เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรต์ปีนี้ คือ วิธีการดำเนินเรื่องที่กระโดดข้าม สลับกลับไปมา อย่างไม่อาจระบุว่าใช้รูปแบบความสัมพันธ์ใด ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง หรืออย่างที่สกุล บุณยทัต เรียกในบทวิจารณ์ว่า "ไร้ระเบียบ" แต่อย่าลืมว่านวนิยายเรื่องนี้ได้เริ่มต้นที่ "ชื่อ" ของนวนิยาย ซึ่งในบทนำได้บอกไว้ว่า "ผม" ได้รับต้นฉบับนวนิยายเรื่องหนึ่งจาก "เขา" ในฐานะที่เป็นคนรู้จักกัน มันมีชื่อเรื่องว่า…