นายยืนยง
ชื่อหนังสือ : จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก
ผู้เขียน : กลุ่มจิตวิวัฒน์
ประเภท : ความเรียง พิมพ์ครั้งที่ 1 พ.ศ.2549
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน
หนังสือที่มีเนื้อหาว่าด้วยการค้นพบสิ่งใหม่ทั้งหลายล้วนอ้างถึงข้อมูล ลับบ้างไม่ลับบ้าง คละเคล้ากันไป ในฐานะของผู้อ่าน เราจะรู้ได้อย่างไรว่า บรรดาข้อมูลเหล่านั้นมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร ขณะที่เรายังคงว่ายเวียนอยู่ในทะเลแห่งข่าวสารข้อเท็จจริง ข้อมูลชนิดใดกันเล่าที่จะใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวเราไว้ได้มั่นคง
ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง แม้จะเป็นคนละคำ แต่นัยความหมายที่ถูกนำมาใช้มักจะพ้องกันอยู่กลาย ๆ ด้วย และเราทั้งหลายในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องที่ง่ายสะดวกต่อการเข้าถึงกว่าในยุคก่อนนี้หลายเท่าตัว แต่เรากลับไม่ได้ให้ความเชื่อถือข้อมูลเหล่านั้นในเชิงข้อเท็จจริงอย่างจริงจังมากนัก นอกเสียจากข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำมาใช้ในการอ้างอิงหรือแอบอ้างเพื่อให้ทัศนคติของเราดูเป็นจริงเป็นจัง น่าเชื่อถือมากขึ้น
ข้อมูลใหม่ ๆ ที่ถูกป้อนเข้าสู่คลังความจำของเราในยุคนี้ มักไม่ได้มาเพียงลำพัง หากแต่มันจะพ่วงเอาแนวคิด หนีบเอาทัศนคติมาพร้อมกันด้วย ถ้อยคำใหม่ ๆ วิธีคิดแบบใหม่ ๆ ก็ถูกลำเลียงมาตามสายพานข้อมูลเหล่านั้นพร้อม ๆ กัน ราวกับโลกแห่งการรับรู้ของเราเป็นดั่งสนามประลองทางทัศนคติ ในที่สุดความเรียบเฉยของข้อมูลก็พลิกโฉมหน้าเป็นสงครามแห่งมายาคติไปในที่สุด
เช่นเดียวกันหนังสือที่ได้รวบรวมเอาบทความเชิงวิชาการของท่านนักคิด นักเขียน ผู้ขึ้นชื่อในทางสำนักคิดทางจิตวิญญาณ บางท่านได้รับสมญาว่าเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณในกลุ่มผู้ให้ความเคารพนับถือ เล่มนี้
จักรวาลผลัดใบ การเกิดใหม่ของจิตสำนึก
ในบรรดาผู้อ่านหรือผู้รับสารทั้งหลาย รวมทั้งฉันด้วย คงมีไม่น้อยที่เกิดข้อกังขาเมื่อได้รับรู้ถึงการกล่าวอ้างข้อมูลอันน่าเชื่อถือขึ้นมาสักข้อหนึ่งหรือหลายข้อระหว่างการอ่าน “ความคิด” ของบทความใด ๆ ในฐานะผู้อ่านอย่างเรา ๆ นั้น ไม่ค่อยได้มีโอกาสโต้แย้งเท่าไรนัก ราวกับผู้อ่านอย่างเรา ๆ นั้น ไม่เคยมีลิขสิทธิ์คุ้มครองความสงสัยในความน่าเชื่อถือเหล่านั้น คงไม่มีสถาบันใดหรอกที่จะรณรงค์คุ้มครองลิขสิทธิ์ผู้อ่าน ให้ห่างไกลจากข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือนเหล่านั้น
หรือในยุคของเรา ข้อมูลหรือข้อเท็จจริง มีค่าเท่ากับข่าวลือ มีน้ำเสียงแบบกึ่งจริงกึ่งฝัน ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อไปเสียแล้ว
มาดูกันว่า จักรวาลผลัดใบเล่มนี้ ใช้ข้อมูลเพื่อนำเราไปสู่อะไร จะเป็นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณ หรือเพื่อ
“ประสานโลกใหม่ด้วยความเข้าใจ ก้าวสู่โลกใหม่ด้วยความเข้าถึง” อย่างที่ได้โปรยไว้บนปกหนังสือหรือไม่
เล่มนี้ประกอบด้วยบทความจากนักคิดนักเขียนหลายท่าน ดูที่รายการชื่อบทความที่เปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดเหล่านี้ก็ได้
กลับมาสู่คุณค่าแท้แห่งชีวิต
หน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์
ดุลยภาพแห่งการเรียนรู้
พ้นวิกฤตด้วยจิตวิวัฒน์
จิตวิวัฒน์กับการดับไฟใต้
ฯลฯ
ฉันขออนุญาตยกบางส่วนของบทความมาให้อ่านกันตรงนี้
จากบทความชื่อ หนึ่งนาทีก่อนเที่ยงคืน ของ พระไพศาล วิสาโล
ความรุนแรงทั้งมวลของมนุษย์นั้นเกิดขึ้นในช่วง 8,000 ปีที่ผ่านมานี้เอง
มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกไม่น้อยกว่า 2 ล้านปีมาแล้ว แต่มีเพียง 10,000 ปีสุดท้ายเท่านั้นที่พบหลักฐานการทำสงครามหรือการสู้รบกันเป็นกลุ่มและอย่างเป็นระบบ และเมื่อศึกษาให้ละเอียดจะพบว่า การสู้รบอย่างนองเลือดจนล้มตายกันเป็นเบือนั้นกระจุกตัวอยู่ในช่วง 2,000 ปีที่ผ่านมา
ข้อมูลเชิงสถิติที่ได้จากบางส่วนของบทความข้างต้น ได้กลายเป็นเส้นแบ่งเพื่อจำแนกความรุนแรงระหว่างมนุษย์ด้วยกันเป็นยุคสมัย ทั้งนี้ได้สัมพันธ์กับความเป็นเหตุเป็นผลระหว่าง พื้นที่กับปริมาณ คือ พื้นที่อันเป็นแหล่งทรัพยากร กับปริมาณมนุษย์ที่ต้องการทรัพยากร ทำให้คิดไปว่า บ่อเกิดของการฆ่ากันเองของมนุษย์ค่อย ๆ พัฒนาการจาก การฆ่าโดยสัญชาตญาณเพื่อป้องกันตัวจากภัยร้ายต่าง ๆ เพื่อความอยู่รอด รักษาเผ่าพันธุ์ของตน เช่นเดียวกับสัตว์โลกสายพันธุ์อื่น พัฒนามาเป็นการฆ่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ตนเองในอนาคต เพื่อลูกหลาน หรือจะกล่าวว่า ฆ่าเพื่อปัจจุบัน พัฒนามาเป็น ฆ่าเพื่ออนาคต อันนี้กล่าวอย่างหยาบ ๆ เท่านั้นนะ อย่าจริงจัง
หรืออีกบทความหนึ่ง ที่แม้แต่ฉันเองก็เคยนำไปกล่าวอ้างเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้บทความของตัวเองมาแล้วในบทความ “มหากาพย์ข้ามกาลเวลาของคนสมัครใจว่างงาน” ทั้งนี้เป็นเพียงการตั้งสมมุติฐานเท่านั้น หาใช่เป็นการประกาศสัจจะแต่อย่างใด
มิชิโอะ กากุ นักวิทยาศาสตร์ควอนตัมฟิสิกส์ได้พิสูจน์ว่าจักรวาลมีมากมาย (multiverse) จักรวาลถัดไปอยู่ห่างเพียง 1 มิลลิเมตรจากผิว (brane) แต่รับรู้ไม่ได้ เพราะมันอยู่เหนือมิติ(โลกสี่มิติ) ของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้มี 11 มิติ สภาวะนิพพาน (nirvana) ที่มีความถี่ละเอียดอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับโลกสี่มิติของเรา
แล้วผู้อ่านอย่างเราหรืออย่างฉันคนเดียวก็ได้ จะไปมีโอกาสรู้ได้อย่างไรว่า มิชิโอะ กากุ เป็นผู้พิสูจน์ได้ว่าจักรวาลมีหลายมิติ เราจะล่วงรู้ได้อย่างไรว่า ข้อพิสูจน์นั้นจะถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์
ที่ว่ามานี้ ไม่ใช่ฉันเป็นคนประเภทไม่ศรัทธาในชีวิต ไม่เชื่อมั่นในจิตวิญญาณของมนุษย์ หากแต่มันเป็นเพียงข้อสงสัยบางอย่างที่คอยรบกวนอยู่เรื่อยในเวลาที่อ่านบทความเชิงเทศนาทั้งหลาย ฉันอาจสงสัยในสิ่งที่ไม่ควรสงสัยก็เป็นได้ (แต่มันก็สงสัยอยู่ดี)
อย่างไรก็ตาม มีคนเคยบอกฉันด้วยท่าทีอย่างหวังดีว่า การจะอ่านหนังสืออะไรก็ตามแต่ ควรดูที่จุดมุ่งหมายของผู้เขียน หาใช่คอยจับผิดในเรื่องเล็กน้อย เพราะฉะนั้น เราควรมาดูกันจะดีกว่าไหมว่าจักรวาลผลัดใบ เล่มนี้ กลุ่มจิตวิวัฒน์ ได้พยายามสื่อถึงอะไร
ไม่ยากเลย ก็อย่างเขาได้โปรยไว้แล้ว “ประสานโลกใหม่ด้วยความเข้าใจ ก้าวสู่โลกใหม่ด้วยความเข้าถึง” นั่นแหละ
โดยได้กล่าวถึงวิถีทางอันจะนำพาเราไปสู่ชีวิตอย่างใหม่ พาเราวิวัฒน์ไปจากมนุษย์ที่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องจิตวิญญาณ พอมายุคหนึ่งก็ละทิ้งมัน แล้วหันไปบูชาศาสตร์ใหม่อย่างวิทยาศาสตร์ และมาถึงปัจจุบันก็หวนกลับมาสู่สภาพดั้งเดิมคือให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ ต่างแต่ไม่ใช่อย่างลุ่มหลงงมงาย หากแต่มีหลักการ มีหลักฐานและพิสูจน์ได้เช่นเดียวกับสมมุติฐานทางวิทยาศาสตร์ อย่างเช่นที่ในหนังสือได้สรุปไว้ว่า
น่าสนใจคือ จักรวาลวิทยาใหม่กลับมีความสอดคล้องกับจักรวาลวิทยาดึกดำบรรพ์กับตำนานปรัมปราที่อยู่คู่กันมากับความหมาย (Myth) ที่บรรพบุรุษเราเคยเชื่อมั่นและพยายามแสวงหามานับพันปีก่อนจะมีวิทยาศาสตร์
แล้ววิถีทางใดกันเล่าที่จะนำพาเราให้อยู่รอดปลอดภัยอย่างเข้าใจและเข้าถึงได้ ฉันขอฝากให้ไปหามาอ่านกันดีกว่า งานนี้ บางคนถึงกับบอกว่า เรื่องนี้มันผูกพันกับความเชื่อส่วนบุคคล (คล้ายกับโปรยหน้าจอทีวีตอนมีรายการเชิงเหนือจริงเลยทีเดียว) ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ความรับรู้เฉพาะตัว แต่เหนืออื่นใด จักรวาลผลัดใบ ก็ได้นำเสนอวิถีทางที่สงบร่มเย็น หาใช่วิถีแห่งการทำลายล้างกันเอง เนื่องจากได้ยึดเอาหลักพุทธธรรม ปัญญากับกรุณา เป็นที่ตั้ง และเป็นไปด้วยท่าทีอย่างเป็นมิตรมากกว่าเป็นปฏิปักษ์กับผู้อ่าน
และโปรดอย่าลืมไปล่ะว่า “ทุกความคิดเป็นเพียงสมมุติฐาน ไม่ใช่สัจจะ” (ประโยคนี้ได้มาจากหนังสือ)
และทุกวันนี้ ข้อเท็จจริง ข้อมูล บรรดามีทั้งหลาย ก็เป็นส่วนหนึ่งของความลึกลับไปเสียแล้ว สัจจะที่เราต่างแสวงหากันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ อาจมีหรือไม่มีอยู่ เราเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันก็มีเสน่ห์เสียยิ่งกว่าชีวิตจริงที่เราต่างย่ำวนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้เสียอีก หรือไม่ก็เราต่างโหยหาสัจจะเสียยิ่งกว่าจะเดินหน้าแสวงหาสัจจะเสียอีกก็เป็นได้ โอ้..สัจจะ ที่รัก.