Skip to main content


ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ

ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์

ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549

จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร


ต่อเนื่องอย่างไม่ต้องเกริ่นนำกับเมจิกคัลเรียลลิสม์ใน
นิทานประเทศของกนกพงศ์ สงสมพันธุ์

ใกล้ปีใหม่แล้ว ใจกระเจิดกระเจิงไปกับวันเวลา สูงวัยไปอีกปีแต่วุฒิภาวะเท่าเดิม รู้สึกแย่เหมือนกัน


จำได้ว่า คุณจรดล เคยแนะนำว่า ยุคสมัยล้ำดิจิตอลของเรานี้น่าจะมีกลิ่นอายแบบเมจิกคัลฯได้เหมือนกัน ซึ่งทำให้ฉันเอะใจ


ว่าไปแล้วยุคสมัยนี้ที่การสื่อสารพัฒนาอย่างรวดเร็ว เราสื่อสารกันว่องไวฉับ ๆ ราวกับส่งผ่านกระแสจิต จะต่างกันตรงที่ กระแสจิตไม่ต้องมีตัวกลางที่เป็นวัตถุเหมือนสื่ออินเทอร์เน็ต ทำให้ประหยัดไฟฟ้า อาจลามไปถึงช่วยลดภาวะโลกร้อนได้อีกต่างหาก แต่ยุคอีแบบนี้มันสามารถอธิบายให้แจ่มกระจ่างได้ด้วยวิทยาศาสตร์ แต่เมจิกคัลฯนั้น วิทยาศาสตร์ไม่อาจปอกเปลือกมันออกมาได้ทั้งหมด เสน่ห์ของมันอยู่ตรงนี้ อีกอย่าง เพราะมันยังไม่ถูกทำให้เชื่อได้อย่างสนิทใจ ยอมรับได้อย่างสนิทใจ เหมือนที่เราเชื่อแล้วว่าในอินเดียมีระบบวรรณะ และมีกฎเกณฑ์เคร่งครัดตายตัว


ขณะเดียวกันถ้าเมจิกคัลฯ สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ก็ไม่สามารถทำลายมนตร์ขลังของมันลงได้

เนื่องจากเมจิกคัลฯโดยตัวของมันเองยังดำรงอยู่ในสภาพของ “ปุ๋ยคอกในดิน” ที่กำลังย่อยสลายตัวเองเพื่อเอื้อให้ต้นไม้เติบโต ฉะนั้นถ้าจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า เมจิกคัลฯ เป็นปุ๋ยคอก เป็นดิน และ

ต้นไม้เป็นเรียลลิสม์ เมจิกคัลฯ ก็เป็นส่วนอุ้มชูหล่อเลี้ยงต้นไม้ ขณะที่ต้นไม้ก็เป็นตัวตนอันมีชีวิตเป็นที่ประจักษ์ และโดยที่ตัวเมจิกคัลฯ เอง ตัวเรียลลิสม์ เอง ต่างก็มีชีวิตของมัน และเมื่อรวมกันแล้วมันก่อให้เกิดชีวิต ซึ่งอาจจะไม่ใหม่ หรือใหม่ก็ได้ เพราะมันไม่ใช่สูตรผสมของการบวก แต่ชีวิตนั้นจะเป็นที่ประจักษ์


สำหรับนิทานประเทศเล่มนี้ ฉันขออนุญาตสรุปซ้ำอีกครั้งว่า มันไม่ได้มีหัวใจแบบเมจิกคัลฯ หากแต่ กนกพงศ์นำเอาหัวใจแบบเมจิกคัลฯ มาใช้เพื่อสำแดงแก่นคิดหรือเนื้อหาในงานวรรณกรรม โดยแก่นคิดนั้นจะเห็นได้ว่า กนกพงศ์พยายามจะชี้ให้เราได้ประจักษ์ถึงกลไกของความขัดแย้ง สภาวะของสงคราม

อันเกิดขึ้นจากสัญชาติญาณของชีวิต การเอาตัวรอด และมันจะนำมาซึ่งความสูญเสียเป็นโศกนาฏกรรม เราอาจพอนึกภาพออกว่า เมื่อชนเผ่าอะบอริจินส์ในออสเตรเลียจุดไฟเผาทุ่งหญ้าเพื่อดักล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เขาไม่ได้ตระหนักว่าในอนาคตทุ่งหญ้าในเปลวไฟผืนนี้จะกลายเป็นทะเลทรายร้อนระอุ เช่นเดียวกับสภาวะของสงครามที่กนกพงศ์อธิบายกับเรา เป็นสงครามที่เกิดจากสัญชาติญาณของชีวิต และการเอาตัวรอดของชีวิตในสองโลก ซึ่งเขาจำแนกโลกสองใบนั้นชัดเจน คือ โลกยุคเก่า และโลกยุคใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนผ่านโดยสายลมแห่งกาลเวลา โดยที่โลกสองใบนั้นต่างก็มีลักษณะจำเพาะ มีขีดจำกัด กฎเกณฑ์และจริยธรรมเป็นของตัวเอง และเป็นลักษณะที่ต่างกันสุดขั้ว มันจึงก่อให้เกิดความขัดแย้ง เป็นสงคราม และมีผู้แพ้ ผู้ชนะ


หากถามว่ากนกพงศ์ใช้เมจิกคัลฯเป็นเครื่องมือทางวรรณกรรมได้คุ้มค่าหรือไม่ คำตอบคือ ไม่รู้เหมือนกัน เพราะคำถามกว้างเกินไป แต่หากถามว่ากนกพงศ์ใช้เมจิกคัลฯเป็นเครื่องมือทางวรรณกรรมเพื่อนำพาเราไปสู่จุดมุ่งหมายใด นั่นอาจหาคำตอบได้ง่ายกว่า


ในวรรณกรรมไทยมีผลงานที่พยายามชี้ให้เราได้ซาบซึ้งในวิถีชีวิตของบรรพบุรุษอยู่มากมาย ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น และกวีนิพนธ์ เหล่านักเขียนได้พยายามโน้มน้าวเราอย่างเป็นจริงเป็นจัง บางครั้งก็ไม่ลืมหูลืมตาอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ได้มีลักษณะพิเศษที่อยู่นอกเหนือไปจากเจตนารมณ์ของนักเขียนที่กำลังโหยหาอดีตอันหอมหวานขณะที่ปัจจุบันพวกเขากำลังอกหัก พวกเขาทำราวกับว่าไม่เคยรับรู้ปัญหาของชนบทที่แท้จริง พวกเขายังหลงคิดไปอีกหรือว่า ชนบทหรือบ้านเกิดหรือเหย้าเรือนแห่งความทรงจำแห่งบรรพบุรุษเหล่านั้น กำลังแปรสภาพเป็นสถานรับซื้อของเก่า เป็นแหล่งรวมแฟชั่นหล่นสมัย แล้วคุณค่าในงานเขียนเหล่านั้นจะแทรกตัวเองไว้ตรงไหนในหน้าประวัติศาสตร์ เพราะพวกเขาได้ทำให้วิถีชีวิตของบรรพบุรุษเป็นเพียงภาพความทรงจำในความฝันเท่านั้นเอง ต่างจากกนกพงศ์ซึ่งพยายามเขียนให้วิถีชีวิตดั้งเดิมของบรรพบุรุษมีชีวิตชีวาขึ้นมา อย่างสลักสำคัญ และมีนโยบายชัดเจน


ยกตัวอย่างเรื่อง บ้านเมืองของเขา ในเล่มนี้


ก่อนจะเข้าสู่เนื้อเรื่อง ฉันขอยกตัวอย่างโศกนาฏกรรมเล็ก ๆ ที่เพื่อนครูคนหนึ่งเคยเล่าให้ฟังว่า

เมื่อเธอบอกให้นักเรียนประถมในโรงเรียนเอกชนของมหานครกรุงเทพฯ วาดผลไม้มาส่งครู นักเรียนน่าเอ็นดู สวมเสื้อขาวตัวสะอาดสะอ้าดทั้งหลายส่งผลงานของตัวเองด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม สีสันสดใสของผลไม้บรรดามีถูกแต้มแต่งไว้สะดุดตา แต่กว่าครึ่งหนึ่งเธอพบว่ามีแผ่นสีขาวรองผลไม้อยู่ด้วย เช่น สับปะรดเป็นชิ้นสามเหลี่ยมสีเหลืองสดบนถาดโฟม ทั้งที่เธอคาดหวังว่า สับปะรดจะมีผลกลม ๆ รี ๆ มีเส้นลายตารางลากขวางไปมา มีใบแหลม ๆ บนหัวของมัน โชคดีที่นักเรียนของเธอยังวาดกล้วยเป็นหวี เธอว่า


ปรากฎการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นจากสายลมแห่งความเปลี่ยนแปลงกระนั้นหรือ เช่นเดียวกับเรื่องสั้นของ

กนกพงศ์เรื่องนี้ ในหน้า 36 เขียนไว้ว่า บางทีภาพวัวสำหรับแก(ลูกชาย)อาจเป็นแค่ชิ้นเนื้อสเต็กในจานใบใหญ่ จู่ ๆ เขารู้สึกเศร้าขึ้นภายใน


กนกพงศ์จู่โจมเราด้วยความรู้สึกโหยหาอดีตที่ถูกโลกปัจจุบันคุกคามอย่างรุนแรง แต่เขาก็ไม่อาจปฏิเสธความทรงจำเปี่ยมพลังในอดีตได้ แม้กระทั่งเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เขาได้ยินเป็นเสียงเกราะซึ่งดังก้องไปทั้งหมู่บ้าน และนี่ความพยายามกดดันให้ตัวละคร “เขา” เกิดอาการจิตล่องลอยในสไตล์แบบเมจิกคัลฯ เล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ในภาพกว้างของเรื่อง กลิ่นไอของเรื่องเล่าบรรพบุรุษไม่ได้ “กระทำการ” ใด ๆ อย่างที่ เมจิกคัลฯ ควรทำ แม้นว่าเสียงโทรศัพท์ในปัจจุบันกับเสียงเกราะเคาะไม้ในอดีตจะก่อการเป็นระยะ ๆ ตลอดเรื่องก็ตาม บอกแล้วไงว่า กนกพงศ์ใช้เมจิกคัลฯเป็นเครื่องมือเท่านั้น หาได้ตั้งท่าจะกระโจนลงหลุมพรางของเมจิกคัลฯ ตามสมัยนิยม แม้นว่าเขาจะทำได้ก็ตาม


เพราะหัวใจของกนกพงศ์อยู่ที่ความขัดแย้งระหว่างโลกเก่ากับโลกใหม่

โดยที่เขาได้ชี้ให้เห็นความลึกลับซับซ้อนอันเป็นเสน่ห์ของโลกเก่า อย่างเห็นคุณค่าแท้จริง อย่างยกย่อง ขณะเดียวกัน โลกใหม่ของกนกพงศ์กลับกลายเป็นโลกที่จ้องจะคุกคามทำร้ายโลกเก่าอย่างไม่ยอมรามือ ในหน้า 39 ในความทรงจำของตัวละคร


ถูกแล้วที่เมื่อคิดถึงปู่ เขาย่อมคิดถึงวัว หาใช่เพราะวัวเป็นสัญลักษณ์ของปู่ หรือปู่เป็นเครื่องหมายแห่งวัว แต่เพราะวัวเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในหมู่บ้านเกิดของเขา วัวมีชีวิต เป็นชีวิต และทรงค่าเกินกว่าชีวิต กีบเท้าวัวย่ำไปทุกเนื้อดินของหมู่บ้าน ประทับรอยลงในวิถีชีวิต


ฉันรู้สึกว่า คำว่า ทรงค่า ออกจะล้นไปสำหรับการยกย่อง (อันนี้รู้สึกคนเดียวและหยุมหยิมเกินไป)


วิถีชีวิตของปู่หรือบรรพบุรุษนั้น เป็นวิถีชีวิตที่ยากแก่การเข้าใจได้โดยอาศัยมุมมองของโลกใหม่ แต่มันก็มีเสน่ห์น่าเหลือเชื่อ มีความมหัศจรรย์ แต่มันก็เป็นเพียงความทรงจำ ในหน้า 44-45 เขาเขียนไว้ว่า


ความมหัศจรรย์เช่นนั้นเคยมีอยู่จริง เป็นลมสายหนึ่งซึ่งเคยพัดผ่านเข้ามาในชีวิตเขา จริงสิ, เขาเคยเป็นเด็กมหัศจรรย์ที่เรียกลมได้ นั่นก็เหมือนกับคนอื่น ๆ ในท้องทุ่ง มือของพวกเขาหว่านเม็ดข้าวลงในดงขี้ไถ เมื่อฝนแรกของเดือนแปดมาเยือน แล้วเฆี่ยนวัวให้ไถกลบ ฝนโปรยสาย... เสียงตะโกนโหวกเหวกสื่อภาษาระหว่างคนกับวัวด้วยศัพท์เฉพาะลั่นระงม คล้อยหลังไม่นาน, ธัญพืชสีเขียวสดก็แทงยอดแหลมราวเข็มขึ้นทั่ว ..แต่ย่ากลับบอกว่ามันร่วงหล่นลงจากฟากฟ้ามากกว่า สวรรค์นั่นหรอกที่ประทานสิ่งนี้มาให้คนเรา


แต่ชีวิตเขาไม่ได้สืบทอดวิถีแห่งบรรพบุรุษในแบบนั้นอีกแล้ว แม้นปู่จะปฏิเสธและแดกดันเมื่อเขาจับดินสอเรียนหนังสือ แทนการจับเล็งปืนและคราดไถ


ที่นั่นเขาสอนอะไรเอ็งบ้าง?” ปู่ประทับปืนกับไหล่,ทดลองเล็ง

นับเลข”

ปู่ตวัดสายตากลับมา, จ้องเขาเขม็ง “นับเลข!.. มันจะช่วยชีวิตเอ็งหยั่งไรวะ?”


แล้วเขาก็ได้เรียนมหาวิทยาลัย ก้าวไปสู่โลกใหม่โดยต้องแลกเปลี่ยนกับความสูญเสียของโลกใบเก่าของบรรพบุรุษ ปู่ของเขาซึ่งเปรียบวัวเป็นชีวิตต้องขายวัวเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้เขา พ่อแม่ของเขาต้องขายข้าว


การขายวัวหมายถึงชีวิตอับจน แต่การขายข้าวนั้นยิ่งกว่า (หน้า53)

เงินนี่เป็นชีวิตปู่” ปู่ยัดเงินใส่มือเขา “เอ็งต้องเรียนเพื่อกลับมาดูแลหมู่บ้านเรา ดูแลพวกพ้องเรา”


หากเปรียบว่าปู่เป็นสัญลักษณ์ของโลกเก่า กนกพงศ์ได้เปรียบไว้ว่าเป็นราววัวป่า แม้จะถูกควักเอาอัณฑะของมันออกเพื่อตัดสายสัมพันธ์การเป็นวัวป่า แต่สัญชาติญาณแห่งป่านั้นเข้มแข็ง ดำรงอยู่ในสายเลือดรุ่นแล้วรุ่นเล่า วัวบ้านตัวใดที่ไม่ผ่านการตัดอัณฑะออกเป็นต้องดื้อด้าน วันทั้งวันเอาแต่ขวิดคันนาหรือจอมปลวกอย่างสัญชาตวัวชน เสียงร้องของมันเป็นเสียงแห่งความทระนง เสียงของการไม่ยอมจำนน หาใช่เสียงแห่งความเจ็บปวด กระนั้นยังมีตัวหนึ่งซึ่งดื้อด้าน ลากไถลิ่วหายเข้าขอบป่า คมผาลบาดน่องหลังเสียงเหวอะหวะ มันยังโจนเข้าใส่ด้วยสัญชาติญาณนักสู้ สุดท้ายปู่ยิงมันแล้วคุกเข่านิ่งเงียบเบื้องหน้ามัน ยันพานท้ายปืนลงราวแสดงความคารวะ


เมื่อปู่คือโลกใบเก่า ภรรยาของเขาก็เปรียบเป็นโลกใหม่ เพราะหล่อนชิงชังรังเกียจรากเหง้าของเขายิ่งนัก


หล่อนไม่อยากให้เขามีความเป็นมา ทว่าเขาจะตัดขาดมันลงได้อย่างไร? เขาจะตัดวิญญาณออกจากร่างได้อย่างไร?...


นั่นไง ความชิงชัง การไม่ยอมรับ ระหว่างโลกเก่าและโลกใหม่ และเมื่อมีฝ่ายแพ้ ผู้ชนะก็ย่อมได้ครอบครอง แล้วผู้แพ้จะคงไว้ซึ่งสัญชาติญาณแห่งโลกเก่าหรือสยบยอมแต่โดยดี ปู่ของเขาคนหนึ่งล่ะที่ปฏิเสธ


เมื่อเขาได้ทำงานในกระทรวงเป็นเจ้าคนนายคนแล้วกลับมาเยี่ยมบ้าน พร้อมจะสร้างบ้านใหม่ให้

ปู่ของเขากลับอยากได้มีดโกนคม ๆ สักเล่มหนึ่งเพื่อกรีดอัณฑะลูกวัว


เมื่อปู่เป็นผู้พ่ายที่ไม่ยอมแพ้ สัญชาติญาณของปู่จึงยังดำรงอยู่ ในงานแต่งงานของเขาและภรรยาที่กรุงเทพฯ ในโรงแรมหรูท่ามกลางสงครามการเมืองภายนอกโรงแรม ปู่ตะโกนไม่หยุดเหมือนอย่างที่แกเคยเป็นในงานแต่งงานในโลกเก่าที่ต้องมีการฆ่าวัวว่า ต้อนวัวเข้ามา ๆ ซึ่งทำให้ภรรยาของเขาหมิ่นหยาม แต่ชีวิตปู่ไม่เคยถูกแยกออกจากวัวแม้นในวาระสุดท้าย


วาระสุดท้ายของปู่จบลงด้วยสัญชาติญาณเช่นเดียวกัน ตลอดชีวิตของปู่คือ ปกป้องผู้หญิงและเด็ก ปกป้องคนเฒ่าคนแก่ ปกป้องหมู่บ้าน คืนนั้นปู่ตะโกนบอกว่ามีคนเข้ามาขโมยวัว ชี้ไม้เท้าหวายไปทั่ว ถ้าเป็นตอนหนุ่ม เสียงเคาะเกราะจะดังขึ้น พร้อมเพื่อนบ้านกับปืนในมือ เพื่อตามล่าเอาวัวคืน แต่เมื่อยามชราภาพ ปู่ทำได้เพียงชี้ไม้เท้า หน้า 71 เขียนไว้ว่า

เมื่อพบร่างปู่ฟุบหน้าอยู่ในคูข้างถนน ไกลจากบ้านร่วมกิโล ประตูรั้วเปิดอ้า ไม่มีใครรู้ว่าปู่เดินออกไปตอนไหน ... ไกลไปจากจุดซึ่งปู่ฟุบหน้าลง ที่ซึ่งถนนสายเอเชียพาดผ่านท้องทุ่ง วัวฝูงหนึ่งถูกต้อนขึ้นรถบรรทุกอยู่จริง ๆ เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าปู่รู้ได้อย่างไร? หรือมีสัญชาติญาณลี้ลับบางอย่างกระซิบบอก?


ขณะโลกใหม่ผู้ชนะทุกสิ่งที่โลกเก่าเป็นอยู่ ผู้คนที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของโลกเก่าทยอยพ่ายแพ้ไปแม้นได้พยายามสุดความสามารถ นี่เป็นโศกนาฏกรรมที่กนกพงศ์บอกกล่าวแก่เรา โดยอาศัยเมจิกคัลฯเป็นเครื่องมือนำพาเราไปสู่โลกเก่าอันแสนมหัศจรรย์ และมีเสน่ห์ เผื่อว่าเราจะซาบซึ้ง เข้าอกเข้าใจโลกเก่า โหยหาโลกเก่า และจะแสวงหาความประสานกลมกลืนระหว่างโลกสองใบ แทนที่สงครามซึ่งถือเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า


แต่เมจิกคัลฯที่กนกพงศ์หยิบฉวยมาใช้จะสัมฤทธิ์ผลมากน้อยแค่ไหน คงคาดการณ์ไม่ถูก สำหรับฉันมีแต่ความรู้สึกเสียดายที่เขาด่วนจากโลกไปเสียก่อน อย่างน้อยก็เชื่อว่ากนกพงศ์ได้ท้าทายตัวเองอยู่เสมอในงานเขียนที่อยู่ความคิดฝันของเขา


หนังสือแต่ละเล่มแม้จะบอกเล่าเรื่องราวของมันในขณะที่เราอ่าน แต่มันก็ยังคิดฝันถึงอนาคตอยู่เสมอ มันฝากความคาดหวังให้เราเสมอ บางครั้งอ่านเล่มนี้แล้วไม่ค่อยชอบ มันก็อยากอ่านเล่มใหม่ บางครั้งอ่านแล้วชอบ ก็อยากอ่านเล่มที่ชอบมากกว่า ฉันเชื่อว่าเราอาจรู้สึกเช่นเดียวกันบ้าง ไม่มากก็น้อย และหากใครมีหนังสือที่อยากแนะนำให้อ่านก็บอกกล่าวมาได้เลย บางครั้งฉันก็เลือกไม่ค่อยถูก มีคนช่วยชี้แนะบ้างตาก็สว่างขึ้น ขอบคุณล่วงหน้า.

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…