Skip to main content
 

นายยืนยง



ชื่อหนังสือ
          :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ
ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)
ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ. 2547
จัดพิมพ์โดย        :           สำนักพิมพ์ วสี ครีเอชั่น

เป็นความบังเอิญทีเดียวที่ทำให้ฉันสนใจหนังสือเล่มหนึ่ง ค่อนข้างหนาขนาดที่นอนอ่านจะทุลักทุเลน่าดูชม ยิ่งถ้าเผลอหลับอาจต้องศัลยกรรมดั้งจมูกโดยด่วน หนังสือนั้นจะว่าเป็นนิยายก็ใช่ เพราะผู้แต่งเขียนอย่างมีลีลาวรรณศิลป์ สำนวนภาษาเข้าขั้นปรมาจารย์ก็ว่าได้ หากจะว่าเป็นสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ก็ไม่ผิดอีก เนื่องจากตัวละครและเหตุการณ์เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง มีตัวตนอยู่จริงในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นคณาธิปไตย เอ้ย ประทานโทษ ประชาธิปไตย ต่างหาก

อีกกระทงหนึ่ง หนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นอัตชีวประวัติของผู้แต่งด้วย

พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ คือหนังสือเล่มดังกล่าว โดย อ.ก. รุ่งแสง (โพยม โรจนวิภาต) เป็นผู้แต่ง กล่าวถึงอ.ก.รุ่งแสง แม้เคยได้ยินผ่านหู แต่ไม่ค่อยคุ้น เพิ่งมารู้จากหนังสือเล่มนี้เอง เขาเป็นนักเขียนคนสำคัญ 1 ใน 10 ของคณะสุภาพบุรุษ ร่วมสมัยกับศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์) และ พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ เล่มนี้เคยเผยแพร่มาครั้งหนึ่งแล้วในนิตยสาร ฟ้าเมืองไทย

การอ่านหนังสือเล่มนี้จะไม่มีมรรคผลงอกงามเลย นอกเสียจากได้อ่านชีวประวัติสายลับคนสำคัญของรัชกาลที่ 7 ที่ฝ่าฟันอุปสรรคฉกาจฉกรรจ์ในช่วงบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงขนานหนัก แต่ฉันกลับพบว่าจะไม่เป็นธรรมเลย หากอ่านประวัติศาสตร์จากฝ่ายกษัตริย์นิยม หรือรอยัลลิสต์ ฝ่ายเดียว และเพื่อขยายอาณาเขตความคิดอ่านของเรา จึงต้องแสวงหาหนังสือประวัติศาสตร์จากผู้แต่งท่านอื่น นำมาสังสรรค์กันให้ชุลมุนไปหมด จะว่าสนุกก็ใช่ แต่ออกจากปวดตามาก ทำให้พึ่งยาเสพติดประเภทแก้ปวดกล้ามเนื้อ

จำได้ว่าเคยอ่านจากหนังสือที่จัดพิมพ์โดยมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ ที่วิเคราะห์ถึงกรณีรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชย์สมบัติ ซึ่งคณะผู้แต่งได้จำแนกกลุ่มแนวคิดไว้เป็น 3 กลุ่มคร่าว ๆ ได้แก่ กลุ่มกษัตริย์นิยม กลุ่มสนับสนุนคณะราษฎร (คำว่า คณะราษฎร นี้ อ.ก.รุ่งแสง ใช้ คณะราษฎร์ มีตัวการันต์กำกับที่รอเรือ แต่ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ใช้ คณะราษฎร ไม่มีการันต์ ท่านให้เหตุผลว่า มาจากราษฎร นั่นเอง) และสุดท้าย กลุ่มเป็นกลาง ๆ แต่ไม่รู้ไปทำอีท่าไหนจึงหาหนังสือเล่มดังกล่าวนี้ไม่พบเป็นครั้งที่สอง น่าเสียดายจริง ๆ

ด้วยเหตุผลของความเป็นธรรม ฉันจึงต้องอ่านหนังสือของแต่ละกลุ่มมาประกอบด้วย นอกเหนือจากความเป็นธรรมแล้ว ฉันคิดว่าอย่างน้อย การอ่านหนังสือหลายเล่มในหัวข้อเดียวกัน ทำให้เราชั่งตวงวัดปริมาตรความคิด อารมณ์ได้แม่นยำกว่าจะเลือกอ่านเล่มใดเล่มหนึ่ง

เข้าเรื่องสายลับ พ.๒๗ ดีกว่า

พ.๒๗ สายสับพระปกเกล้าฯ  โดย อ.ก.รุ่งแสง (โพยม โรจนวิภาต) มี สัมพันธ์ ก้องสมุทรเป็นบรรณาธิการ
จัดพิมพ์ครั้งที่ 2 โดยสำนักพิมพ์ วสี ครีเอชั่น รวม 1 เล่มจบ พ.ศ. 2547
นายโพยม โรจนวิภาต ผู้แต่งเป็นข้าราชการสำนักในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก (พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7) เป็นบันทึกชีวประวัติของข้าราชการสำนักของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปฏิบัติราชการลับในฐานะสายลับ รหัส พ.๒๗ เป็นรหัสประจำตัว

มีจุดมุ่งหมาย คือ ทำหน้าที่พิเศษสอดส่องเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวปฏิกิริยาของราชวงศ์สมัย ร.7 ในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของไทย พ.ศ. 2475 - 2476 (ยุคประชาธิปไตยอลวน ผ่านไปสู่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ลุกลามมาเป็นสงครามเอเชียบูรพา พ.๒๗ ปฏิบัติหน้าที่สำคัญในแผนกสงครามจิตวิทยาของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยผู้แต่งแบ่งเป็นภาคที่ 1- 4 มีชื่อตอนกำกับเสร็จ

อ.ก.รุ่งแสง ได้เปิดทัศนะเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ตั้งแต่ต้น เข้าทำนองประกาศเจตนารมณ์เลยทีเดียว เขาเขียนเกริ่นนำในตอนแรกว่า

เจ้าฟ้าชายประชาธิปศักดิเดชน์ กรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา หรือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 กษัตริย์ซึ่งถูกยึดอำนาจโดยการนำของ พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เพื่อดำเนินการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่พระยาพหลฯ และพวกปกครองโดยวิธีคณาธิปไตย การกบฏซึ่งนำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชจึงอุบัติขึ้น ทำให้พระองค์ทรงอยู่ในฐานะที่ลำบากมากในระหว่างพวกกบฏซึ่งมีราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ไปเกี่ยวข้องด้วยกับรัฐบาลคณะปฏิวัติ โดยฝ่ายรัฐคณะปฏิวัติเข้าใจว่าพระองค์อาจมีส่วนสนับสนุนฝ่ายกบฏด้วย

ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังสือเล่มนี้เขียนโดยกลุ่มนิยมกษัตริย์ ซึ่งนี่ไม่ใช้ข้อกล่าวหาแต่อย่างใด  

โปรดทำความเข้าใจด้วย เพราะในที่นี้หรือที่ไหน หรือเหตุการณ์นี้หรือเหตุการณ์ไหน เราคงตัดสินแน่วแน่ลงไปโดยไร้ข้อโต้แย้งว่า ใครเป็นผู้ร้าย ใครเป็นพระเอก หรือใครจะเดินทางสายกลาง (เหยียบเรือสองแคม) ทั้งนี้ไม่ใช่เหตุผลด้านมุมมองหรือเป็นเรื่องอัตวิสัยเท่านั้น และหากจะว่ากันตามข้อเท็จจริง

ตามหลักฐานปฐมเหตุโดยไม่สืบสาวราวเรื่อง ความจริงอันเป็นที่ประจักษ์ย่อมไม่ใช่ความจริงในขั้นสัจจะที่ไร้ข้อโต้แย้ง (สัมบูรณ์)  แต่อาจเป็นความจริงในเชิงตรรกะเท่านั้น ยังมีหลายส่วนที่อ.ก.รุ่งแสง เขียนในทำนองเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ประโคมข่าว เช่น "ส่งปืนกลและทหารรักษาวังเพิ่มไปวังไกลกังวล" ให้ประชาชนเข้าใจว่ากษัตริย์สะสมอาวุธไว้เพื่อยึดอำนาจคืนจากคณะราษฎร์ ยังมีการปรุงแต่งข่าว "ตกบันไดพลอยโจน" มั่งล่ะ หรือในหน้า 195

มีความพยายามกลั่นแกล้งกษัตริย์ โดยให้กรรมกรคนหนึ่งชื่อ นายถวัติ ฤทธิเดช ฟ้องพระปกเกล้าฯ เป็นจำเลยในศาล เรื่องนายคนนี้เช่าห้องแถวของกรมพระคลังข้างที่พักอาศัย แล้วไม่ชำระค่าเช่า ครั้นถูกทวงถามตามระเบียบของเจ้าหนี้ กรรมกรคนนี้ก็ยื่นฟ้องว่าพระมหากษัตริย์ว่าหมิ่นประมาท ฯลฯ เป็นที่ทราบกันว่า พวก "สลาตินนิยม" สนับสนุนการบังอาจครั้งนี้ด้วยการจัดหาทนายโดยตลอด

ในวิถีโลดโผนของสายลับ พ.๒๔ นี้ ได้เล่าย้อนเป็นเกร็ดประวัติศาสตร์ถึงรัชกาลที่ 4 ที่พระองค์มีพระราชดำริเกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยแบบอารยะประเทศหลายประการ ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พระองค์ทรงเริ่มออกพระราชกำหนดกฎหมาย เรียกว่า ประกาศรัชกาลที่ 4 และทรงร่างเอง มีฉบับหนึ่งเกี่ยวกับเสรีภาพทางศาสนา เป็นตัวอย่างวิธีการแบบประชาธิปไตย มาถึงรัชกาลที่ 5 เช่นนี้แล้วทัศนคติของฝ่ายตรงข้ามที่คิดว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ปรารถนาประชาธิปไตยนั้น จะเป็นฟังขึ้นหรือไม่

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ขออนุญาตยกมากล่าวถึง คือกบฏบวรเดช หรือในนามกบฏเก้าทัพ ที่เกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติของคณะราษฎร์ ปี 2475 ฉันขอยกส่วนหนึ่งของบทความที่ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ (เดือนกุมภาพันธ์ 2552) ของ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ มาแสดง เพื่อลำดับเหตุการณ์ก่อนหลัง

2475 ปฏิวัติโดยคณะราษฎร อันประกอบด้วย อำมาตยาเสนา ข้าราชการ พลเรือนและนักกฎหมาย ยึดอำนาจจาก "พระราชา" (ร.7)

2476 รัฐประหารซ้ำ 20 มิ.ย. รัฐประหารซ้ำ เมื่อ 20 มิถุนายน โดยคณะราษฎร์ทำการล้มรัฐบาลที่มีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกมองว่าเป็น "ตัวแทน" (ที่ควบคุมไม่ได้) ของ "คณะเจ้า"

และปีเดียวกันนี้ มีรัฐประหารซ้อน หรือกบฏบวรเดช (พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตผู้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม) ที่นำโดยอดีตเสนาบดี กลาโหมของ "พระราชา" (ร.7)

2477-2478 รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชย์สมบัติ รัฐบาลของคณะราษฎรขาดเสถียรภาพอย่างยิ่ง รัฐบาลสนับสนุนและดันกระแส "ลัทธิอำมาตยาเสนาชาตินิยม" อันมีแกนกลางอยู่ที่เชื้อชาติไทย แทนราชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง ยกย่อง "เอกลักษณ์" ของชนชาติไทย กดทับพหุลักษณ์และความหลากหลายของเชื้อ ชนชาติอื่น ๆ อันหลากหลายที่มาแต่ดั้งเดิม

2482 สงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้นในยุโรป นายกฯหลวงพิบูลสงครามเปลี่ยนนามประเทศจากสยาม เป็นไทย (Siam เป็น Thailand) และเรียกร้องให้มีการปรับพรมแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชาของฝรั่งเศส ที่ทำกันไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5

อ.ก.รุ่งแสง เขียนเกี่ยวกับการก่อกบฏบวรเดชไว้อย่างละเอียดลออ เพราะเขาเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์ในฐานะสายลับ แถมมีพี่ชายที่คลานตามกันมาเป็นหนึ่งในกระบวนการด้วย

หน้า 154 จากการค้นคว้าและสอบหลักฐานแล้ว ปรากฎว่าพระวงวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดชเป็นคนต้นคิดแผนการยึดอำนาจครั้งนั้น จริงหรือไม่ว่าเพราะความผิดพ้องหมองพระทัยกัน   ระหว่างสมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ กับพระองค์เจ้าบวรเดช พระองค์เจ้าบวรเดชจึงคิดแผนการที่จะยึดอำนาจการปกครองโดย "จงใจ" ที่จะปลดอำนาจสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ เป็นการแก้แค้น? จริงเฉพาะ เรื่องหมองหมางกัน ซึ่งเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เพราะถ้าพระองค์เจ้าบวรฯ จะทรงคิดปฏิวัติเช่นนั้น ก็ต้องทำด้วยเหตุผลอย่างอื่น

ขณะที่หนังสือเล่มอื่นได้เขียนในทำนองว่า การคิดกบฏต่อรัฐบาลของพระองค์เจ้าบวรฯ จะว่าทำไปเพราะทนไม่ได้ที่กษัตริย์ถูกริบรอนอำนาจ ก็คงไม่ถูกต้องทั้งหมด บางเล่มว่ายังคลุมเครือ บางเล่มมีการเขียนว่าก่อนเกิดเหตุการณ์พระองค์เจ้าบวรฯ ไปเฝ้าในหลวงรัชกาลที่ 7 ถึงวังไกลกังวล หัวหิน และได้เงินมาสองแสนบาทเพื่อการนี้อีกด้วย ขณะที่อ.ก.รุ่งแสง เขียนว่าขณะที่เขาเป็นสายลับได้สืบสาวถึงขั้นทราบละเอียดในแผนการเชิงยุทธวิธีของคณะกบฏ มีใครเป็นผู้ร่วมงานกี่คน ๆ แล้วยังส่งข่าวถึงพระองค์ก่อนเหตุการณ์จะเกิดอีกด้วย

ในฐานะผู้อ่าน (อย่างฉัน) มีแต่จะงงงวยมากขึ้น ไม่รู้จะฟังใคร หากถือคติไม่รู้มากก็ไม่ทุกข์ก็ดีไป เพราะนอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว หนังสือเล่มนี้ยังมีเกร็ดที่น่าอ่านอีกเพียบ เช่นในหน้า 80

กล่าวถึง หอวัง' ผลิตแพทย์ วิศวกรและนักปกครองมาหลายสมัย จนภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ปี 2475 วังเจ้านายถูกถือว่าไม่มีความหมายใด ๆ หอวังจึงถูกทำลายอย่างราบเรียบไม่เหลืออิฐสักก้อน ต้นไม้สักต้น เพื่อสร้างเป็นสนามกีฬาแห่งชาติ ชื่อสนามศุภชลาศัย ตามราชทินนาม หลวงศุภชลาศัย ผู้ดำริสร้าง หอวัง'  แต่เดิมคือวังของสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ พระเชษฐาของทูลกระหม่อม เมื่อท่านเจ้าของวังทิวงคตแล้ว วังนี้จึงทำหน้าที่เป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่งของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หอวังเป็นสถาปัตยกรรมคล้ายพระราชวังวินเซอร์ แต่ย่อขนาดลงเป็น 1 ใน 7 ส่วน

ส่วนที่จะยกมาอีกนี้ เป็นการแสดงถึงสำนวนโวหารอย่างนักประพันธ์ของ อ.ก.รุ่งแสง ซึ่งต่อให้ไม่มีใครรับประกันฝีไม้ลายมือ เขาก็เขียนได้น่าอ่าน

หน้า 149 ภายหลัง 24 มิถุนายน 2475 เมื่อมีการปฏิวัติก็ต้องมีปฏิกิริยาติดตามมาเหมือนเงาตามตัว ฝ่ายที่ได้ครองอำนาจก็พยายามรักษาอำนาจที่ถือว่าได้มาโดยเสี่ยงอันตรายนั้นอย่างเต็มที่ ความหวาดระแวงว่าจะถูกแย่งอำนาจกลับคืนไป ถึงกลายเป็นโรคประจำตัวอยู่ตลอดกาล นั่นคือปฏิกิริยาของฝ่ายก่อการปฏิวัติ เพื่อความปลอดภัยจึงกำเนิดอำนาจตำรวจแบบ Police State รัฐที่ปกครองด้วยอำนาจตำรวจ ผู้วิจารณ์อาจถูกจับไปคุมขังได้ง่าย ๆ จนเกิดศัพท์ใหม่ว่า โอษฐภัย ผู้ที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ พวกกษัตริย์นิยม (รอยัลลิสต์)

นอกจากนี้อ.ก.รุ่งแสงยังได้แสดงให้เห็นถึงเล่ห์เหลี่ยมทางการเมืองสมัยต้นของระบอบประชาธิปไตยเอาไว้หลายร้อยเล่มเกวียน อย่างที่เราคุ้นกันแค่ ไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ก็ใช่ หรือที่เขียนว่า "เสร็จศึกบวรเดชแล้วจึงมีคติเตือนใจกันไว้ว่า ใครที่คิดปฏิวัติจงอย่าได้คบกับตำรวจเป็นอันขาด"

อย่างว่านั่นแหละ หนังสือเล่มใหญ่ต้องใช้เวลาอ่าน แต่อ่านแล้วจะพบเจอกับอะไรนั้น จะให้บรรณาธิการรับประกันก็ไม่ถูกเรื่อง เอาเป็นว่าอ่านเอาเพลิดเพลินจำเริญใจเป็นขั้นหนึ่งล่ะ ส่วนใครจะได้มรรคผลวิเศษกว่าใครนั้น สุดแท้แต่อัตวิสัยของใครของมัน และ ฉัน ผู้อ่านที่ติดกับดับความอลเวงอลวนของประวัติศาสตร์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ (ดังคำทำนายของโหราศาสตร์เมื่อสมัยต้นราชวงศ์จักรีที่ว่า ราชวงศ์นี้จะมีอายุไม่เกิน 150 ปี ซึ่งตกอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 7 พอดี) ก็ต้องหามาอ่านอีกหลายเล่ม โดยเฉพาะที่ถูกกล่าวขานอย่างเลอเลิศในแวดวงนักอ่าน เช่นผลงานของสุพจน์ ด่านตระกูล ในเล่ม นายปรีดี พนมยงค์ กับในหลวงอานันท์ฯ และกรณีสวรรคต หรือพลิกแผ่นดิน ประวัติการเมืองไทย ของ ประจวบ อัมพะเศวต เล่มที่ให้รายละเอียดยิบ ๆ มีกระทั่งใครผ้าขะม้าหลุดโน่นเลย ใครนินทาใครก็ปรากฏอยู่ด้วย เรียกว่าอ่านมันอ่านเพลินอีกเล่ม หรือผลงานของชาญวิทย์ เกษตรศิริ ที่เขียนปกในไว้ว่า

แด่ นายปรีดี พนมยงค์ และคณะราษฎร ผู้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญ และระบบประชาธิปไตย

อย่างไรเสีย โปรดติดตามอ่านอีกหนึ่งตอนนะ.

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…