Skip to main content
นายยืนยง



ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth
ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler
ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552

\\/--break--\>

สารภาพว่า ฉันเคยเกลียดทุนนิยมเข้าไส้ เคยปฏิเสธทุกอย่างที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม อย่างเมื่อก่อนที่ใคร  ๆ บางคนพากันปฏิเสธโทรศัพท์มือถือ ต่อต้านระบบอินเตอร์เน็ต  ต่อต้านการเล่นหุ้นเพื่อเกร็งกำไร และอีกสารพัด โดยอธิบายเหตุผลของความเกลียดว่า  มันเป็นรูปแบบของระบบทุนนิยมที่จะทำลายความเป็นมนุษย์ของเรา ใครเคยเป็นอย่างฉัน หรือเอาแค่คล้าย ๆ คงพอรู้ว่า ความเกลียดไม่ได้ช่วยอะไรเลย และการทำเป็นไม่รับรู้ในการมีอยู่ของระบบทุนนิยม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเช่นเดียวกัน 

แท้จริงแล้วระบบทุนนิยมเป็นเช่นไรหนอ ฉันขอยกบางส่วนของคำจำกัดความ จากหนังสือ รายงานลูกาโน การอนุรักษ์ระบบทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 เขียนโดยซูซาน ยอร์จ คุณภัควดี วีระภาสพงษ์ เป็นผู้แปล ภายใต้การจัดพิมพ์ของโครงการจัดพิมพ์คบไฟ (พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2545) มาให้อ่านกันตรงนี้ 

ระบบทุนนิยม (ในที่นี้ขอใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมัน) ไม่ใช่สภาวะตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นผลผลิตของการสั่งสมทางภูมิปัญญาของมนุษย์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางสังคมและกล่าวได้ว่า น่าจะเป็นการประดิษฐ์คิดค้นของคนหมู่มากที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์

รายงานลูกาโน  เล่มนี้ ก็นับเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากที่สุดอีกเล่มหนึ่ง  ในฐานะที่เรายังดั้นด้นอยู่ในระบบทุนนิยมทั้งที่สามานย์และไม่อยากสามานย์ 

ฉะนั้นฉันควรหันมามองมันอย่างเต็มตาสักที ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันตามมารยาททั้งที่เคยเสียมารยาทกับมันมาก่อน และแล้วหนังสือแนวเศรษฐศาสตร์เล่มหนาปึ้กที่เพิ่งอ่านจบไป  ก็ได้นำพาความคิดของคนหัวอนุรักษ์นิยมต่อต้านทุนนิยมอย่างฉันรู้ว่า โดยระบบทุนนิยมนั้นไม่ได้น่ารังเกียจเลย หากเรารู้จักใช้มันอย่างสร้างสรรค์ และรู้เท่าทัน ที่สำคัญมันจะนำพาเราไปสู่ทุนนิยมในฝันได้ (คุณฝันไว้ว่าอย่างไรล่ะ

หนังสือเล่มนั้นคือ ความมั่งคั่งปฏิวัติ 

ดูจากชื่อหนังสือแล้ว  มี 2 คำที่ขัดแย้งกันทางความรู้สึก คือ คำว่า ความมั่งคั่ง และ ปฏิวัติ แต่มาดูอีกที มันเข้าขั้นเป็นหนทางแห่งความฝันร่วมกันของมนุษยชาติเลยทีเดียว แน่นอนว่าถ้าความมั่งคั่งเป็นผู้ปฏิวัติ ความยากจนข้นแค้นย่อมปลาสนาการไปได้กระมัง ไม่แน่ว่าโศกนาฏกรรมแห่งความยากจนจะกลายเป็นเพียงตำนานที่ใช้เล่าขานในยามที่เราหวนนึกถึงอดีตก็เป็นได้

แต่...เพียง 2 คำนี้เท่านั้นหรือ ที่จะเป็นดั่งพระเจ้าองค์ใหม่อันเป็นสากล 

ก่อนอื่น  เราจะปล่อยสัมพันธภาพระหว่างถ้อยคำ 2 คำนี้ไว้เฉย ๆ ไม่นำมาตีความร่วมกัน หากแต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของความหมายที่แท้จริง ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายไว้อย่างกว้าง ๆ แต่รัดกุม ดังนี้ 

ความมั่งคั่งมีชื่อเสียงทางฉาวโฉ่ตลอดมา  บริโภคนิยมเป็นคำสาป นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้คนอยู่อย่างเรียบง่าย แต่นั่นเป็นชื่อเสียงในด้านลบ  

ทอฟเลอร์  ผู้เขียนอธิบายว่า อย่างไรก็ตาม เราควรตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่า จำเลยคือความมั่งคั่งนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นกลาง 

กาเบรียล  เซค นักเขียนเม็กซิกัน  เคยกล่าวว่า เหนือสิ่งอื่นใด  ความมั่งคั่งคือการสะสมความเป็นไปได้ 

เราอาจนิยามความมั่งคั่งว่าหมายถึง สมบัติอะไรก็ตาม ไม่ว่าเราแบ่งให้คนอื่นใช้หรือไม่แบ่ง, มีสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “อรรถประโยชน์” มันส่งมอบความอยู่ดีมีสุขหรือไม่เราก็สามารถแลกมันกับความมั่งคั่งในรูปแบบอื่น... 

พูดง่าย ๆ ระบบความมั่งคั่งในที่นี้หมายถึง  สิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากเงินที่มนุษย์ให้คุณค่าไว้แล้วนั่นเอง
ขณะที่คำว่าปฏิวัติ ทอฟเลอร์เขียนไว้ว่า
 

การปฏิวัติ  คือ การเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ 
และการปฏิวัติมี 2 หน้าเสมอ วันนี้ก็เหมือนกัน หน้าหนึ่งคือหน้าโกรธแห่งความล่มสลายของเก่า ๆ ฉีกแยกออกจากกันและพังทลายลงมา หน้าที่สองคือหน้ายิ้มแห่งการผสานใหม่ เมื่อทั้งของเก่าและของใหม่เสียบปลั๊กเข้าด้วยกันด้วยวิธีใหม่ ๆ  
วันนี้  ความมั่งคั่งไม่เพียงปฏิวัติไปแล้ว  แต่กำลังจะถูกปฏิวัติไปมากขึ้นเรื่อย  ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ด้วยมันเป็นเรื่องของการปฏิวัติของจิตใจ 

เชื่อไหมว่าหนังสือเล่มนี้ สองสามีภรรยาผู้แต่งใช้เวลาเขียนและรวบรวมข้อมูลนานถึง 12 ปี แน่นอนว่าข้อมูลหรือแนวคิดบางอย่างอาจล้าหลังไปบ้าง แต่หัวใจของหนังสือเล่มนี้ยังคงถ่ายทอดแนวคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่หยุดนิ่ง 

แท้จริงแล้วการปฏิวัติครั้งนี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์สามารถผลิตส่วนเกินทางเศรษฐกิจได้เป็นครั้งแรก ส่วนเกินเหล่านี้ถูกนำมาเสียภาษี สร้างวัดโบสถ์ สร้างวังและสร้างศิลปิน นี่นับเป็นคลื่นลูกแรกของความมั่งคั่ง  ที่เกิดขึ้นยุคเกษตรกรรม ทอฟเลอร์ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปในเรื่องของปัจจัยความมั่งคั่ง อันได้แก่ เวลา สถานที่ และความรู้ 

ขณะที่เราเริ่มสับสนในธรรมชาติของเวลา ที่นักฟิสิกส์ได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ๆ เกี่ยวกับกำเนิดของเอกภพ ซึ่งสั่นคลอนแนวคิดของเวลาที่เราเคยเชื่อ น่าสังเกตว่ากระบวนการของความรู้เริ่มมีอายุขัย คือเมื่อวันหนึ่งมันเคยเป็นความจริง แต่ในอีกวันหนึ่งมันกลับยอกย้อนอยู่ในตัวเอง ชวนให้ฉงนฉงาย เช่นเดียวกับข้อเท็จจริงที่มีอายุสั้นลงทุกขณะเมื่อเทคโนโลยีหรือการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารถือกำเนิดขึ้น 

ความน่าสนใจของการปฏิวัติอยู่ตรงไหน หลายคนให้ข้อสังเกตว่า การปฏิวัติจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของปัจเจกบุคคลและสังคมในขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างคนในคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่ ที่ต่างก็อาศัยปัจจัยเดียวกันในการสร้างความมั่งคั่งในยุคสมัยของตัวเอง ยกตัวอย่าง คลื่นลูกที่สอง ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ได้ใช้เวลา สถานที่ และความรู้ เช่นเดียวกันคลื่นลูกที่สาม  

ระหว่างคลื่นลูกที่หนึ่งซึ่งใช้แรงงานคนเป็นหลักในการผลิต เมื่อเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นเครื่องจักรในการผลิต สภาพความคิดจิตใจของคนซึ่งถูกเครื่องจักรมาทดแทนนั้นเป็นเช่นไร วิถีชีวิตซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นไร จึงเกิดความคิดที่จะพัฒนาศักยภาพของคนให้เป็นได้มากกว่าเครื่องจักร เพื่อนำพาตัวเองไปข้างหน้า สู่คลื่นลูกที่สาม อันเป็นการนำปัจจัยเรื่องเวลา สถานที่และความรู้มาสร้างระบบความมั่งคั่งขึ้นใหม่ ในนามของเทคโนโลยี 

ทุกวันนี้ เราจากที่เคยอยู่ในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่ง  แต่การปฏิวัติความมั่งคั่งได้ขยายขอบเขตแห่งความเป็นไปได้ส่งมอบมาสู่เราด้วยอิทธิพลของการโฆษณาแบบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องบัตร ATM ที่เมื่อก่อนมันได้มาขยายขอบเขตธุรกรรมการเงินให้เกิดขึ้นได้แม้ในช่วงเวลาที่ธนาคารปิดทำการ เราได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่ต้องยืนรอพนักงานธนาคารทำหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินเหมือนในอดีต โดยที่เราต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี เพื่อทำหน้าที่เสมือนลูกจ้างของธนาคาร (เทเลอร์) มีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินเอง ความผิดพลาดอันเกิดขึ้นแก่เราก็ย่อมตกเป็นภาระของเราด้วย หรืออย่างในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ให้เราเลือกหยิบสินค้าได้เองตามสะดวก สามารถเช็คราคาขายสินค้าได้เองอย่างที่เราคุ้นเคยกับมันไปแล้ว  

ในสองกรณีที่ยกตัวอย่างนี้ ถือเป็นการย้ายงานไปยังผู้บริโภค โดยให้ลูกค้าเกิดมายาคติว่ากำลังประหยัดอยู่ ขณะที่บริษัทก็สามารถลดต้นทุนค่าจ้างแรงงานไปได้ เราเรียกกระบวนการนี้ว่าแปลงผู้บริโภคให้เป็นผู้ผลิต-บริโภคได้ด้วย หรือแม้แต่กรณีที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าประเภททุน เช่น เครื่องมือช่าง เครื่องมือตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องคอมพิวเตอร์ พริ้นเตอร์ กล้อง VDO ซึ่งอำนวยความสะดวกให้เราอย่างที่เรียกว่า ทำเองได้ง่าย สะดวก ประหยัด ซึ่งทางการตลาดเรียกว่าตลาดพึ่งพาตัวเอง  

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการยกตัวอย่าง ที่ทำให้เราได้รู้แจ้งชัดถึงกลไกของการตลาด ที่ผู้ผลิต-บริโภคอย่างเราอาจยังไม่ทันรู้สึก เพราะแม้แต่พนักงานกินเงินเดือนก็สมควรที่จะออกมาเรียกร้องขอรับค่าจ้างในอัตรานาทีต่อนาที จากที่เคยรับค่าจ้างรายเดือนหลังจากทำงานมาหนึ่งเดือนเต็ม (ทำงานก่อนรับเงินทีหลัง) ซึ่งหากเรามีเทคโนโลยีอย่างที่เราใช้ทุกวันนี้ การคำนวณอัตราค่าจ้างเป็นนาทีหรือวินาทีย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร หากไม่เช่นนั้น เราต้องถือได้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของนายจ้าง โดยที่นายจ้างได้กู้ยืมเงินเดือนของเราแบบไร้ดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนในช่วงที่เราทำงานและยังไม่ได้รับเงินเดือน 

โดยภาพรวมแล้วทอฟเลอร์เห็นว่า การปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากภาครัฐ เอกชนเป็นสำคัญ หากแต่เกิดจากความเคลื่อนไหวทางความคิดอยู่ตลอดเวลาของปัจเจกชนเป็นสำคัญ หากปัจเจกชนสามารถแปรปัจจัยพื้นฐาน (เวลา สถานที่และความรู้) ให้เป็นความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของผู้ประกอบการเพื่อสังคม หรือเพื่ออนุรักษ์โลกอย่างใด ๆ ย่อมสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นได้ เพราะระเบิดเวลาของการเป็นผู้ผลิต-บริโภคอย่างทุกวันนี้ใกล้มาถึงจุดจบแล้ว  

ถึงตอนนั้นพลังสำคัญที่จะสร้างสรรค์ระบบทุนนิยมก็คือปัจเจกชน หาใช่บริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่นทุกวันนี้ และในนามของปัจเจกชนที่ผนึกกำลังต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบของทุนใหญ่ ก็จะสามารถใช้เครื่องมือที่เคยทิ่มแทงเราตลอดมา นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับที่เอ็นจีโอที่ต่อต้านการใช้เทคโนโลยีแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ใช้เทคโนโลยีนั้นเพื่อประชาสัมพันธ์แนวคิด เพื่อระดมทุนและระดมพลังเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายของตัวเอง  

ฝากทิ้งท้ายสำหรับผู้สนใจ  ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ฉันยังไม่ได้อ่าน ซึ่งคุณสฤณี  อาชวานันทกุล ผู้แปลความมั่งคั่งปฏิวัติเล่มนี้ได้แปลไว้ คือ พลังของคนหัวรั้น The Power Of  Unreasonable People ทั้งนี้

ผู้แปลเองได้แสดงความหวังไว้ว่า  เมื่อเราปลูกฝังสำนึกทางสังคมได้สูงเพียงพอ  การดำเนินชีวิตของนักธุรกิจและนักคิดในระบอบทุนนิยมที่มีสำนึกทางสังคมสูงเป็นความหวังที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
  นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           พ.๒๗ สายลับพระปกเกล้าฯ ผู้เขียน               :           อ.ก. ร่งแสง (โพยม โรจนวิภาต)ประเภท              :           สารคดีประวัติศาสตร์          พิมพ์ครั้งที่ 2  พ.ศ.…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ฝรั่งคลั่งผี ผู้เขียน : ไมเคิล ไรท จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก : กรกฎาคม 2550 อ่าน ฝรั่งคลั่งผี ของ ไมเคิล ไรท จบ ฉันลิงโลดเป็นพิเศษ รีบนำมา “เล่าสู่กันฟัง” ทันที จะว่าร้อนวิชาเกินไปหรือก็ไม่ทราบ โปรดให้อภัยฉันเถิด ในเมื่อเขาเขียนดี จะตัดใจได้ลงคอเชียวหรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เด็กบินได้ ผู้เขียน : ศรีดาวเรือง ประเภท : นวนิยายขนาดสั้น พิมพ์ครั้งแรก กันยายน 2532 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์กำแพง มาอีกแล้ว วรรณกรรมเพื่อชีวิต เขียนถึงบ่อยเหลือเกิน ชื่นชม ตำหนิติเตียนกันไม่เว้นวาย นี่ฉันจะจมอยู่กับปลักเพื่อชีวิตไปอีกกี่ทศวรรษ อันที่จริง เพื่อชีวิต ไม่ใช่ “ปลัก” ในความหมายที่เราชอบกล่าวถึงในแง่ของการย่ำวนอยู่ที่เดิมแบบไร้วัฒนาการไม่ใช่หรือ เพื่อชีวิตเองก็เติบโตมาพร้อมพัฒนาการทางสังคม ปลิดขั้วมาจากวรรณกรรมศักดินาชน เรื่องรักฉันท์หนุ่มสาว เรื่องบันเทิงเริงรมย์…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : คนซื้อฝัน ผู้เขียน : ศุภร บุนนาค ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 2 กรกฎาคม 2537 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์เคล็ดไทย ตามสัญญาที่ให้ไว้ว่าจะอ่านหนังสือของนักเขียนไทยให้มากกว่าเดิม ฉันดำเนินการแล้วล่ะ อ่านแล้ว อิ่มเอมกับอรรถรสแบบที่หาจากวรรณกรรมแปลไม่ได้ หาจากภาษาของนักเขียนไทยรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยจะได้ จนรู้สึกไปว่า คุณค่าของภาษาได้แกว่งไกวไปกับกาละด้วย
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เพลงกล่อมผี ผู้เขียน : นากิบ มาห์ฟูซ ผู้แปล : แคน สังคีต จาก Wedding Song ภาษาอังกฤษโดย โอลีฟ อี เคนนี ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2534 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์รวมทรรศน์ หนาวลมเหมันต์แห่งพุทธศักราช 2552 เยียบเย็นยิ่งกว่า ผ้าผวยดูไร้ตัวตนไปเลยเมื่อเจอะเข้ากับลมหนาวขณะมกราคมสั่นเทิ้มด้วยคน ฉันขดตัวอยู่ในห้องหลบลมลอดช่องตึกอันทารุณ อ่านหนังสือเก่า ๆ ที่อุดม ไรฝุ่นยั่วอาการภูมิแพ้ โรคประจำศตวรรษที่ใครก็มีประสบการณ์ร่วม อ่านเพลงกล่อมผีของนากิบ มาห์ฟูซ ที่แคน สังคีต ฝากสำนวนแปลไว้อย่างเฟื่องฟุ้งเลยทีเดียว…
สวนหนังสือ
นายยืนยง สวัสดีปี 2552 ขอสรรพสิ่งแห่งสุนทรียะจงจรรโลงหัวใจท่านผู้อ่านประดุจลมเช้าอันอ่อนหวานที่เชยผ่านเข้ามา คำพรคงไม่ล่าเกินไปใช่ไหม ตลอดเวลาที่เขียนบทความใน สวนหนังสือ แห่ง ประชาไท นี้ ความตื่นรู้ ตื่นต่อผัสสะทางวรรณกรรม ปลุกเร้าให้ฉันออกเสาะหาหนังสือที่มีแรงดึงดูดมาอ่าน และเขียนถึง ขณะเดียวกันหนังสืออันท้าทายเหล่านั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้วาวโรจน์ขึ้นกับหัวใจอันมักจะห่อเหี่ยวของฉัน
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เงาสีขาวผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทองประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน น้ำเน่าในคลองต่อให้เน่าเหม็นปานใดย่อมระเหยกลายเป็นไออยู่นั่นเอง แต่การระเหิด ไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนกับการระเหย  ระเหย คือ การกลายเป็นไอ จากสถานภาพของของเหลวเปลี่ยนสถานภาพกลายเป็นก๊าซระเหิด คือ การเปลี่ยนสถานภาพเป็นก๊าซโดยตรงจากของแข็งเป็นก๊าซ โดยไม่ต้องพักเปลี่ยนเป็นสถานภาพของเหลวก่อน ต่างจากการระเหย แต่เหมือนตรงที่ทั้งสองกระบวนการมีปลายทางอยู่ที่สถานภาพของก๊าซสอดคล้องกับความน่าเกลียดที่ระเหิดกลายเป็นไอแห่งความงามได้
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : เงาสีขาว ผู้เขียน : แดนอรัญ แสงทอง ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งที่สอง ตุลาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์สามัญชน ปกติฉันไม่นอนดึกหากไม่จำเป็น และหากจำเป็นก็เนื่องมาจากหนังสือบางเล่มที่อ่านค้างอยู่ มันเป็นเวรกรรมอย่างหนึ่งที่ดุนหลังฉันให้หยิบ เงาสีขาว ขึ้นมาอ่าน เวรกรรมแท้ ๆ เชียว เราไม่น่าพบกันอีกเลย คุณแดนอรัญ แสงทอง ฉันควรรู้จักเขาจาก เรื่องสั้นขนาดยาวนาม อสรพิษ และ นวนิยายสุดโรแมนติกในนามของ เจ้าการะเกด เท่านั้น แต่กับเงาสีขาว มันทำให้ซาบซึ้งว่า กระบือย่อมเป็นกระบืออยู่วันยังค่ำ (เขาชอบประโยคนี้นะ เพราะมันปรากฏอยู่ในหนังสือของเขาตั้งหลายครั้ง)…
สวนหนังสือ
ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร
สวนหนังสือ
นายยืนยง    ชื่อหนังสือ : นิทานประเทศ ผู้เขียน : กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ประเภท : รวมเรื่องสั้น พิมพ์ครั้งที่ 1 กันยายน 2549 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์นาคร   ผลงานของนักเขียนไทยในแนวของเมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ หรือสัจนิยมมายา ที่ได้กล่าวถึงเมื่อตอนที่แล้ว ซึ่งจะนำมาเขียนถึงต่อไป เป็นการยกตัวอย่างให้เห็นถึงข้อเปรียบเทียบระหว่างงานที่แท้กับงานเสแสร้ง เผื่อว่าจะถึงคราวจำเป็นจะต้องเลือกที่รักมักที่ชัง แม้นรู้ดีว่าข้อเขียนนี้เป็นเพียงรสนิยมส่วนบุคคล แต่ฉันคิดว่าบางทีรสนิยมก็น่าจะได้รับคำอธิบายด้วยหลักการได้เช่นเดียวกัน…
สวนหนังสือ
เมจิกคัลเรียลลิสม์ หรือที่แปลเป็นไทยว่า สัจนิยมมายา หรือสัจนิยมมหัศจรรย์ เป็นแนวการเขียนที่นักเขียนไทยนำมาใช้ในงานเรื่องสั้น นวนิยายกันมากขึ้น ไม่เว้นในกวีนิพนธ์ โดยส่วนใหญ่จะได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานของกาเบรียล การ์เซีย มาเกซ ซึ่งมาเกซเองก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก ฮวน รุลโฟ (ฆวน รุลโฟ) จากผลงานนวนิยายเรื่อง เปโดร ปาราโม อีกทอดหนึ่ง เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์วรรณกรรมแนวนี้ถูกตัดตอน ขอกล่าวถึงต้นธารของงานสกุลนี้สักเล็กน้อย กล่าวถึงฮวน รุลโฟ ซึ่งจริงๆ แล้วควรเขียนเป็นภาษาไทยว่า ฆวน รุลโฟ ทำให้หวนระลึกถึงผลงานแปลฉบับของ ราอูล ที่ฉันตกระกำลำบากในการอ่านอย่างแสนสาหัส…
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ : ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครนA SHORT HISTORY OF TRACTORS IN UKRAINIAN ผู้เขียน : MARINA LEWYCKA ผู้แปล : พรพิสุทธิ์ โอสถานนท์ ประเภท : นวนิยายแปล พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2550 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน และแล้วฉันก็ได้อ่านมัน ไอ้เจ้าแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เมียงมองอยู่นานสองนานแล้วได้สมใจซะที ซึ่งก็สมใจจริงแท้แน่นอนเพราะได้อ่านรวดเดียวจบ (แบบต่อเนื่องยาวนาน) จบแบบสังขารบอบช้ำเมื่อต่อมขำทำงานหนัก ลามไปถึงปอดที่ถูกเขย่าครั้งแล้วครั้งเล่า ประวัติย่อของแทรกเตอร์ฉบับยูเครน เป็นนวนิยายสมัยใหม่ที่ใช้ภาษาง่าย ๆ แต่ดึงดูดแบบยุคทุนนิยมเสรี…