Skip to main content
นายยืนยง



ชื่อหนังสือ  : ความมั่งคั่งปฏิวัติ Revolutionary Wealth
ผู้เขียน  : Alvin Toffler, Heidi Toffler
ผู้แปล  : สฤณี  อาชวานันทกุล
จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มติชน   พิมพ์ครั้งที่ 2  มกราคม  2552

\\/--break--\>

สารภาพว่า ฉันเคยเกลียดทุนนิยมเข้าไส้ เคยปฏิเสธทุกอย่างที่ถือเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยม อย่างเมื่อก่อนที่ใคร  ๆ บางคนพากันปฏิเสธโทรศัพท์มือถือ ต่อต้านระบบอินเตอร์เน็ต  ต่อต้านการเล่นหุ้นเพื่อเกร็งกำไร และอีกสารพัด โดยอธิบายเหตุผลของความเกลียดว่า  มันเป็นรูปแบบของระบบทุนนิยมที่จะทำลายความเป็นมนุษย์ของเรา ใครเคยเป็นอย่างฉัน หรือเอาแค่คล้าย ๆ คงพอรู้ว่า ความเกลียดไม่ได้ช่วยอะไรเลย และการทำเป็นไม่รับรู้ในการมีอยู่ของระบบทุนนิยม ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยเช่นเดียวกัน 

แท้จริงแล้วระบบทุนนิยมเป็นเช่นไรหนอ ฉันขอยกบางส่วนของคำจำกัดความ จากหนังสือ รายงานลูกาโน การอนุรักษ์ระบบทุนนิยมในศตวรรษที่ 21 เขียนโดยซูซาน ยอร์จ คุณภัควดี วีระภาสพงษ์ เป็นผู้แปล ภายใต้การจัดพิมพ์ของโครงการจัดพิมพ์คบไฟ (พิมพ์ครั้งแรก กรกฎาคม 2545) มาให้อ่านกันตรงนี้ 

ระบบทุนนิยม (ในที่นี้ขอใช้ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของมัน) ไม่ใช่สภาวะตามธรรมชาติของมนุษย์ แต่เป็นผลผลิตของการสั่งสมทางภูมิปัญญาของมนุษย์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ทางสังคมและกล่าวได้ว่า น่าจะเป็นการประดิษฐ์คิดค้นของคนหมู่มากที่ฉลาดปราดเปรื่องที่สุดในประวัติศาสตร์

รายงานลูกาโน  เล่มนี้ ก็นับเป็นหนังสือที่น่าอ่านมากที่สุดอีกเล่มหนึ่ง  ในฐานะที่เรายังดั้นด้นอยู่ในระบบทุนนิยมทั้งที่สามานย์และไม่อยากสามานย์ 

ฉะนั้นฉันควรหันมามองมันอย่างเต็มตาสักที ค่อย ๆ ทำความรู้จักกันตามมารยาททั้งที่เคยเสียมารยาทกับมันมาก่อน และแล้วหนังสือแนวเศรษฐศาสตร์เล่มหนาปึ้กที่เพิ่งอ่านจบไป  ก็ได้นำพาความคิดของคนหัวอนุรักษ์นิยมต่อต้านทุนนิยมอย่างฉันรู้ว่า โดยระบบทุนนิยมนั้นไม่ได้น่ารังเกียจเลย หากเรารู้จักใช้มันอย่างสร้างสรรค์ และรู้เท่าทัน ที่สำคัญมันจะนำพาเราไปสู่ทุนนิยมในฝันได้ (คุณฝันไว้ว่าอย่างไรล่ะ

หนังสือเล่มนั้นคือ ความมั่งคั่งปฏิวัติ 

ดูจากชื่อหนังสือแล้ว  มี 2 คำที่ขัดแย้งกันทางความรู้สึก คือ คำว่า ความมั่งคั่ง และ ปฏิวัติ แต่มาดูอีกที มันเข้าขั้นเป็นหนทางแห่งความฝันร่วมกันของมนุษยชาติเลยทีเดียว แน่นอนว่าถ้าความมั่งคั่งเป็นผู้ปฏิวัติ ความยากจนข้นแค้นย่อมปลาสนาการไปได้กระมัง ไม่แน่ว่าโศกนาฏกรรมแห่งความยากจนจะกลายเป็นเพียงตำนานที่ใช้เล่าขานในยามที่เราหวนนึกถึงอดีตก็เป็นได้

แต่...เพียง 2 คำนี้เท่านั้นหรือ ที่จะเป็นดั่งพระเจ้าองค์ใหม่อันเป็นสากล 

ก่อนอื่น  เราจะปล่อยสัมพันธภาพระหว่างถ้อยคำ 2 คำนี้ไว้เฉย ๆ ไม่นำมาตีความร่วมกัน หากแต่จะให้ความสำคัญในเรื่องของความหมายที่แท้จริง ซึ่งผู้เขียนได้อธิบายไว้อย่างกว้าง ๆ แต่รัดกุม ดังนี้ 

ความมั่งคั่งมีชื่อเสียงทางฉาวโฉ่ตลอดมา  บริโภคนิยมเป็นคำสาป นักสิ่งแวดล้อมเรียกร้องให้คนอยู่อย่างเรียบง่าย แต่นั่นเป็นชื่อเสียงในด้านลบ  

ทอฟเลอร์  ผู้เขียนอธิบายว่า อย่างไรก็ตาม เราควรตั้งสมมุติฐานไว้ก่อนว่า จำเลยคือความมั่งคั่งนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ในความเป็นจริง มันเป็นกลาง 

กาเบรียล  เซค นักเขียนเม็กซิกัน  เคยกล่าวว่า เหนือสิ่งอื่นใด  ความมั่งคั่งคือการสะสมความเป็นไปได้ 

เราอาจนิยามความมั่งคั่งว่าหมายถึง สมบัติอะไรก็ตาม ไม่ว่าเราแบ่งให้คนอื่นใช้หรือไม่แบ่ง, มีสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “อรรถประโยชน์” มันส่งมอบความอยู่ดีมีสุขหรือไม่เราก็สามารถแลกมันกับความมั่งคั่งในรูปแบบอื่น... 

พูดง่าย ๆ ระบบความมั่งคั่งในที่นี้หมายถึง  สิ่งต่าง ๆ นอกเหนือจากเงินที่มนุษย์ให้คุณค่าไว้แล้วนั่นเอง
ขณะที่คำว่าปฏิวัติ ทอฟเลอร์เขียนไว้ว่า
 

การปฏิวัติ  คือ การเปลี่ยนชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ 
และการปฏิวัติมี 2 หน้าเสมอ วันนี้ก็เหมือนกัน หน้าหนึ่งคือหน้าโกรธแห่งความล่มสลายของเก่า ๆ ฉีกแยกออกจากกันและพังทลายลงมา หน้าที่สองคือหน้ายิ้มแห่งการผสานใหม่ เมื่อทั้งของเก่าและของใหม่เสียบปลั๊กเข้าด้วยกันด้วยวิธีใหม่ ๆ  
วันนี้  ความมั่งคั่งไม่เพียงปฏิวัติไปแล้ว  แต่กำลังจะถูกปฏิวัติไปมากขึ้นเรื่อย  ๆ นี่ไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว ด้วยมันเป็นเรื่องของการปฏิวัติของจิตใจ 

เชื่อไหมว่าหนังสือเล่มนี้ สองสามีภรรยาผู้แต่งใช้เวลาเขียนและรวบรวมข้อมูลนานถึง 12 ปี แน่นอนว่าข้อมูลหรือแนวคิดบางอย่างอาจล้าหลังไปบ้าง แต่หัวใจของหนังสือเล่มนี้ยังคงถ่ายทอดแนวคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่หยุดนิ่ง 

แท้จริงแล้วการปฏิวัติครั้งนี้ได้เริ่มต้นตั้งแต่มนุษย์สามารถผลิตส่วนเกินทางเศรษฐกิจได้เป็นครั้งแรก ส่วนเกินเหล่านี้ถูกนำมาเสียภาษี สร้างวัดโบสถ์ สร้างวังและสร้างศิลปิน นี่นับเป็นคลื่นลูกแรกของความมั่งคั่ง  ที่เกิดขึ้นยุคเกษตรกรรม ทอฟเลอร์ได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเช่นเดียวกับนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปในเรื่องของปัจจัยความมั่งคั่ง อันได้แก่ เวลา สถานที่ และความรู้ 

ขณะที่เราเริ่มสับสนในธรรมชาติของเวลา ที่นักฟิสิกส์ได้ค้นพบทฤษฎีใหม่ ๆ เกี่ยวกับกำเนิดของเอกภพ ซึ่งสั่นคลอนแนวคิดของเวลาที่เราเคยเชื่อ น่าสังเกตว่ากระบวนการของความรู้เริ่มมีอายุขัย คือเมื่อวันหนึ่งมันเคยเป็นความจริง แต่ในอีกวันหนึ่งมันกลับยอกย้อนอยู่ในตัวเอง ชวนให้ฉงนฉงาย เช่นเดียวกับข้อเท็จจริงที่มีอายุสั้นลงทุกขณะเมื่อเทคโนโลยีหรือการปฏิวัติข้อมูลข่าวสารถือกำเนิดขึ้น 

ความน่าสนใจของการปฏิวัติอยู่ตรงไหน หลายคนให้ข้อสังเกตว่า การปฏิวัติจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของปัจเจกบุคคลและสังคมในขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างคนในคลื่นลูกเก่ากับคลื่นลูกใหม่ ที่ต่างก็อาศัยปัจจัยเดียวกันในการสร้างความมั่งคั่งในยุคสมัยของตัวเอง ยกตัวอย่าง คลื่นลูกที่สอง ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ที่ได้ใช้เวลา สถานที่ และความรู้ เช่นเดียวกันคลื่นลูกที่สาม  

ระหว่างคลื่นลูกที่หนึ่งซึ่งใช้แรงงานคนเป็นหลักในการผลิต เมื่อเปลี่ยนจากแรงงานคนมาเป็นเครื่องจักรในการผลิต สภาพความคิดจิตใจของคนซึ่งถูกเครื่องจักรมาทดแทนนั้นเป็นเช่นไร วิถีชีวิตซึ่งเปลี่ยนแปลงไปเป็นเช่นไร จึงเกิดความคิดที่จะพัฒนาศักยภาพของคนให้เป็นได้มากกว่าเครื่องจักร เพื่อนำพาตัวเองไปข้างหน้า สู่คลื่นลูกที่สาม อันเป็นการนำปัจจัยเรื่องเวลา สถานที่และความรู้มาสร้างระบบความมั่งคั่งขึ้นใหม่ ในนามของเทคโนโลยี 

ทุกวันนี้ เราจากที่เคยอยู่ในฐานะผู้บริโภคหรือผู้ผลิตอย่างใดอย่างหนึ่ง  แต่การปฏิวัติความมั่งคั่งได้ขยายขอบเขตแห่งความเป็นไปได้ส่งมอบมาสู่เราด้วยอิทธิพลของการโฆษณาแบบตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ยกตัวอย่างง่าย ๆ เรื่องบัตร ATM ที่เมื่อก่อนมันได้มาขยายขอบเขตธุรกรรมการเงินให้เกิดขึ้นได้แม้ในช่วงเวลาที่ธนาคารปิดทำการ เราได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่ต้องยืนรอพนักงานธนาคารทำหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินเหมือนในอดีต โดยที่เราต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมรายปี เพื่อทำหน้าที่เสมือนลูกจ้างของธนาคาร (เทเลอร์) มีหน้าที่รับฝาก-ถอนเงินเอง ความผิดพลาดอันเกิดขึ้นแก่เราก็ย่อมตกเป็นภาระของเราด้วย หรืออย่างในซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ให้เราเลือกหยิบสินค้าได้เองตามสะดวก สามารถเช็คราคาขายสินค้าได้เองอย่างที่เราคุ้นเคยกับมันไปแล้ว  

ในสองกรณีที่ยกตัวอย่างนี้ ถือเป็นการย้ายงานไปยังผู้บริโภค โดยให้ลูกค้าเกิดมายาคติว่ากำลังประหยัดอยู่ ขณะที่บริษัทก็สามารถลดต้นทุนค่าจ้างแรงงานไปได้ เราเรียกกระบวนการนี้ว่าแปลงผู้บริโภคให้เป็นผู้ผลิต-บริโภคได้ด้วย หรือแม้แต่กรณีที่ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าประเภททุน เช่น เครื่องมือช่าง เครื่องมือตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เครื่องคอมพิวเตอร์ พริ้นเตอร์ กล้อง VDO ซึ่งอำนวยความสะดวกให้เราอย่างที่เรียกว่า ทำเองได้ง่าย สะดวก ประหยัด ซึ่งทางการตลาดเรียกว่าตลาดพึ่งพาตัวเอง  

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการยกตัวอย่าง ที่ทำให้เราได้รู้แจ้งชัดถึงกลไกของการตลาด ที่ผู้ผลิต-บริโภคอย่างเราอาจยังไม่ทันรู้สึก เพราะแม้แต่พนักงานกินเงินเดือนก็สมควรที่จะออกมาเรียกร้องขอรับค่าจ้างในอัตรานาทีต่อนาที จากที่เคยรับค่าจ้างรายเดือนหลังจากทำงานมาหนึ่งเดือนเต็ม (ทำงานก่อนรับเงินทีหลัง) ซึ่งหากเรามีเทคโนโลยีอย่างที่เราใช้ทุกวันนี้ การคำนวณอัตราค่าจ้างเป็นนาทีหรือวินาทีย่อมไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร หากไม่เช่นนั้น เราต้องถือได้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของนายจ้าง โดยที่นายจ้างได้กู้ยืมเงินเดือนของเราแบบไร้ดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนในช่วงที่เราทำงานและยังไม่ได้รับเงินเดือน 

โดยภาพรวมแล้วทอฟเลอร์เห็นว่า การปฏิวัติครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากภาครัฐ เอกชนเป็นสำคัญ หากแต่เกิดจากความเคลื่อนไหวทางความคิดอยู่ตลอดเวลาของปัจเจกชนเป็นสำคัญ หากปัจเจกชนสามารถแปรปัจจัยพื้นฐาน (เวลา สถานที่และความรู้) ให้เป็นความมั่งคั่งได้ ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของผู้ประกอบการเพื่อสังคม หรือเพื่ออนุรักษ์โลกอย่างใด ๆ ย่อมสร้างความมั่งคั่งให้เกิดขึ้นได้ เพราะระเบิดเวลาของการเป็นผู้ผลิต-บริโภคอย่างทุกวันนี้ใกล้มาถึงจุดจบแล้ว  

ถึงตอนนั้นพลังสำคัญที่จะสร้างสรรค์ระบบทุนนิยมก็คือปัจเจกชน หาใช่บริษัทใหญ่ ๆ อย่างเช่นทุกวันนี้ และในนามของปัจเจกชนที่ผนึกกำลังต่อต้านการเอารัดเอาเปรียบของทุนใหญ่ ก็จะสามารถใช้เครื่องมือที่เคยทิ่มแทงเราตลอดมา นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับที่เอ็นจีโอที่ต่อต้านการใช้เทคโนโลยีแบบไม่ลืมหูลืมตา ก็ใช้เทคโนโลยีนั้นเพื่อประชาสัมพันธ์แนวคิด เพื่อระดมทุนและระดมพลังเพื่อบรรลุถึงเป้าหมายของตัวเอง  

ฝากทิ้งท้ายสำหรับผู้สนใจ  ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่ฉันยังไม่ได้อ่าน ซึ่งคุณสฤณี  อาชวานันทกุล ผู้แปลความมั่งคั่งปฏิวัติเล่มนี้ได้แปลไว้ คือ พลังของคนหัวรั้น The Power Of  Unreasonable People ทั้งนี้

ผู้แปลเองได้แสดงความหวังไว้ว่า  เมื่อเราปลูกฝังสำนึกทางสังคมได้สูงเพียงพอ  การดำเนินชีวิตของนักธุรกิจและนักคิดในระบอบทุนนิยมที่มีสำนึกทางสังคมสูงเป็นความหวังที่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…