Skip to main content

นายยืนยง

 

เมื่อวานนี้เอง ฉันเพิ่งถามตัวเองอย่างจริงจัง แบบไม่อิงค่านิยมใด ๆ ถามออกมาจากตัวของความรู้สึกอันแท้จริง ณ เวลานี้ว่า ทำไมฉันชอบอ่านวรรณกรรมมากที่สุดในบรรดาหนังสือทั้งหลาย

คุณเคยถามตัวเองด้วยคำถามเดียวกันนี้หรือเปล่า

 

 

 


ใช่ เมื่อวานฉันเพิ่งอ่าน “บันทึกนกไขลาน” (The Wind-up Bird Chronicle) ผลงานของ ฮารูกิ มูราคามิ ที่ นพดล เวชสวัสดิ์ แปลเอาไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เชยชมรสชาติวรรณกรรมของมูราคามิ ปรมาจารย์แห่งปัจเจกภาพ อย่างที่เสียงในสังคมวรรณกรรมกล่าวขานกันมานาน ฉันเคยอยาก ๆ เซ็ง ๆ กับความต้องการที่จะอ่านมูราคามิอยู่นาน จนกระทั่งในวันที่แดดลมของฤดูมรสุมกระหน่ำเข้าใส่ฉันอย่างไม่ยั้ง


เพราะ “บันทึกนกไขลาน” แท้ทีเดียวที่ทำให้ฉันค้นพบคำถามและคำตอบข้อนั้น


หนังสือวรรณกรรมมีมูลค่าหรือคุณค่าอย่างไรหรือ ฉันจึงติดใจมักนัก

หลายคนบอกว่า อ่านวรรณกรรมแล้วนอกจากจะไม่เมคมันนี่แล้ว ยังต้องจ่ายค่าเสียเวลาในการอ่านซะอีก ผิดกับหนังสือแนวพัฒนาตนเองหรือฮาวทู ซึ่งแนะนำวิธีเมคมันนี่ หรือแนวเศรษฐศาสตร์ที่เสี้ยมสอนให้เราเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นความมั่งคั่งได้


ไม่ใช่เพราะความจงรักภักดีหรอก บางทีฉันก็สนุกกับการอ่านหนังสือทำนายดวง ตื่นเต้นไปกับตำราเศรษฐศาสตร์ หรือฮาวทูนิรมิตแบบคิดบวก หรือไม่ก็กระสันเสียวไปกับหนังสืออย่างว่า แต่ท้ายที่สุดในยามที่หัวตื้อ อารมณ์เฉื่อยชา ไม่ตอบสนองกับแรงกระตุ้นทั้งหลายแหล่ ฉันจะโหยหาเจ้าวรรณกรรม เลือกไอ้ที่ถูกชะตามาสักเล่มนึง แล้วดำดิ่งไปกับมัน จมอยู่กับมันสักห้วงเวลาหนึ่ง แค่นี้ฉันก็แทบสำลักความรื่นรมย์แล้ว


วันนี้ฉันจริงจังกับคำตอบของตัวเองเอามาก มากเสียจนอยากประกาศออกมาว่า

มีแต่วรรณกรรมเท่านั้นที่พิทักษ์รักษาตัวตนของเราเอาไว้ หนังสืออย่างอื่นเป็นได้อย่างมากที่สุดก็แค่ความบันเทิงเริงรมย์ แต่ฉันก็ขลาดกลัวเกินกว่าจะประกาศโต้ง ๆ อย่างนั้น จึงทดลองเขียนคำตอบอย่างเป็นเหตุผลเป็นผลของการชอบวรรณกรรมออกมาเป็นข้อ

ใครเห็นว่าข้อไหนน่าจะใช่ก็เลือกดูตามใจนะ หรือถ้าดูแล้วไม่มีข้อถูก ก็เติมคำตอบได้เองเลย


เพราะชอบในคุณค่าของวรรณกรรมที่มีต่อจิตใจ ดังนั้นตัวเลือกต่อไปนี้จึงเป็นเพียงการแสดงให้เห็นคุณค่าของวรรณกรรมที่มีต่อ “ตัวเรา” (เชิงปัจเจกบุคคล)


ข้อแรก แน่นอนที่สุด คุณค่าของวรรณกรรมจะเกิดมรรคผลต่อจิตใจได้ก็ต่อเมื่อมันถูกอ่านโดยผู้อ่าน นั่นคือก่อให้เกิดการเดินทางของ “สาร” ถ้าหนังสือไม่ถูกอ่าน คุณค่าของมันจะมีแต่ในทางรูปธรรม คือเป็นรูปทรงสามมิติ กินพื้นที่และมีมวล อันสัมพันธ์กับแรงดึงดูดของโลก ไม่ต่างจากวัตถุทั่วไป แต่เมื่อใดก็ตามที่ “สาร” เดินทางไปสู่ “ผู้รับสาร” แล้ว พยางค์แรกที่ผู้รับสารออกเสียงได้คือ แรงกระทบใจ

ทางญาณวิทยาอธิบายไว้ว่า เรื่องราวในนวนิยาย หรือเรื่องแต่ง ก่อเป็นมโนภาพ (idea) ทั้งเชิงเดี่ยว (simple idea) และเชิงซ้อน (complex idea)


แรงกระทบใจหรือความสะเทือนใจเกิดขึ้นได้อย่างไร

ทั้งที่เราต่างก็ตระหนักได้ว่า มันคือเรื่องแต่ง ไม่ใช่เรื่องจริง หรือว่าเราเสแสร้งสะเทือนใจไปกับชะตากรรมของตัวละครเท่านั้นเอง มีหลายทฤษฎีที่ตั้งสมมุติฐานกับความรู้สึกร่วมของผู้อ่านที่มีต่อเรื่องแต่ง


มาถึงตรงนี้ ฉันเริ่มอธิบายกับตัวเองได้ยากว่า เราเสแสร้งสะเทือนใจหรือแท้แล้วเรารู้สึกไปกับมันจริง ๆ และให้บังเอิญเหลือเกิน ฉันได้ไปอ่านเจอบทความที่น่าสนใจจาก www.midnightuniv.org ที่อธิบายเกี่ยวกับความรู้สึกร่วมของผู้รับสารที่มีต่อเรื่องแต่ง ในบทความเรื่อง ภาพยนตร์แนวสยองขวัญ : มุมมองผ่านทฤษฎีจิตวิเคราะห์ และเรื่อง คำตอบจิตวิทยา : ทำไมเราจึงรู้สึกกลัวเมื่อชมภาพยนตร์สยองขวัญ โดยผู้วิจัยนาม วิสิฐ อรุณรัตนานนท์ ซึ่งมีการยกเอาหลายทฤษฎีมาอธิบายไว้อย่างน่าสนใจ ขณะเดียวกันก็สามารถนำมาอธิบายในอารมณ์ของการอ่านวรรณกรรมได้ด้วย ขอคัดลอกมาให้อ่านกันบางส่วน


โดยปกติมนุษย์เรามักถูกทำให้มีอารมณ์คล้อยตามไปกับบุคลิกและสถานการณ์ของบุคคลอื่น ๆ เราเสียใจกับคนเคราะห์ร้าย ขุ่นเคืองกับความอยุติธรรม ปฏิกิริยาของเราที่มีต่อตัวละครก็เป็นไปในลักษณะเดียวกันนี้ด้วย ... ตัวละครและเหตุการณ์ในเรื่องได้โน้มน้าวความสนใจให้จดจ่ออยู่กับบุคลิกและสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นและหลงลืมความเป็นจริงรอบตัวไป

Noel Carroll ต้องการชี้คือ อารมณ์ของเราที่เกิดขึ้นอย่างตอบสนองกับสิ่งที่เรารับรู้นั้น ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการอาศัยความเชื่อถือความเป็นจริงของเนื้อหา เรื่องราวเป็นปัจจัยหลัก หากแต่อารมณ์ของผู้ชมที่เกิดขึ้นตอบโต้กับภาพยนตร์นั้น ถูกสร้างโดยกระบวนการโน้มน้าวทางอารมณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยวิธีการทางศิลปะ ซึ่งวิธีการบรรยายและโน้มน้าวสภาพอารมณ์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับความเชื่อในความเป็นจริงของเนื้อหาเรื่องราวเหล่านั้น (คล้าย ๆ กับการพูดถึงกองอุนจิขณะที่เรากำลังกินข้าวกันอยู่ เราจะเกิดอาการสะอิดสะเอียนขึ้นมาได้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าขณะนี้ไม่มีกองอุนจิใด ๆ ทั้งสิ้น)


สรุปว่าเรื่องแต่งอย่างวรรณกรรมก่อให้เกิดความสะเทือนใจลึกซึ้งได้ ขณะเดียวกับสิ่งที่เชื่อมระหว่างวรรณกรรมกับผู้อ่านนั้น ก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้อ่าน (Impression) และผัสสะที่ถูกกระตุ้นโดยวรรณกรรม


แวบหนึ่ง ฉันนึกถึงนักเขียนที่ฉันชิงชังผลงานของเขา เกลียดชนิดไม่อยากแตะต้องหนังสือเล่มนั้นอีก แต่ในขณะเดียวกัน ผลงานเล่มนั้นกลับเป็นวรรณกรรมที่เข้าขั้นน่ายกย่องในรสนิยมของฉันด้วย นักเขียนคนนั้นคือ แดนอรัญ แสงทอง จะเป็นใครไปไม่ได้ และแน่นอนไอ้ตัวการนั่นคือ เงาสีขาว

นวนิยายของอาชญากรเล่มนั้นเอง


ภาพปะติดปะต่อจากแดนอรัญ แสงทอง ทำให้ฉันอนุมานได้ถึงทัศนคติที่เขามีต่อหนังสือดีว่า

หนังสือจะดีมีคุณค่าขึ้นมาได้ก็เพราะผู้อ่าน ไม่ว่าเราจะอ่านหนังสืออะไร ถ้าเราเกิด “ค้นพบ” จุดไคลแมกซ์ของมันก็เท่ากับว่า เราได้ค้นพบคุณค่าของหนังสือนั่นเอง


เช่นเดียวกับวรรณกรรม

สรุปว่า คำตอบที่เป็นตัวเลือกแรกที่ฉันขอเสนอคือ วรรณกรรมทำให้ค้นพบคำตอบในข้อสงสัย ขณะที่มันตอบเรา มันก็ได้ถามเราต่อด้วย อีกทั้งมันยังกระตุ้นให้เรากระหายที่จะแสวงหาคำตอบต่อไป ซึ่งแสดงให้เราตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ โดยไม่ต้องพึ่งอิงบริบทอื่นใดของสังคมมากนัก

นับว่าวรรณกรรมเป็นปุจฉา-วิสัชนาแห่งชีวิต

ใครว่าตัวเลือกนี้น่าจะใช่บ้าง...


ต่อด้วยข้อที่สอง นี่อาจเป็นเพียง “การเล่นกายกรรมทางความคิดและภาษา” (สำนวนของอ.เจตนา นาควัชระ) ก็เป็นได้ เพราะวรรณกรรมได้ตอบสนองความต้องการที่จะแสวงหาความหมาย หรือนิยามของชีวิต


คงเคยได้ยินใครเปรยว่า ชอบนิยายเรื่องนี้เพราะมันเหมือนพูดแทนใจของเรา

ความรู้สึกเช่นนี้ประกอบขึ้นได้อย่างไร อันนี้ก็เกี่ยวข้องกับทฤษฎีทางจิตวิเคราะห์ที่ยกบางส่วนจากผลงานวิจัยข้างต้นมาให้อ่าน แต่จุดสำคัญของข้อนี้อยู่ตรงที่ “ภาษาของวรรณกรรม”


ภาษาตามความหมายในนิรุกติศาสตร์ คือ วิธีที่มนุษย์แสดงความในใจ เพื่อให้ผู้ที่ตนต้องการให้รู้ได้รู้

กล่าวได้ว่า วรรณกรรมคือกระบวนการไขความสัญลักษณ์ทางภาษา ที่ก่อให้เกิดมโนภาพที่ซ้อนซับอยู่ในใจผู้อ่าน ก่อเป็นความผูกพันในตัวละครและเรื่องราวเหล่านั้น คุณค่าของวรรณกรรมจึงอยู่ตรงที่การตีความผ่านสัญลักษณ์ทางภาษานี่เอง


ตัวเลือกของฉันมีแค่นี้เอง หากใครเห็นว่า “ยังไม่ใช่” ขอได้ “ชี้แนะ” ด้วย


ทั้งหมดทั้งมวลนี้ ฉันสารภาพว่าได้รับแรงบันดาลใจอย่างมหาศาลจากนวนิยายเรื่อง บันทึกนกไขลาน นวนิยายขนาดหนาปึ้กเล่มนี้เอง มันเป็นดั่งมหากาพย์ของปัจเจกภาพ น่าทึ่งตรงที่ชีวิตของคนที่เลือกจะตกงานคนหนึ่ง ได้เกี่ยวโยงไปถึงภูมิภาคแห่งประวัติศาสตร์ ความเป็นชาติอันเก่าแก่


นอกจากนี้ “บันทึกนกไขลาน” ยังทำให้ฉันมองเห็นความสร้างสรรค์ได้ชัดเจนขึ้น เพราะมันได้กระตุ้นให้คิดไปได้ว่า ในร่างกายของมนุษย์เรานี้ ส่วนที่ดึกดำบรรพ์ที่สุดซึ่งยังคงดำรงอยู่มาจนถึงวินาทีที่เราหายใจอยู่นี้ อาจจะเป็นส่วนเล็กย่อยที่สุดในร่างกายของเรา คือ ดีเอ็นเอ ก็เป็นได้


ส่งท้ายนิดหนึ่งกับ “บันทึกนกไขลาน” ใครอ่านแล้วบ้าง

สำหรับฉัน นอกจากเราจะได้พบกับเรื่องราวอันเปี่ยมด้วยแรงดึงดูดแล้ว มันยังเป็นงานมหกรรมแห่งทฤษฎีบทที่รวบรวมเอาบรรดาข้อกังขาในแต่ทฤษฎีมาแสดงให้เห็นถึง “ช่องว่าง” ระหว่างกัน เห็นพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน ไล่ตั้งแต่ลัทธิญาณนิยม (Mysticism) อันเป็นลัทธิที่เกิดขึ้นพร้อมกับการถือกำเนิดของมนุษย์ ลัทธิดึกดำบรรพ์ที่เชื่อถือปรากฎการณ์นอกเหนือธรรมชาติ มนุษย์ติดต่อกับวิญญาณได้ มาจนถึงลัทธิปัจเจกนิยม (Individualism) รวมทั้งตรรกะนิยมและอตรรกนิยม สารพัดสารพันจะเอ่ยอ้างถึงลัทธิบรรดามี และแท้จริงแล้ว

ยังกล่าวถึงความแปลกแยกอันสะท้อนถึงจิตวิญญาณของปัจเจกภาพ ก็เป็นดั่งแอ่งเล็ก ๆ ที่วางตัวเองอยู่บนผืนดินอันไพศาลของโลกมนุษย์


ฉันถือว่า บันทึกนกไขลาน เป็นสุ้มเสียงแห่งยุคสมัยที่แท้จริงอย่างยิ่ง เนื่องจากมันได้สำรวจตรวจสอบไปถึง “ความตาย” “การเกิดและการเกิดใหม่” ปรากฎการณ์ของการคลี่ทับของโลกภายในจิตใต้สำนึกกับโลกของจิตสำนึก เสมือนหนึ่งเป็นการทำลายกำแพงของ “สติ” กับ “ไร้สติ” ทลายกำแพงซึ่งปกป้องปัจเจกชนเอาไว้ในอุดมคติออกมาสู่โลกที่อยู่นอกเหนือเหตุและผล


ใครก็ตามที่ได้ลิ้มรสวรรณกรรมเรื่องนี้ ย่อมหนีไม่พ้นความกระหายแห่งชีวิต อย่างที่อีวาน ปัญญาชนหนุ่มวัยสามสิบในเรื่องพี่น้องคารามาซอฟ เคยคิดจะขว้างจอกแห่งชีวิตทิ้งไปอย่างไม่นึกเสียดายเลย แต่ถ้า อีวานมีชีวิตอยู่และทันได้อ่านบันทึกนกไขลานแห่งศตวรรษนี้ เขาอาจไม่อยากทำเช่นนั้นก็เป็นได้.

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…