Skip to main content

นายยืนยง

20080415

ชื่อหนังสือ                     :    เค้าขวัญวรรณกรรม
ผู้เขียน                         :    เขมานันทะ
พิมพ์ครั้งที่สอง (ฉบับปรับปรุง) ตุลาคม ๒๕๔๓     :    สำนักพิมพ์ศยาม
 

ชีวิตที่เหลือ...สำหรับผมแล้ว  บ่อยครั้งพบว่ามันแสนไร้ค่าเกินจะกล่าวถึง

นอกเหนือจากต้อง “ยอม” ชดใช้ผลแห่งการกระทำของตัวเองซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยง แม้ผมเองก็ไม่ได้เป็นคนประเภทเข้าวัดฟังธรรมตามประเพณีอะไร

ครั้งหนึ่งเมื่อนานมากแล้วเคยพยายามปฏิเสธความเชื่อเชิงศาสนา สมัยนี้อาจฟังดูเร่อร่าอยู่มาก
แต่สมัยผมยังหนุ่ม การณ์นี้เป็นนัยยะเชิงสังคมและฐานันดรใหม่อีกด้วย คล้าย ๆ ว่าจะดูเป็นปัญญาชนนำสมัย (แน่นอนว่านักศึกษาบ้านนอกอย่างผมย่อมเห่อเหิมกระแสปัญญาชนหัวก้าวหน้าในเมืองหลวง)  
หากได้พูดกับใครต่อใครว่า “ศาสนาของผมคือความดี” ล่ะก็ หัวใจจะพองคับอกทีเดียว แต่สมัยนี้ ผมได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานากับถ้อยคำเชิงอวดโอ่เช่นนั้น

เหตุผลของการสยบยอมต่อกฎแห่งกรรมนั้น นอกจากวัยเวลาแล้ว การปล่อยให้ตัวเองย่ำวนอยู่ในกับดักแห่งทุกข์แล้วเรียนรู้ที่จะคิดฝันถึงมัน พิจารณาถึงมันตามแนวทางของ “พุทธธรรม”  ก็ได้ทำให้ผมปลดวางบางความรู้สึก นึก คิด มากขึ้น ที่สำคัญคือผมเริ่มมองเห็นใบหน้าของตัวเองในความรู้สึกน้อยลงเรื่อย ๆ

ปัญหาของผมคือ ทำอย่างไรชีวิตอันแสนไร้ค่านี้จะมีแสงสว่างขึ้นมาบ้าง คิดตรองดูแล้ว ยี่สิบสี่ชั่วโมงของแต่ละวัน ผมใช้เวลานอนราวสี่ชั่วโมง แบ่งเป็นสองช่วงคือ กลางคืนสามชั่วโมง และช่วงบ่ายก่อนเวลามื้อเย็นผมต้องงีบสักชั่วโมง (เอาแรงไว้ดูข่าวภาคค่ำ) ตารางกิจวัตรประจำวันของผมรัดกุมมาก ไม่ค่อยยืดหยุ่นมากนัก คือตื่นตีสาม เข้าห้องน้ำ- อ่านหนังสือ –ตีห้าออกกำลังกายจนหกโมงเช้า วิ่งเหยาะไปตามทุ่งนา ไม่หักโหม -  จากนั้นก็ทำงานถึงช่วงเย็น –แต่ผมต้องกินยาสม่ำเสมอและในปริมาณที่มากจนบ่อยครั้งถึงขั้นอิ่มตื้น กินข้าวไม่ลงเลยทีเดียว หมอกำชับผมทุกเดือนที่นัดไปตรวจร่างกายคือ เรื่องยา อาหาร ออกกำลังกาย อย่าให้ได้เจ็บไข้

ผมเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนลิ้นหัวใจเมื่อปี ๒๕๔๔ ตอนนี้หัวใจจึงเต้นเสียงดังกว่าคนอื่น เพราะมีลิ้นหัวใจเทียมช่วยประคองชีวิตไว้สามลิ้น เหลือของแท้ที่เป็นเนื้อเยื่อเพียงลิ้นเดียว ฉะนั้นสิ่งที่หมอกำชับจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง

ทำไมต้องพูดเรื่องตัวเองให้มากความ... ผมขออภัยและต้องสารภาพว่า บางทีความสับสนก็ทำร้ายเราได้หนักหนาไม่ต่างจากความเหงา...

หนังสือที่ผมได้เขียนวิจารณ์ในพื้นที่ของสวนหนังสือแห่งนี้ ชื่นชมบ้าง ตำหนิติเตียนบ้าง ล้วนออกมาจากความรู้สึกที่แท้ ส่วนสำคัญยิ่งคือเป็นภารกิจหนึ่งที่ทำให้ชีวิตที่เหลือของผม..มีแสงสว่าง..  ต้องขอขอบคุณ คุณภู เชียงดาว และทีมงานเว็บไซต์ประชาไทแห่งนี้ ที่เอื้อเฟื้อและกรุณา ณ ที่นี้ด้วย

หนังสือบางส่วนอยู่ในตู้หนังสือเป็นของลูกสาว...ผู้จากผมไปแล้ว แม้ไม่ได้ตายจากกัน แต่ลูกก็ไม่เคยหวนกลับมาอีก ลูกสาวคนโตกับรากเหง้าอันเน่าผุ ซึ่งผมผู้เป็นพ่อก็มีส่วนที่สอนให้ลูกปฏิเสธรากเหง้าของตัวเอง หันไปฟุ้งเฟ้อกับแนวคิดของโลกตะวันตก ป่านนี้ลูกจะเป็นอย่างไร จะมีชีวิตชนิดใดกับความเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกเชื่อและยึดถือ..ผมไม่อาจรู้..  แต่หนังสือที่ลูกทิ้งไว้ให้  ผมนำมาอ่านอย่างไม่คิดปฏิเสธ

การอ่านเป็นวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งอยู่  มันมีความหมายลึก  ต้องอ่านด้วยจิตใจทั้งหมด  โดยอารมณ์ที่พร้อมจะรับรู้  เรียนรู้  มันสำคัญยิ่งกว่าการอ่านได้มากแต่ไม่พร้อมที่จะรู้  ท่านเขมานันทะกล่าวไว้ในหนังสือ   เค้าขวัญวรรณกรรม (หน้า ๕๓ )

เหตุที่ผมเลือกหยิบเล่มนี้มาอ่าน ส่วนหนึ่งมาจากคำอุทิศในหนังสือ แด่พ่อ  ผู้สรรหาวรรณกรรมให้อ่านแต่ยังเล็ก

ผมก็เป็นพ่อที่สรรหาวรรณกรรมให้ลูก ๆ อ่านตั้งแต่ยังเล็ก ปลูกฝังนิสัยรักการอ่าน แต่ผมไม่เคยสรรหาหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนคนไทยให้ลูกอ่านเลย นอกจากหนังสือเรียน การกีดกันเช่นนี้ผมเพิ่งสำนึกได้ว่าเป็นเพราะทัศนคติคับแคบเกินไปของผม ข้อนี้อาจเป็นเหตุหนึ่งที่ให้ลูก ๆ ขยับห่างออกไปจากสายสัมพันธ์ระหว่างเรา

ครั้งหนึ่งลูกสาวเคยถามผมว่า เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นคนเช่นไร?  ทำไมเขาจึงต้องเข้าป่า แล้วเขียนหนังสือ เดินป่าเสาะหาชีวิตจริง  ซึ่งมองจากสีหน้า –น้ำเสียงของลูกแล้ว ผมเห็นแต่ความชื่นชม เหมือนลูกได้ค้นพบความคิดฝันของตัวเองจากหนังสือเล่มนั้นของเสกสรรค์

ขณะนั้น ผมไม่รู้จะหาคำตอบอย่างไร ใจจริงตอนนั้นผมไม่ชอบเสกสรรค์ ขณะที่กลับชื่นชม ธีรยุทธ
ต้องออกตัวก่อนว่า หลังเหตุการณ์เดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ผมเป็นนักศึกษาเทคนิคต่างจังหวัดที่ต้องหาที่ปลอดภัยคุ้มตัว บ้านพักผมถูกเพ่งเล็ง หนังสือที่ผมหาซื้อเก็บไว้ถูกเผาโดยฝีมือแม่ยายที่กลัวจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร ...

ผมไม่รู้จะตอบลูกอย่างไร จึงได้แต่บอกว่า ถ้าสนใจก็ลองหาหนังสือเล่มอื่นของเขามาอ่านดู แต่...เดี๋ยวนี้มันหมดยุคแล้วลูก... คอมมิวนิสต์ไม่มีหรอก..  

ตอบไม่ถูกเหมือนกันว่า ผมรู้สึกอย่างไรแน่ จึงนึกถึงคำว่า “หมดยุค” ผมกลัวหรือ? แล้วกลัวอะไร? ในตอนนั้น...

ครั้นได้อ่านหนังสือ เค้าขวัญวรรณกรรมของ ท่านเขมานันทะ ผมจึงได้มองเห็นระหว่างผมในฐานะผู้อ่าน และท่านเขมานันทะ ในฐานะผู้เขียน (สนทนา) ระหว่างปัจเจก เรามีความรู้สึก นึก คิด ร่วมกันในหลายประการ  ยกตัวอย่างบทสนทนากับสหายวัยเยาว์ในหัวข้อเรื่อง มหากาพย์กับมนุษย์

คำถาม : ความหมาย ที่มา ประวัติศาสตร์ รวมทั้งแรงบันดาลใจในการก่อรูปของมหากาพย์
คำตอบ :  มหากาพย์เป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เรื่องราวที่มีอยู่ในมหากาพย์เป็นภาพสะท้อนวิญญาณของเผ่าพันธุ์ เป็นประวัติศาสตร์ด้านในของชีวิตมนุษย์กับการเดินทางไกลในตัวชีวิตเอง... ฯลฯ ... ผมก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเหมือนกับทุก ๆ คนที่เติบโตในช่วงที่ซีกโลกตะวันออกเหลียวแลตะวันตกราวกับแดนแสงสว่าง  พูดย่อ ๆ ก็คือ การไปเรียนเมืองนอก การรู้เรื่องอะไรทันสมัยเป็นสิ่งเลิศหรู เป็นสิ่งที่ปรารถนา และในความทะเยอทะยานนั้น มีทีท่าอยากจะทอดทิ้งอดีต ซึ่งถือว่าไม่ได้เรื่องเร่อร่าล้าสมัย เหล่านี้เป็นจริงอยู่เมื่อ ๓๐ –๔๐ ปีที่แล้ว  มันเป็นช่วงของการแสวงหาและมองข้ามรากเหง้าของชุมชนและตนเอง ช่วงนั้น ผมก็ไม่ชอบ ไม่ใส่ใจมหากาพย์, นิทานพื้นบ้าน รวมทั้งขนบประเพณีต่าง ๆ แต่เดี๋ยวนี้มันกลับวกย้อน ผมกลับเห็นคุณค่า และชอบมากยิ่งขึ้นต่อวรรณกรรมมหากาพย์ นิทานพื้นบ้าน หรือนิทานปรัมปรา ผมกลับวกย้อนไปร่วมทางกับป้า ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง เรื่องส่วนตัวที่เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้  คือการเปลี่ยนแปลงในตัวเอง ในปัจเจกคนหนึ่ง  ซึ่งน่าจะนำพิเคราะห์เทียบเคียงกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม  ปัจเจกน่าจะเป็นกุญแจไขความไปสู่สังคมโลก ปัจเจกไม่ใช่ไม่มีความหมาย ความจริงในตัวปัจเจกเหมือนดอกกุญแจเล็ก ๆ ไปเข้าสู่เนื้อที่กว้างขวางได้ถ้ามันหมุนไปถูกทาง ...

ในประโยคที่ว่า  ช่วงที่ซีกโลกตะวันออกเหลียวแลตะวันตกราวกับแดนแสงสว่างนั้น ทำให้ผมมองเห็นปรากฏการณ์ของกระแสสังคมที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหว หมุนเป็นวงรอบคล้ายวัฎจักร เช่นปัจจุบันนี้ กลับเป็นช่วงที่ซีกโลกตะวันตกเหลียวแลตะวันออกราวกับแดนแห่งแสงสว่าง แต่น่าสังเกตว่า อย่างไรก็ตามซีกโลกตะวันตกก็ยังเป็นฝ่ายสร้างกระแสขึ้นมาก่อนอยู่นั่นเอง ดังนั้นกระแสของวัฒนธรรม วิถีชีวิตแบบอิงธรรมชาติ เรื่องของรากเหง้า จึงอยู่ใน “เทรนด์”ของคนในสังคมปัจจุบัน (แม้ว่าจะไปเกาะเกี่ยวกับแผนการตลาดของสินค้าบางประเภทด้วยก็ตาม)  ต่างแต่ว่าของใครจะเป็นแค่กระแส หรือจะลงลึกถึงขั้นจิตวิญญาณได้ ข้อดีของความเป็นกระแสนั้นก็มี คือการแพร่หลาย กว้างขวาง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่าข้อเสียก็ย่อมไม่น้อยด้วย

เหตุผลของผมที่เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ ต่างจากเล่มอื่นตรงที่ไม่ได้ลงลึกเป็นบทวิจารณ์วรรณกรรม ต้องการเพียงเชิญชวนให้ผู้สนใจลองอ่าน เค้าขวัญวรรณกรรม ดูบ้าง เพราะเป็นหนังสือที่บรรจุเนื้อหาหลายศาสตร์วิชาเข้าด้วยกัน ทั้งปรัชญา ศาสนา วรรณคดี จิตวิทยาต่าง ๆ มากมาย พร้อมกันนั้นก็ได้วิเคราะห์ เปรียบเทียบให้เห็นถึงมิติต่าง ๆ ที่สะท้อนออกมาด้วย

โดยเฉพาะหัวข้อ มหากาพย์กับมนุษย์ ที่ท่านเขมานันทะได้ให้คำอธิบายต่อข้อคำถาม ซึ่งล้วนน่าสนใจและศึกษายิ่ง จะลองนำคำถามมาให้อ่านดู
-    ความหมาย ที่มา ประวัติศาสตร์ รวมทั้งแรงบันดาลใจในการก่อรูปของมหากาพย์ ?
-    เป้าหมายของมหากาพย์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับมหากาพย์ และผลกระทบต่อวิถีชีวิต ?
-    มหากาพย์สัมพันธ์กับตัวเราอย่างไร ?
-    มหากาพย์สร้างอย่างไร ?
-    ทำอย่างไรเพื่อให้คนรุ่นใหม่สนใจมหากาพย์, ชาดก ทั้งเรียนรู้การตีความหมายได้ ?  ฯลฯ

ผมอาจทำได้แค่ยกตัวอย่าง หยิบจับประเด็นที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน เพราะไม่มีภูมิความรู้มากพอจะวิจารณ์  
มหากาพย์ที่นำมากล่าวถึง และเปรียบเทียบนั้นมีหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งจากซีกโลกตะวันออกและตะวันตก ซึ่งล้วนผสมผสานปะทะสังสรรค์กันอย่างน่าอัศจรรย์ ดังข้อสังเกตที่ว่า (หน้า ๑๓)

อ.ปรีดี  พนมยงค์ ยกคำว่า “พิลาส”ภาษาบาลีสันสกฤต กับคำว่า “Philos” แปลว่าความรัก “Philosophy” แปลว่ารักที่จะรู้  คำว่า  Philos ตัวนี้กับคำว่า “พิลาส”ตัวเดียวกัน แม้แต่คำว่า Burg เช่น Edinburgh คือคำท้ายคำว่า “บุรี”นั่นเอง  หรือ รัฐในอเมริการัฐหนึ่ง ชื่อ Pennsylvania มีคำว่า “วน”อยู่ในนั้น สวนป่าของเพนน์ วิลเลียม เพนน์ ยกให้อังกฤษ แล้วอังกฤษเรียกชื่อว่า Penn’s vania  เวเนียของเพนน์  เวเนีย คือคำว่า “วน”คือ ป่า

คำและพยางค์เหล่านี้มันผสมผสานปะทะสังสรรรค์กันอย่างไร เราก็สาวไปถึงที่มาของชนเผ่าอารยัน แถบทะเลสาบแคสเปียน, เขาคอเคซัส เรียกเผ่าชนเหล่านั้นว่า คอเคซอย  เมื่อมีการอพยพลงล่างก็แตกเป็น ๒ สาย สายหนึ่งเข้าไปอยู่อินเดีย เรียก อินโดอารยัน อีกสายหนึ่งเข้าไปทางอิหร่าน (เปอร์เซีย) เรียก
อินโดอิราเนียน ซึ่ง อินโดอิราเนียน นั่นเองเป็นต้นตอของละติน เป็นไปได้ไหมที่วรรณกรรมมหากาพย์   รามายณะ มหาภารตยุทธ์ โอดิสซี อีเลียด ที่จริงมาจากแหล่งเดียวกัน แล้วมันแตกไป ๒ สาย

กล่าวถึง มหากาพย์รามายณะ ที่เราคุ้นเคย ว่ากันว่า พระฤๅษีวาลมิกิ  ท่านเขมานันทะอธิบายถึงสัญลักษณ์ที่มีอยู่ในมหากาพย์รามายณะ ว่า พระรามค่อย ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของสัจจะ คือ ความจริง หรือ มหาตมะคานธี เรียกว่า Truth ( ครั้งหนึ่งมหาตมะคานธีเดินจงกรมไปมา มีคนใกล้ชิดแอบได้ยิน เมื่อเดินไปเที่ยวหนึ่งท่านพึมพำว่า “God is Truth” เดินกลับมาอีกเที่ยวหนึ่งว่า “But truth is not god” สำหรับพระรามนั้น ติดริมฝีปากของชาวอินเดียว ในฐานะ God คำสุดท้ายที่มหาตมะคานธี อุทานคือ “ราม”แล้วก็ตายเพราะถูกยิง)

ปราชญ์ใหญ่ของอินเดียคนหนึ่ง สวามีวิเวกนันทะ ซึ่งเป็นคนประเดิมการตีความในทางปริศนาธรรมต่อ    รามายณะว่า พระรามนี้ต้องเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะที่เรียกว่า สัจจะหรือสัตยะ เพราะบทบาทตลอดทางของพระรามยึดถือแต่สัจจะ คือเป็นตัวความจริง คือเป็นตัว Truth เรียกว่า พระราม  สีดาน่าจะหมายถึง อาตมัน ตัวตนที่แท้จริงของเรา กับ Truth นี้มันสัมพันธ์กันอยู่ ความจริงของจักรวาลหรือของโลกกับตัวตนธรรมชาติของเรา ตัวจริงของเราเป็นอันเดียวกันเป็นคู่รักคู่สวาทกัน เป็นของกันและกัน

หนุมานนั้นไม่ได้หมายถึงลิง หมายถึง พลังภักดีต่อพระเจ้า เพราะตลอดทางหนุมานจะเต็มไปด้วยความภักดีต่อพระราม  เมื่อถูกเกลี้ยกล่อมให้เข้าข้างฝ่ายทศกัณฐ์ หนุมานแหวกอกให้ดู ข้างในมีแต่ภาพของพระรามกับสีดาเท่านั้น  ส่วนเห้งเจียในไซอิ๋วก็มีตอนแหวกอก เพราะว่าไซอิ๋วเลียนแบบรามายณะ ไซอิ๋วเป็นของพุทธล้วน ๆ เห้งเจียแหวกอกให้ดู เมื่อถูกเกลี้ยกล่อมจากปีศาจฝูงหนึ่ง ปรากฎว่าเห้งเจียไม่มีใจ เป็นจิตใจซึ่งว่างเปล่า  


จะเห็นว่าคมคายลึกซึ้งจนเราต้องยอมรับ ปราชญ์โบราณ นั่นเป็นปริศนาธรรมของพุทธ เรียก มหากาพย์ได้เพราะเป็นบทกวีของการเดินทางไกล หยิบเอาเรื่องพระถังซัมจั๋งเป็นตัวเอก

ในส่วนที่กล่าวถึงทศกัณฐ์ ท่านว่า
อหังการ์นี้เองได้ถูกชูขึ้นเป็นประเด็นหลักในรามายณะ คือตัวทศกัณฐ์ ว่าเป็นปัญหาของสันติสุขของโลก เราจะเห็นว่าบทบาทของทศกัณฐ์คือบทบาทของอหังการ์ เขาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งสิ้น

ต่อคำถามเกี่ยวกับมหากาพย์กับมนุษย์ ที่มีหลายข้อนั้น เราจะได้คำตอบที่ไขให้กระจ่างใจยิ่งขึ้น โดยเฉพาะผมที่เคยปฏิเสธความล้าสมัยของมหากาพย์ ที่ตลอดทั้งเรื่องมีแต่รบราฆ่าฟัน ใช้อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ เกินความจริง  แต่เมื่อมองเห็นว่าเป็นปริศนาธรรม มองอย่างลึกซึ้ง ผมจึงตระหนักว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมเองก็เป็นตัวการหนึ่งที่อาศัยบทบาทของทศกัณฐ์ สร้างมารีศ (ทศกัณฐ์หรือราวณะ, อหังการ์ ได้ส่งมารีศแปลงเป็นกวางทอง กวางตัวนั้นเป็นมายาภาพ ชื่อของไทยเราเพี้ยนไปเรียกมารีศ ที่จริงเรียก มารีจ เป็นคำเดียวกับ Mirage ภาพลวงตา เกิดภาพลวงตาขึ้นในชีวิตทำให้ สัตยะ กับ อาตมัน แยกกันอยู่ คือถูกลักขโมยไปอยู่ลงกา) ก่อตัวหนาเป็นอวิชชา ทั้งอหังการ์และอวิชชา ทำให้ผมไม่เหลือพื้นที่ให้สัจจะ

ผมเคยคิดเล่น ๆ ว่า  ผมเองมีลิ้นหัวใจเทียมอยู่สามลิ้น มีเพียงลิ้นเดียวเป็นของจริง ที่ถือกำเนิดมาพร้อมชีวิตในครรภ์มารดา  ทุกวันนี้ผมอยู่คนเดียว จากครอบครัวที่มีสี่คน พ่อแม่ ลูกสอง ผู้หญิงสามคนในชีวิตมีให้เห็นแต่ในภาพถ่าย... ทั้งนี้ผมได้ปล่อยปละละเลย ไม่เคยรู้สึก ไม่รู้ตัวว่าได้ทำอะไรไปบ้าง กระทั่งย่างเข้าขวบปีที่แล้ว... ที่ผมได้อยู่ลำพัง และได้มีเวลาคิด อ่าน หนังสือมากขึ้น...

สำหรับ เค้าขวัญวรรณกรรม เล่มนี้ เป็นหนังสือที่อ่านไม่รู้จบ อ่านซ้ำ อ่านเพิ่ม อ่านอย่างเข้าถึงรับรู้ด้วยจิตวิญญาณนั้นจะเป็นมรรคผลมากกว่า ซึ่งการเปิดใจรับรู้นั้นก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนเลย ไม่ว่าจะอ่านอะไรก็ตาม ทั้งนี้ ท่านเขมานันทะ ได้กล่าวถึงก้าวย่างที่สำคัญของมนุษยชาติไว้ว่าคือวิวัฒนนาการของภาษา กล่าวอีกแง่หนึ่งก็คือ ประดิษฐกรรมที่มีประสิทธิภาพร้ายแรงที่สุดของมนุษย์ก็คือภาษา

ส่วนภาษานั้นจะซับซ้อน ลุ่มลึก กระชับเรียบง่าย อย่างไร แฝงปริศนาธรรม หรือสัญลักษณ์มากมายแค่ไหน ผมอยากฝากให้หามาอ่านหรือเก็บไว้อ่าน  สำหรับในตอนหน้า ผมจะเลือก พี่น้องคารามาซอฟ สุดยอดวรรณกรรมคลาสสิคของ ฟีโอโดร์ ดอสโตเยสกี้ มาเล่าถึง หวังว่าลิ้นหัวใจของผมจะทำงานอย่างซื่อสัตย์และจงรักภักดีครับ.

บล็อกของ สวนหนังสือ

สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : ถอดรหัสอ่านเร็ว HI-SPEED READING ผู้แต่ง : ลุงไอน์สไตน์ พิมพ์ครั้งที่ 1 : สำนักพิมพ์บิสคิต ตุลาคม 2551
สวนหนังสือ
นายยืนยงชื่อหนังสือ           :           824ผู้เขียน               :           งามพรรณ เวชชาชีวะประเภท              :           นวนิยาย  พิมพ์ครั้งที่ 2 มีนาคม 2552จัดพิมพ์โดย        :      …
สวนหนังสือ
ป่านนี้แล้ว (พ.ศ. 2552) ใครไม่เคยได้ยินเสียงขู่ หรือคำร้องขอเชิงคุกคามให้ร่วมชุบชูจิตวิญญาณสีเขียว ให้ร่วมรณรงค์ลดภาวะโลกร้อน ให้ตระหนักในปัญหาวิกฤตอาหารถาวร โดยเฉพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย ฉันว่าคุณคงมัวปลีกวิเวกนานเกินไปแล้ว
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : ลิงหลอกเจ้า ลอกคราบวัตถุนิยมทางศาสนา ผู้เขียน : เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ผู้แปล : วีระ สมบูรณ์ และ พจนา จันทรสันติ จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งแรก : ตุลาคม พ.ศ.2528   เวลานี้เราต้องยอมรับเสียแล้วละว่า หนังสือธรรมะ เป็นหนังสือแนวสาระที่ติดอันดับขายดิบขายดี และมีทีท่าว่าจะคงกระแสความแรงอย่างต่อเนื่องอีกด้วย   เดี๋ยวนี้ ฉันเจอใครเข้า เขามักสนทนาประสาสะแบบปนธรรมะนิด ๆ มีบางคนเข้าขั้นหน่อย ก็เทศน์ได้ทุกสถานการณ์ อย่างนี้ก็มี ไม่แน่ว่าถ้าคนนิยมอ่านหนังสือธรรมะกันหนาตาเข้า สังคมไทยอาจแปรสภาพเป็นสังคมแห่งนักบวชนอกเครื่องแบบก็เป็นได้…
สวนหนังสือ
  เรียน คุณสุชาติ สวัสดิ์ศรี บรรณาธิการ ช่อการะเกด ที่นับถือฉันผู้ใช้นามแฝงว่า นายยืนยง คนเขียนคอลัมน์ สวนหนังสือ ในเว็บไซต์ประชาไท ที่มีบทความชื่อ ช่อการะเกด 45 เวลาช่วยให้อะไร ๆ ดีขึ้นจริงหรือ? อยู่ในรายการของบทความทั้งหมด ได้อ่าน กถาบรรณาธิการ ใน ช่อการะเกด 47 ฉบับวางแผงปัจจุบันแล้ว ทราบว่าคุณสุชาติ บรรณาธิการนิตยสารเรื่องสั้นช่อการะเกดได้ให้ความสนใจต่อบทความนี้ ฉันในนามของนายยืนยงจึงเขียนจดหมายแล้วจัดพิมพ์ส่งตู้ ป.ณ. 1143 เพื่อเล่าถึงความเป็นมาคร่าว ๆ…
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ :       เดอะซีเคร็ต ผู้เขียน :            รอนดา เบิร์นผู้แปล :             จิระนันท์ พิตรปรีชาพิมพ์ครั้งที่ 54 :  มีนาคม 2551จัดพิมพ์โดย :    สำนักพิมพ์อมรินทร์
สวนหนังสือ
ใกล้เปิดภาคเรียนใหม่ ปีการศึกษา 2552 แล้ว ภายใต้นโยบายเรียนฟรี 15 ปี ของรัฐบาลนี้ ถ้าใครได้ดูทีวีคงได้เห็นข่าวประชาสัมพันธ์ หรือได้เห็นสำนักข่าวไปสัมภาษณ์ผู้ปกครองที่ได้รับเงินอุดหนุนค่าเครื่องแบบนักเรียนแล้วไปเลือกซื้อชุดนักเรียนให้ลูก ๆ เป็นที่น่าชื่นอกชื่นใจสำหรับคนเป็นพ่อแม่ที่มีโอกาสเป็นครั้งแรกในการได้รับ "ของฟรี" จากรัฐบาล แม้จะไม่สามารถซื้อได้ครบทั้งชุดก็ตาม เช่น นักเรียนประถม 5 ได้รับเงินเพื่อการนี้คนละ 360 บาทต่อปี คือ 2 ภาคเรียน ๆ ละ 180 บาท บางคนอาจจะได้กางเกงนักเรียน 1 ตัว และ ถุงเท้า 1 คู่ ก็ยังดีฟะ.. กำขี้ดีกว่ากำตดไม่ใช่เรอะ
สวนหนังสือ
นายยืนยง   นิตยสารรายเดือน             :           ควน ป่า นา เล  4 เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ตั้งแต่ปลายมีนาคมจนถึงวันนี้ 9 เมษายน ฉันอาศัยทีวีและหนังสือพิมพ์ อันเป็นสื่อกระแสหลักที่นำเสนอข่าวสารที่เป็นกระแสหลัก คือ ข่าวการเมือง เหมือนกับทุกครั้งที่อุณหภูมิการเมืองเดือดขึ้น ฉันดูข่าวเกินพิกัด อ่านหนังสือพิมพ์จนแว่นมัวหมอง ตื่นระทึกไปกับทุกจังหวะก้าวย่างของมวลชนเสื้อแดง มีอารมณ์ร่วมกับภาคการเมืองส่วนกลางในฐานะผู้เสพข่าวสารเท่านั้นเองจริง ๆ เท่านั้นเองไม่มากกว่านั้น …
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : เราติดอยู่ในแนวรบเสียแล้ว แม่มัน! วรรณกรรมการเมืองรางวัลพานแว่นฟ้า ครั้งที่ 6 จัดพิมพ์โดย : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร พิมพ์ครั้งแรก : กันยายน 2551 ก่อนอื่นขอแจ้งข่าว เรื่องวรรณกรรมการเมือง รางวัลพานแว่นฟ้า ประจำปี 2552 นี้ สักเล็กน้อย งานนี้เป็นการจัดประกวดครั้งที่ 8 เปิดรับผลงานวรรณกรรมการเมือง 2 ประเภท คือ เรื่องสั้น และ บทกวี ตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ – 30 เมษายน 2552
สวนหนังสือ
นายยืนยง   ชื่อหนังสือ : เด็กเก็บว่าว The Kite Runner ผู้เขียน : ฮาเหล็ด โฮเซนี่ ผู้แปล : วิษณุฉัตร วิเศษสุวรรณภูมิ ประเภท : นวนิยาย พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม พ.ศ.2548 จัดพิมพ์โดย : สำนักพิมพ์ The One Publishing เด็กเก็บว่าว นวนิยายสัญชาติอเมริกัน-อัฟกัน ขนาดสี่ร้อยกว่าหน้า ที่โปรยปก มหัศจรรย์แห่งนวนิยายที่สร้างปรากฏการณ์ปากต่อปากจนติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ เล่มนี้ กล่าวถึงเรื่องราวของอะไรหรือ ทำไมผู้คนจึงให้ความสนใจกับมันมากมายนัก ฉันถามตัวเองก่อนจะหยิบมันมาอ่าน
สวนหนังสือ
นายยืนยง ชื่อหนังสือ : อ่าน (ไม่) เอาเรื่อง ผู้เขียน : ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์ ประเภท : วรรณกรรมวิจารณ์ พิมพ์ครั้งแรก พฤษภาคม 2545 จัดพิมพ์โดย : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ การตีความนัยยะศัพท์แสงทางวรรณกรรมจะว่าเป็นศิลปะแห่งการเข้าข้างตัวเอง ก็ถูกส่วนหนึ่ง ความนี้น่าจะเชื่อมโยงกับเรื่อง “รสนิยมส่วนตัว” หรือ อัตวิสัย หากมองในแง่ดี เราจะถือเป็นบ่อเกิดของกระบวนการสร้างสรรค์ได้ด้วย มิใช่หรือ
สวนหนังสือ
นายยืนยงเมื่อการอ่านประวัติศาสตร์ อันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น ฉันว่าควรมีการเขียนหนังสือแนะนำ (How to) เป็นขั้นเป็นตอนเลยจะดีกว่าไหม เพราะมันนอกจากจะปวดเศียรเวียนเกล้ากับผู้แต่งแต่ละท่านแล้ว (ผู้แต่งบางท่านก็ชี้ชัดลงไปเลย เจตนาจะเข้าข้างฝ่ายไหน แต่บางท่านเน้นวิเคราะห์วิจารณ์ โดยที่หากผู้อ่านมีความรู้เชิงประวัติศาสตร์น้อยกว่าหางอึ่งอย่างฉัน ต้องกลับไปลงทะเบียนเรียนวิชานี้อีกหลายเล่ม) ยังทำให้ใช้เวลาอย่างมหาศาลไปกับหนังสือที่เกี่ยวเนื่องกันอีกหลายเล่ม ไม่เป็นไร ๆ เราไม่ได้อ่านเพื่อพิพากษาใครเป็นถูกเป็นผิดมิใช่หรือ อ่านเพื่อได้อ่าน แบบกำปั้นทุบดินก็ไม่เสียหายอะไรนี่นา…