Skip to main content

เราจับรถไฟเช้าจากสถานีรถไฟเว้ (ก่าเว้) ไปยังเมืองดานังเพื่อโดยสารรถไปยังเมืองโฮยอานอีกต่อ อันที่จริงไม่จำเป็นต้องใช้เส้นทางนี้เพราะสามารถเดินทางจากเว้ตรงไปโฮยอานได้โดยรถทัวร์ เพียงแต่ว่า ข้อมูลจากโลนลี่ พลาเน็ต บอกเอาไว้ว่า

เส้นทางรถไฟสายเว้-ดานัง เป็นเส้นทางที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
เราจึงตัดสินใจลองของ!
ยามเช้า คนเริ่มพลุกพล่าน ผมกับยาดาเรียกแต็กซี่(ตามสำนวนคนเวียด)ไปก่าเว้


ก่าเว้ เป็นอาคารรูปทรงโคโลเนี่ยล ทาด้วยสีส้ม-เหลือง ผู้คนคึกคัก อุ้มลูกจูงหลานเดินทางไปทำธุระพบปะญาติมิตร นักท่องเที่ยวบางคนจับกลุ่มยืนสูบบุหรี่อยู่มุมหนึ่ง

เวียดนามยังไม่มีการรณรงค์ให้คนสูบบุหรี่เป็นที่เป็นทาง จึงไม่เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจนัก หากคนเวียดหรือนักท่องเที่ยวบางคนจะจุดบุหรี่ขึ้นมาสูบภายในอาคาร พ่นปุ๋ยๆ อย่างไม่คิดว่าจะไปทำร้ายใครหรือทำตัวลีบๆ เหนียมๆ ค่อยๆ ย่องออกไปสูบอย่างคนที่รู้สึกผิด

ภายในสถานีจะมีมุมกาแฟอร่อยๆ พอให้หลบมานั่งมองดูผู้คนและแสงแดดสายตกกระทบสีอันแสบสันของอาคารยุคอาณานิคม บาเก็ตสีน้ำตาลอ่อนอันโต ย้ำให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์ของยุคสมัยที่ผ่านมาได้อย่างไม่ต้องบรรยาย

รถไฟดีเลย์ เป็นปกติ
...

รถไฟเป็นเส้นทางคมนาคมที่นิยมในเวียดนาม ค่าโดยสารจากเว้-ดานัง ราคา 33.000 ดอง/คน ใช้เวลาจาก 07.00 น.-11.00 น. เอ่อ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่น่าจะตรงเวลาครับ เสียงหวูดเตือนและเจ้าหน้าที่เข้าโบกธงสีแดง ผู้คนเริ่มทยอยกันขึ้นรถ อุ้มลูกจูงหลาน แบกของ เบียดเสียดเพื่อให้ได้ขึ้นก่อน ไม่มีการเข้าแถว ใครมาก่อนหรือหลังไม่เกี่ยว อย่าได้ช้า!

เสียงสถานีวิทยุประชาชนเวียดนามดังขึ้นจากลำโพงที่ฝังอยู่ในผนังรถไฟ ผมยกกระเป๋าวางไว้บนชั้นวางของ ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเลขที่นั่งให้เสียเวลาครับ ที่ไหนว่าง นั่งที่นั่นได้เลย รถไฟออกจากตัวเมืองเว้ ข้ามสะพานรถไฟดรังเวียง เหนือแม่น้ำหอม บรรยากาศชานเมืองเริ่มเปลี่ยนไปสู่ทัศนียภาพแบบชนบท มองเห็นชาวนาใช้จอบสับดินเพื่อปลูกข้าวรอบใหม่

ทุกครั้งที่รถหยุดจะมีเด็กมาขายขนมและน้ำ หากขายขนมไม่ได้แกจะขอขวดน้ำพลาสติกแทน (มีวี่แววของคนทำมาหากินตั้งแต่เด็ก)

ขนมเวียดเป็นข้าวเหนียวหน้ามะพร้าวห่ออยู่ในใบตอง ไม่ใช่ใบตองกล้วยนะครับ ลักษณะใบคล้ายใบตองตึง แต่ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า คุณลุงคนหนึ่งนั่งฝั่งตรงข้าม แกดึงมีดโกนหนวดมาโกนตั้งแต่คางลงไปถึงคอ โกนมันตรงที่นั่งนั่นแหละ ไม่ต้องไปห้องน้ำให้เสียเวลา

เราเริ่มถ่ายรูปอย่างไม่บันยะบันยัง
...

ทางรถไฟขนานไปตามฝั่งทะเล ทิวเขาสีเทาซ้อนเป็นฉากหลังแสงแดดระยิบสลับกับต้นไม้สีเขียวคราม บ้านเรือนตั้งเสาสูงเป็นกลุ่ม ขอบคันนาถูกคั่นด้วยถนน มองเห็นชาวประมงออกเรือลอยอยู่ในทะเลสีเงิน

เมืองหลังโกว ตั้งอยู่บนชายฝั่งติดเวิ้งอ่าวทะเลตะวันออกและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว รัฐบาลเวียดนามสร้างสะพานปูนยาวเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่กับทะเล ตัวเมืองตั้งอยู่บนเกาะมองเห็นชายหาดสีขาวล้อมรอบหมู่บ้านเอาไว้

คุณป้าใจดีโพกผ้ามีรอยยิ้มเต็มอิ่มกับนักท่องเที่ยวอย่างเรา วิ่งไปหน้าต่างช่องนั้นช่องนี้ดูวุ่นวาย คุณครูอนุบาลคนหนึ่ง เธอเดินทางไปนาตรังบ้านเกิด แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้เราอย่างเต็มใจ เมื่อรู้ว่าเราจะลงที่ดานัง เธอชวนให้เราไปเที่ยวที่บ้านของเธอด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า
“นาตรังอาจจะสวยน้อยกว่าโฮยอาน แต่สวยกว่าดานังแน่ๆ”
คุณครูยิ้มอ่อนโยน สมกับที่เป็นแม่พิมพ์ของชาติ



รถไฟเข้าสถานีดานังยามเที่ยงวัน จนท้องที่เราหิ้วมาตั้งแต่เช้าเริ่มทักท้วง ยาดาเริ่มสนิทกับครูอนุบาลและสัญญาว่าจะไปเที่ยวทันทีหากมีโอกาส (หลายคนคงเคยใช้คำนี้)ก่อนลงจากรถ คุณลุงโกนหนวดแกฝากขนมข้าวเหนียวหน้ามะพร้าวให้เรา 2 ห่อ

เราพยายามปฏิเสธ แต่แกคะยั้นคะยอจนเราต้องรับ
 “เอ่อ สภาพเราน่าสงสารขนาดนั้นหรือเปล่า” ผมทีเล่นทีจริง ก่อนมองดูตัวเอง
 “...” ยาดายักไหล่เป็นทำนอง คิดมากว่ะ! ก่อนแบ็กแพ็กขึ้นไหล่ เดินเข้าร้านข้าว

...

หลังจากอิ่มท้อง ก่อนจะเดินออก ลูกชายเจ้าของร้านวิ่งออกมาจากด้านหลัง วางหมากฝรั่งบับเบิล กัมพ์ สีเขียว (เมดอินไทยแลนด์) ให้เราคนละอัน พูดเป็นภาษาเวียดนาม ที่เราแปลเอาจากกริยาท่าทางว่า “เอาไว้กินระหว่างทาง”
 “...” !!!

ผมเก็บมันเอาไว้จนวันนี้

 

20080612 1
รถไฟเวียดนามสีเขียวไข่กา
20080612 2
ภาพนี้แชะเพียงวินาทีครับ
20080612 3
เจ้าหน้าที่การรถไฟ จิบกาเฝ่ ยามเช้า
20080612 4
ทิวเขากลางทะเลตะวันออก
20080612 5
หลังโก เมืองท่องเที่ยวที่น่าหลงใหล (เสียดายไม่ได้แวะครับ)
20080612 6
คุณลุงโผล่หน้ามาถ่ายรูปเอาไว้ หลังโกนหนวดเสียเรี่ยม
20080612 7
เลียบผา ดูฝั่งทะเลตะวันออก
20080612 8
รับอากาศบริสุทธิ์
20080612 9
หลับ!!
20080612 10
คุณยายผู้อารี

 

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อยู่ดาก้าเพียง 2 วัน มันถูกส่งขึ้นดอยแดนดงป่า อีกแล้ว (ตรงนี้เพื่อนผมอุทธรณ์ว่า เหมือนอยู่เมืองไทยไม่มีผิด กำ) “ต้องไปเมืองอะไรครับ” เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดการถาม ‘จิตตะกอง’ “โห โหดน๊า” นั่นหมายถึงคำปลอบโยน
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
อีกครั้งที่ ‘เพื่อนผม' มันไปสังเกตุการณ์การเลือกตั้งในบังคลาเทศ (แล้วผมก็เอามาเขียน 555) (จริงๆ มันไปเมื่อนานมาแล้วสักครึ่งปีเห็นจะได้)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็นก่อนออกจากเปียงหลวง คือ ทิวเขาลูกนั้นในสายหมอกโอบอ้อมกับรอยยิ้มอิ่มบุญของคนไต งานปอย-ส่างลองสิ้นสุด พร้อมกับคอนเสริ์ตทิ้งท้ายที่เล่นกันค่อนรุ่ง ความรื่นเริงของคนหนุ่มสาวและส่างลองที่พร้อมจะเข้าสู่โลกแห่งธรรม
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ผมคิดว่าโครงใบหน้าของคนไตดูสวยดี โดยเฉพาะ ,ผู้หญิง ถึงแม้ว่า วันนี้ พวกเธอหลายคนจะต้องออกไปหางานทำนอกหมู่บ้าน , สิ่งที่มากกว่านั้น คือ ความรักและแรงศรัทธาในการร่วมงานบุญ ,และรอยยิ้มของพวกเธอ
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ศูนย์พักรอกุงจ่อ คือ พื้นที่ของผู้หนีภัยการสู้รบจากการปราบปรามอย่างรุนแรงของรัฐบาลทหารพม่า นับจากปี 2545 ชาวไต(ไทใหญ่)ร่วมหนึ่งพันคน เดินเท้าเข้าประเทศไทยทางด่านหลักแต่ง...!!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
พ่อส้านและส่างลอง เป็นภาพที่คู่กัน ส่างลองอยู่ที่ไหน พ่อส้านจะอยู่ที่นั่น แต่ละคน แต่ละคู่ ต่างมีลีลาที่แตกต่างกันออกไป ... เชื่อกันว่า ได้บุญใหญ่ ส่างลองในวันนี้จะเป็นพ่อส้านที่ดีในวันหน้า ทั้งนี้ ตามความสมัครใจ เช้า ขี่คอแห่ส่างลองไปตามวัด บ่ายแก่ได้พัก กลางคืนนอนเฝ้าส่างลองหลังซุ้ม ครบ 5 วัน เชื่อกันว่า ได้ขึ้นสวรรค์ !!! ดูลีลาของพวกเขาสิครับ .....
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
บริเวณสนามฟุตบอล โรงเรียนบ้านเปียงหลวงเต็มไปด้วนสีสัน สีสันงานบุญซุ้มส่างลองทั้ง 107 ซุ้มกระจายอยู่โดยรอบสนามฟุตบอล เวทีดนตรีใหญ่หันหน้าประชันกับเวทีลิเกไทใหญ่หรือ "จ๊าดไต" เวทีใหญ่เล่นดนตรีทันสมัย โครงสร้างเวทีทำด้วยแกนเหล็กประกบเสาสูงราวเมตรครึ่ง ,ส่วนเวทีจ๊าดไตทำจากโครงไม้ไผ่ทั้งหลัง ปูพื้นด้วยแผ่นไม้กระดาน ฝาด้านหลังทำด้วยใบตองตึงสีน้ำตาลแห้งเก่าทะลุมองเห็นด้านใน ,วงดนตรีเครื่องสายดีดสีตีเป่าครบ ,นางรำแต่งหน้าทาปาก พันคอด้วยผ้าแถบมันเลื่อม ด้านตรงข้ามแดนเซอร์ชาวดอยวิ่งกระจายออกมาหน้าเวทีใหญ่
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีดโกนด้ามใหม่ สีดำสนิท บรรจงกรีดลงไปตามไรผมแต่ละเส้น ส่างลองทุกคนรู้ดีว่า พิธีกรรมต่อจากนี้ไปพวกเขาจะต้องใช้ความอดทนมากแค่ไหนกว่าผมจะหมดศีรษะ บางคนใบหน้าเหยเก บางคนถึงกับร้องไห้ จนพระพี่เลี้ยงและพ่อแม่ต้องหยุดใบมีดเอาไว้ก่อนแล้วตักน้ำส้มป่อยราดหัว ฟอกด้วยยาสระผมแล้วเริ่มโกน โกนจนหมดศีรษะ !!!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
รถตู้กลางเก่ากลางใหม่ของบริษัทดาวทองขนส่ง จำกัด ออกจากสถานีช้างเผือก 10.30 น. หนุ่มใหญ่วัย 40 เศษ ไว้เคราบางๆและสวมแว่นตาดำตลอดเวลาซิ่งเจ้าเพื่อนยากปุเลงไปตามสันเขาน้อยใหญ่บนเส้นทางเชียงใหม่-เปียงหลวง 161 กิโลเมตร แดดฤดูร้อนจัดจ้านขับให้ดอกหางนกยูงสีแดงข้างทางสดเข้ม ออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ผ่านอำเภอเชียงดาวถึงแยกเมืองงาย เลี้ยวซ้ายไปตามถนนสายแม่จา-เปียงหลวง ก่อนที่เส้นทางจะไต่ไปตามสันเขาคดเคี้ยว หนุ่มนักซิ่งของเราจะเตือนผู้โดยสารผ่านน้ำเสียงหนักแน่นว่า
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
... ผู้เฒ่าหญิงชายทั้งในชุดห่มขาวและชุดลำลองทั่วไป ต่อแถว รอพระลงจากกุฏิรับบิณฑบาตร สายหมอกฤดูร้อนห่มคลุมจางๆ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ดูเลือนลางกึ่งจริงกึ่งฝัน งานฉลองพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ตื้อฯ ที่บ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม มีศาสนิกชนผู้ศรัทธาเนืองแน่นเดินทางมาจากทุกสารทิศงานครั้งนี้เป็นบุญใหญ่ที่มีการเฉลิมฉลองถึง 15 วัน (1-15 พ.ค. 52) ภายในงานเปิดโรงทานโดยผู้มีจิตศรัทธาจะทำอาหารมาเลี้ยงผู้ร่วมงานบุญโดยไม่คิดสตางค์
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์