Skip to main content

สถานีรถไฟดานังติดแอร์คอนดิชันเย็นฉ่ำ


แดดร้อน ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจพร้อมท่าเรือขนาดใหญ่ ยาดาเดินแหวกผู้คนออกมาทางตามชานชาลา ช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่หยุดพักผ่อน ประตูใหญ่จากชานชาลาปิด เราแทรกตัวออกมาตามบานพับของประตูเหล็กชนิดยืดได้หดได้


บริเวณก่าดานังเต็มไปด้วยรถแท็กซี่และมอเตอร์ไบค์(รับจ้าง) แท็กซี่มิเตอร์ที่เวียดนามมี 2 แบบ คือ แท็กซี่ของรัฐและแท็กซี่อิสระ สังเกตุได้จากสภาพรถและบุคลิกภาพของคนขับรถ ทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยวอย่างเราออกมา (อย่างไม่รู้ว่าจะเริ่มไปไหนอย่างไรดี) แท็กซี่กลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามาสอบถามและเสนอราคาอย่างไม่ปรานีปราศรัย


เราชะงักกึกและออกจะอึ้งเล็กๆ


เมื่อรู้ว่าเราต้องการไปโฮยอาน แท็กซี่นายหนึ่งเสนอให้เราเหมารถของแกทันที แกบอกว่า ระยะทางจากดานัง-โฮยอาน เหมารถไปไม่เกิน 1 ชั่วโมง ราคานี้อยู่ที่ 130.000 ดอง


บางครั้งคนเรามักจะจำเรื่องเลวร้ายมากกว่าเรื่องดีดี ด้วยบุคลิกภาพของแท็กซี่อิสระผู้นี้และความไม่รู้ข้อมูลของนักเดินทางแบบแบ็กแพ็กเกอร์อย่างเรา ทำให้เราตัดสินใจจับรถแท็กซี่ของรัฐไปสถานีขนส่งเพื่อต่อรถเมล์มากกว่าจะเหมารถ


ดานังเป็นเมืองท่าทางเศรษฐกิจ เต็มไปด้วยตึกรามหรูหราคล้ายๆ กับถนนสีลมบ้านเรา เลียบเลาะไปตามชายฝั่งทะเล เรามองเห็นเรือกระด้งลอยลำเหมือนที่เห็นในหนังสือท่องเที่ยว รถกับการจราจรที่ดูวุ่นวายบอกถึงความเป็นเมืองท่าเศรษฐกิจได้อย่างเห็นภาพพร้อมๆ กับ คำกล่าวที่แว่วจากเพื่อนผู้หวังดีว่า “ดานังเป็นแหล่งชุมนุมของนักล้วง”


ผมคิดถึง ป้ายเตือนให้ระวังกระเป๋าสตางค์บริเวณอนุเสาวรีย์ชัยภูมิ


สถานีขนส่งดานังใหญ่พอๆ กับหมอชิต แต่มีรถและกลุ่มอาคารอำนวยการน้อยกว่า เรากำลังคิดว่าจะเข้าโฮยอานค่ำสักหน่อย ไหนๆ ก็มีโอกาสมาถึงเมืองท่าแห่งนี้แล้วก็น่าจะได้ถ่ายรูปกับเรือกระด้งเสียหน่อย


เราแบกกระเป๋าเข้าไปสอบถามตารางเวลารถทัวร์ไปโฮยอานเที่ยวสุดท้าย เอ่อ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เราพูด เจ้าหน้าที่สถานีต่างส่ายหน้า เมื่อเราพยายามถาม โบกมือเป็นเชิงว่า คุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่มีใครคุยกะเรารู้เรื่อง จนเราเหวอ !


เอาไงดีกับชีวิต

หรือว่าไปโฮยอานเลย” เพราะจะมีรถออกในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ยาดาเสนอ

ผมเห็นดีด้วยเหตุผลเข้าข้างตัวเองเล็กน้อยว่า ดานัง เจริญเกินไป อิอิ


สุดท้าย เราอยู่บนรถไปโฮยอานจนได้


รถเมล์ดานัง-โฮยอาน ใหญ่กว่ามินิบัสคันเขียว(แข่งตาย) ในเมืองไทยสักเล็กน้อย เป็นรถเมล์ขนาดกลางและจอดรับทุกคนด้วยไมตรีจิต กระเป๋ารถเป็นผู้ชายผิวขาว รูปลักษณ์คล้ายคนจีน ตาหยีและมีหนวดแหลมเหนือริมฝีปากบาง ใส่เสื้อเชิ้ตมอมอกับกางสแล็กเทาซีดและรองเท้าแตะหนังสีน้ำตาล รถเลี้ยวออกจากสถานีไปอยู่บนถนน ทะยานไปข้างหน้าอย่างผู้ชำนาญทาง


ผู้โดยสารชาวเวียดนามขนข้าวขนของขึ้นมาบนรถอย่างทุลักทุเล คนหนึ่งหิ้วจักรยานขึ้นมาหลังรถวางพิงไว้ข้างหน้าต่าง พนักงานเดินตั๋วอีกคนเดินมาเก็บเงิน เค้าขอเราในอัตรา 20.000 ดอง

ราคานี้สำหรับนักท่องเที่ยวครับ

ราคาจริงจะอยู่ที่ 8.000-10.000 ดอง ตามระยะทาง

ผมแอบเห็นผู้หญิงที่มาเก็บสตางค์แอบส่งเงินให้กระเป๋ารถผู้ชาย


แดดร้อนกระจายเข้ามาตามหน้าต่าง รถเริ่มวิ่งออกชานเมือง ฝุ่นกระจายคลุ้งและเส้นทางเริ่มขรุขระ 2 เลน พอสวนกันได้แต่ถึงกระนั้น รถเมล์คันนั้นยังคงวิ่งคร่อมเลน


มีเรื่องน่าแปลกใจสำหรับการจราจรของเวียดนาม เป็นที่รับรู้กันว่า รถยนต์ที่นี่ใช้พวงมาลัยขวาและชอบวิ่งคร่อมเลน หากมองเห็นรถมอเตอร์ไบก์(ไซค์)เจ้าเมล์ด่วนจะบีบแตรไล่ให้ชิดขวา ก่อนจะวิ่งคร่อมเลนอยู่อย่างนั้นหรือหากเจอรถสวนทางมาจะใช้ระบบวัดใจ


ใครมาเร็วกว่า อีกคันต้องหลบไป

เล่นเอาหัวใจผู้โดยสารอย่างเราเหลือแค่สองนิ้ว

รถวิ่งมาสักระยะ เด็กหนุ่มแต่งกายสีเขียว 5 คนในชุดทหารเต็มยศขึ้นมาบนรถ 3 คนในจำนวนนั้น เลียบๆ เคียงๆ ว่าเรา 2 คน มาจากประเทศอะไร

ไท๊แลง” เขาส่งเสียงสูงก่อนจะยกนิ้วโป้งให้เราอย่างชื่นชม

เรายิ้มรับ อย่างไม่เข้าใจเหมือนกันว่า แกชื่นชมอะไร


เมื่อความสนิทสนมเดินทางมาได้ถึงจุด ผมเลียบเคียงกลับไปว่า พวกเขาเป็นทหารหรือตำรวจ เขาหันมาจ้องหน้าผมด้วยใบหน้าขรึมๆ

ตายละวา ก_พูดไรผิดไปหว่า”

เราไม่ใช่ทหารหรือตำรวจ แต่เราเป็นนักรบของประชาชน”

 

รถเมล์พาเราไปจอดที่สถานีขนส่งโฮยอาน เป็นสถานีเล็กๆ สำหรับรถแล่นมาแล้วกลับทันทีมากกว่าจะเป็นสถานีจอด ข้างๆ มีเต๊นท์ผ้าใบสีน้ำเงินเป็นที่หลบแดดของมอเตอร์ไบก์(รับจ้าง) ที่คอยท่านักท่องเที่ยวอย่างเราอยู่แล้ว


สถานีฝุ่นคลุ้งเพราะเป็นฝุ่นดินแดง กระเป๋ารถบอกเราว่าถึงแล้วและให้เราต่อรถมอเตอร์ไบก์ไปโรงแรม หลังจากดูแผนที่และหาโรงแรมได้แล้ว ต่อรองราคากันนิดหน่อย ราคาจึงลงมาอยู่ที่ 10.000 ดอง ส่งถึงหน้าโรงแรม


คิดค่านู่นนี่สะระตะ เราจ่ายค่าเดินทางจากดานัง-โฮยอาน พอๆ กัน ไม่ว่าจะเหมารถแท็กซี่จากสถานีรถไฟหรือมาต่อรถเมล์ ห่างกันราวๆ 40.000 ดอง


แนะนำว่า หากต้องการเห็นชีวิตผู้คนให้มารถเมล์ครับ


โฮยอานเป็นเมืองเล็กๆ และสุดแสนจะโรแมนติก ริมแม่ฝั่งแม่น้ำทูโบน เราพักโรงแรมโฮยฮอง ในราคา 11 เหรียญ/คืน (ห้องเล็กนิดนึงแต่ทิวทัศน์ดีสุดๆ) อยู่ใกล้ตลาดและสะพานข้ามฝั่งแม่น้ำ กลางคืนจะมองเห็นแสงไฟจากเรือบ้านเป็นจุดๆ เต็มไปทั่วผืนน้ำสีดำสนิท


หลังจากเก็บของเราเริ่มตะลุยตลาดริมแม่น้ำที่เป็นสะพานปลา สดจากแม่น้ำ ของแท้และดั้งเดิมจะต้องมีกลิ่นปลาสดโชยมาตามลม เสียงแม่ค้าต่อรองราคาและจัดวางสินค้าดูวุ่นวาย มีตั้งแต่ของแห้งไปถึงผักสด ไข่ไก่ ลูกเป็ด และปลา ปลา ปลา ฯลฯ


บ้านเรือนของโฮยอานยังคงสภาพดั้งเดิมอย่างที่มันเคยเป็น ทั้งจั่ว ผนังสีเหลืองและบ้านเก่าแก่นับสิบหลังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว(เก็บเงิน) เหมือนกับว่า เราเดินอยู่ในหมู่บ้านคนจีนแบบที่เราเห็นในหนัง

 

หนังเรื่องไควเอ็ต อเมริกา ที่ใช้ฉากโฮยอานถ่ายทำ เริ่มต้นเรื่องด้วยการให้ตัวเอกไมเคิล เคน พูดว่า “หากคุณได้กลิ่นคาวปลา แสดงว่า คุณมาถึงเวียดนามแล้ว”


ยาดาบอกถึงโฮยอาน ประมาณนี้

 


 19_06_1

ธงชาติเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไปในเวียดนาม



19_06_2
รถลากจอดนิ่งสนิทในโลกยุคใหม่



19_06_3
โปสการ์ดภาพวาดฝีมือศิลปินชาวเวียดนามที่มีมากในโฮยอาน



19_06_4
รูปทรงบ้านเรือนที่ยังคงกลิ่นอายแห่งอดีต



19_06_5


19_06_6


19_06_7

 

 

19_06_8

โฮยอานยามราตรี น่ารัก



19_06_9
คุณยายชาวเวียดนาม งดงามในแสงสีขาว

 

 

 

บล็อกของ กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์

กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
นานหลายเดือนที่ผมกับยาดาวางแผนการเดินทางไปเวียดนาม ความจริงก็คือ เรามาเร่งหาข้อมูลเอาโค้งสุดท้ายก่อนจะถึงกำหนดเดินทางเพียงอาทิตย์เดียว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางเข้าสู่เวียดนามมาจากหลายทาง ทั้งจากเพื่อนที่เคยไปและไม่เคยไป (แต่มีคนรู้จักหรือมีเพื่อนเคยไป) ทั้งจากหนังสือและเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศรวมถึงโลนลี่ พลาเน็ต ฉบับเวียดนาม ที่ลงทุนไปหาซื้อมาตั้งแต่ 6 เดือน ก่อนวันออกเดินทาง (16 วัน ระหว่างวันที่ 3-18 เมษายน 51)ทำไมถึงเวียดนาม อย่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย คือ อยากไปว่ะ!
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
...เรือเล็กทะยานออกจากบ้านท่าตาฝั่ง แหวกสายน้ำเห็นเป็นแนวตามความเร็วของเครื่องยนต์ นกนางแอ่นหางลวดโผตัวอยู่เหนือผิวน้ำสีแดงขุ่น เดือนพฤษภาคม น้ำสาละวินจะเป็นสีแดงขุ่น เป็นไปตามระบบธรรมชาติของแม่น้ำสาละวินที่ถูกยกให้เป็นพื้นที่ของความหลากหลายโลกทั้งในแง่ของชีววิทยาและแง่งามทางวัฒนธรรมแม่น้ำสาละวินเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตสองฟากฝั่งน้ำมาอย่างยาวนาน ยาวนานมากพอที่จะสร้างสรรค์รูปแบบทางวัฒนธรรมที่สอดคล้องเป็นหนึ่งเดียวกับระบบทางนิเวศน์วิทยาชนเผ่าโบราณใช้สายน้ำสาละวินเป็นเส้นทางสัญจรติดต่อทำมาค้าขายกันมาตั้งแต่ครั้งอดีตอันรุ่งเรือง ตั้งหลักแหล่งเป็นชุมชนโบราณ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
..........‘พวกเรา’ มาถึงหมู่บ้านแม่สามแลบก่อนเที่ยงเล็กน้อยหลังจากที่ต้องผจญกับโค้งนับร้อยโค้งตลอดคืนบนเส้นทางจากกรุงเทพฯถึงตัวอำเภอแม่สะเรียงและจากตัวอำเภอแม่สะเรียงถึงหมู่บ้านแม่สามแลบ ระยะทางที่เหลือ คือ ถนนลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่นสีแดงและคันดินระหว่างหน้าผาที่ถล่มเป็นโพรงลึกตลอดเส้นทางจุดหมายของการเดินทาง คือ งานพิธีบวชป่าสาละวินเฉลิมพระเกียรติ ‘ในหลวงของเรา’ งานบวชป่าสาละวินเฉลิมพระเกียรติ (6-9 พ.ค. 51) ถูกจัดขึ้น 2 จุด จุดแรก คือ หมู่บ้านท่าตาฝั่ง จุดที่2 คือ หมู่บ้านแม่ดึ๊ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน การเดินทางไปยังจุดบวชป่าทั้ง 2 จุด จะต้องโดยสารเรือ จากหมู่บ้านแม่สามแลบ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ยามสายวันอาทิตย์ วันหยุดพักผ่อน สำหรับกลุ่มซ.โซ่อาสา กลุ่มอาสาสมัครจะมาสอนเด็กๆ ริมถนนราชดำเนิน ด้านข้างโรงแรมรัตนโกสินทร์......แผ่นกระดาษสีขาวโจทย์บวกลบเลขอย่างง่ายกับโยงคำผิดภาษาไทยได้รับการแจกจ่ายให้เด็กๆ ลูกๆ แม่ค้าพ่อค้าบริเวณนั้นได้ฝึกหัด ...โดยมีอาสาสมัคร กลุ่มซ.โซ่ อาสา เป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกสอน...เรียนเล่นและรอยยิ้มสนุกสนานกับขนมนมเนยเล็กๆ น้อยๆ ...ซ.โซ่ อาสา เป็นกลุ่มอาสาสมัครมีมาร่วมกันโดยไม่รู้จักกันมาก่อน เจอเพื่อนใหม่และทำความรู้จักกับกลุ่มครูปู่ http://blogazine.prachatai.com/user/ginnagan/post/101
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
1ตี 5 ครึ่งของวันศุกร์ที่ 25 สิงหาคม 2549 ท้องฟ้ากำลังจะเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว ชาวจิตอาสา (เกือบ) 20 ชีวิต นัดรวมพลกันหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ บทเริ่มต้นของการเดินทางรวมใจสร้างห้องสมุดดิน (25-27 ส.ค.49) กับกลุ่มรักษ์เขาชะเมา จ.ระยอง คนกวาดถนน รถเก็บขยะและแม่ค้าขายผัก นักเรียน พนักงานห้างและพนักงานออฟฟิศ ผู้บริหาร ครู-อาจารย์และนักการเมือง คือ ลมหายใจของกรุงเทพฯ (มหานครของเรา) กับการเริ่มต้นของชีวิตอีกครั้ง ผมไปถึงที่นัดหมาย 06.00 น. (ฮา)
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
ไม่มีของฟรีในโลก ออกจะเป็นวลีที่คุ้นเคยสำหรับคนในโลกยุคนี้ ยิ่งสถานการณ์ราคาน้ำมันแตะเพดานที่ 35 บาท (คาดการณ์ว่าน่าจะเร็วๆ นี้) ทำให้ผู้ประกอบการแท็กซี่ ขสมก. เรือคลองแสนแสบ เรียกว่า ขนส่งมวลชนแทบทุกประเภท ขยับแข้งขาขอขึ้นราคาค่าตัวกันถ้วนหน้ายุคข้าวยากหมากแพง คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องการให้งานการให้ในสวน สวนกระแสคำพูดข้างต้น .....ดอกไม้งามในสวนแห่งการให้ถูกจัดขึ้นบริเวณอุทยานเบญจสิริ ภายใต้นิยามที่ว่า “แล้วงานศิลปะแห่งการให้จะกลายเป็นดอกไม้ในสวน” ระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์-14 มีนาคม 2551 (mormor.org) เน้นการสร้างสรรค์แนวงานผ่านวิธีคิดของบุคคลในแวดวงแห่งการให้และศิลปินอาสา มากกว่า 100…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
แถบม่วงของกระหล่ำสีกลีบหยักของกล้วยไม้บางดอกดูแปลกตาดี
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
เสาร์วันหนึ่งกลางสวนรถไฟ กรุงเทพมหานคร ติดตลาดนัดสวนจตุจักรที่คนกรุงคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดีเพราะกลางเมืองใหญ่เช่นนี้จะมีสักกี่สถานที่ที่จะมีสีเขียวให้ได้สูดลมหายใจได้เต็มปอดกิ่งใบสีเขียวแก่จัดของต้นก้ามปูใหญ่ยื่นยาวแตกกิ่งก้านสาขาร่มครึ้มอยู่กลางสวน ดอกตะแบกสีม่วงร่วงเกลื่อนพื้นตัดกับสนามหญ้าสีเขียว เด็กผู้พิการทางสายตาจากโรงเรียนสอนคนตาบอด อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งโรงพยาบาลราชวิถีส่งเสียงเจี๊ยว รอเวลาที่จะได้ เฮละโลกลุ่มกิจกรรมอิสระเล็กในชื่อกลุ่ม Pay Forward นำเด็กที่มองไม่เห็นมาทำกิจกรรม แรลลี่เพื่อเด็กพิการทางสายตา เด็กๆ จำนวน 24 คน…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
1.ฉันปลูกต้นไม้วางปุ๋ยเคมีหวังหยั่งรากถึงกิ่งแก้ว2.เนิ่นนานมาแล้วที่จิตสำนึกผมสลายแตกดับพร้อมความดีงาม3.คุณอาจไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตเมื่อสี่เหลี่ยมรูปหนึ่งตามหาแผ่นดินตาย4.เขาแบ่งปันสีน้ำเงินแก่ผู้ยากไร้หวังลอยสู่ก้อนเมฆ5.ความหวานในทุนนิยมโรยด้วยงาดำตาดำๆ6.ลิ้มรสอำนาจมาหลายสมัยไม่เคยรู้จักพอเพียง คืออะไร7.ผมห่มคลุมแผ่นดินด้วยเงิน บารมีด้วยความชอบธรรม8.ผมไตร่ตรองถึงความซื่อสัตย์และพบเพียงความว่างเปล่าที่ไร้อำนาจ ขอบคุณ ‘โซไรด้า’ น้องที่แสนดี 
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 1.ดอกไม้มวลชนเดินขบวนเรียกร้องแบบเรียนประชาธิปไตย2.เหตุผลของบางคนหักล้างไม่ได้เมื่อเทียบกับกลีบใบของแผ่นดินที่ร่วงหล่น3.สีชมพูแต้มดวงหน้านกขมิ้นคือ ฝันอันเลือนลางของหนุ่มสาว4.ฉันหวังเห็นแผ่นดินสูงขึ้นด้วยความรักมิใช่ด้วยทรราชย์5.เราเรียกร้องด้วยเสียงเพลงขับไล่ความมืดดำบนถนนแห่งเสรีภาพ  6.ฉันเด็ดใบไม้จากราวป่าเก็บมาฝากสังคมเมือง7.ทุกอย่างเคลื่อนไหวด้วยพลังความดีงาม8.เมื่อฉันลอยตัวให้สูงขึ้นจากทุนนิยมจึงเห็นเวิ้งฟ้าสีฟ้าห่มคลุมเม็ดดิน9.เศษดินคือ บางอย่างที่เหมือนจะไร้ค่าทั้งที่ความจริงฉันก็มาจากสิ่งนี้10.…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
 ‘FREE TIBETAN’08.30 น. - 19 มีนาคม 2551อากาศหน้าสถานทูตจีน ริมถนนรัชดาร้อนสุดขีด พนักงานกทม.บนรถบรรทุกน้ำสีเขียวปล่อยน้ำออกจากสายพลาสติกกลมเทาพุ่งกระจายฟูฝอยเพื่อทำความสะอาดฟุตบาธตามปกติเวลาทำงาน ไล่เรื่อยมาจากแยกพระรามเก้า-อสมท.-ฟอร์จูน ทาวน์-แยกศักดิ์เสนา ก่อนจะหยุดกึกที่หน้าสถานฑูตจีนเพราะเห็นกลุ่มคน กลุ่มใหญ่ชูป้ายกระดาษ กางผืนธงชาติรูปร่างแปลกตา อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน“ประท้วงนี่หว่า” อย่างเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับเวลาทำงาน เขาขับรถผ่านไปไม่หันมามอง...ตำรวจนำกำลังมากั้นแผงเหล็กหน้าสถานฑูตตั้งแต่เช้าแล้ว แดดสายเริ่มทวีความร้อนสุดขีดขึ้นทุกขณะ…
กฤนกรรณ สุวรรณกาญจน์
มีสถานที่ใดบ้างในโลก ที่ทำให้เราคิดถึงได้อย่างจริงๆ จังๆ ,คิดถึงและต้องกลับไปอีกครั้ง หากไม่มีความทรงจำ ,ก็คงไม่มีอดีตและอนาคต หมู่บ้านแม่ดึ๊จึงเป็นหลายเหตุผลที่คนหลายคนควรจะทำความรู้จักหมู่บ้านแม่ดึ๊ ตำบลแม่คง อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน เพิ่งมีโรงเรียนและครูได้ไม่นานเดือน ,สำหรับคนกะเหรี่ยงที่นั่น โลกภายนอก คือ บางสิ่งที่ควรจะเรียนรู้...“นาย ,นายเคยเขียนแคนโต้เกี่ยวกับแม่ดึ๊เอาไว้ใช่หรือเปล่า” ผมออกปากกะน้องอย่างนั้น“ไมพี่ เขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ไปค่ายจิตอาสากับพี่นั่นแหละ”“เอ่อ ครือ..ผมคิดว่า เอ่อ...ผมอยากได้งานนายมาประกอบภาพว่ะ”ผม ‘เอ่อ’…