[บันทึกคำปราศรัย 'กษิต ภิรมย์' ถึง 'ฮุน เซน' ในการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อ 15 ต.ค. และ 27 ต.ค. 2551 โปรดอ่านเพื่อให้เห็น ‘วิสัยทัศน์' และ ‘ท่าที' ต่อประเทศเพื่อนบ้านของรัฐมนตรีผู้ซึ่ง ‘อภิสิทธิ์' ลงทุน 'อุ้ม']
โดย ทีมข่าวการเมือง ประชาไท
กษิต ภิรมย์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 22 ธันวาคม 2551 (ที่มา: Daylife.com/Reuters)
เส้นไหน โควตาใคร
กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กลายเป็นสายล่อฟ้า รัฐบาล ‘มาร์ค 1' เพราะข้อครหาว่าเป็นรัฐมนตรีโควตา ‘พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' จากบทบาทปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่ ‘เฟส 1 - 2549' และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘เฟส 2 - 2551'
โดยพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ซูฮกว่าอภิสิทธิ์ "แสดงความกล้าหาญอย่างหนึ่ง" ในการตั้งกษิตเป็นรัฐมนตรีเพราะ "นายกษิตกล้าที่จะแสดงถึงความถูกต้องอย่างชัดเจนที่จะปกป้องบ้านเมือง และยังเป็นทูตที่ประเทศต่างๆ ให้การยอมรับ"
พิภพยืนยันว่านี่ไม่ใช่โควตาพันธมิตรฯ "การที่คุณกษิตได้เป็นรัฐมนตรีนั้นอย่าคิดว่าพันธมิตรฯ ส่งไป คุณกษิตไม่ได้มีแผลอย่างคนในรัฐบาลบางคน ซึ่งเป็นการดีที่คุณกษิตเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และจะได้ไปชี้แจงกับต่างชาติว่า คุณทักษิณทำอะไรไว้กับประเทศไทยบ้าง ถ้าประชาธิปัตย์ตั้งคนดีเข้ามาบริหารประเทศ เราก็สนับสนุน แต่ถ้าไม่ดีเราก็ต้องคัดค้านแน่นอน"
เช่นเดียวกับ ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรี และผู้จัดการรัฐบาลก็ยืนยันว่าต้องแยกกัน กลุ่มพันธมิตรจริงคงไม่ใช่ แต่อาจจะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยไปทำกิจกรรมทางการเมืองในเวทีของพันธมิตร
โดยเส้นทางของกษิตหลังเกษียณอายุราชการในปี 2547 ได้มาช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเงา ในเดือนสิงหาคมปี 2549 ได้เลื่อนการบรรจุชื่อเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในกลางเดือนตุลาคม แต่เกิดรัฐประหารเสียก่อน
อดีตของกษิต เคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำอินโดนีเซีย เยอรมนี ญี่ปุ่น ก่อนเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเคยเผยว่าในปี 2544 เคยช่วยงานรัฐบาลไทยรักไทยที่โอนเขามาทำงานในสำนักนายกรัฐมนตรี เคยชื่นชมทักษิณ ก่อนที่จะปวารณาตัวว่าต้องโค่นล้มทักษิณให้ได้ และเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยตลอด
ทัศนคติที่เป็นอันตราย
กษิตถูกวิจารณ์ว่ามี ‘ทัศนคติที่เป็นอันตราย' จากกรณีการแสดงความเห็นเรื่องพันธมิตรฯ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อ 19 ธ.ค. 51 ซึ่งเรื่องนี้หลายฝ่ายทั้งในไทยและต่างประเทศเห็นว่าเป็นความผิดเทียบชั้นการก่อการร้ายสากล แต่นักการทูตอย่างกษิตเห็นเป็นเรื่องสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะ ทำให้ภายหลังเจ้าตัวออกมาปฏิเสธและว่าสื่อมวลชนต่างประเทศตีความหมายผิดและมีเจตนาที่ไม่ดี
นอกจากนี้ เป็นที่เกรงกันว่าบุคลิกและภาพลักษณ์ของกษิตจะทำให้ไทยมีปัญหากับเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกับกัมพูชา เพราะช่วงที่มีการชุมนุมของพันธมิตรฯ มีการพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชาด้านปราสาทพระวิหารอยู่หลายหน แน่นอน กษิต บนเวทีปราศรัยย่อมไม่พลาดที่จะพาดพิงถึงกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้วยถ้อยคำเรียกขานอย่างรุนแรง ทั้ง "เด็กเมื่อวานซืน" "นักเลงข้างรั้วประเทศไทย" "มึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน" หรือ "คนบ้าๆ บอๆ" และ "กุ๊ยแบบฮุน เซน" ซึ่งพลั้งปากออกมาสมัยออกรายการคมชัดลึก ช่องเนชั่นชาแนลเมื่อ 14 ต.ค. 51
แต่เมื่อเขารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และไปเยือนกรุงพนมเปญ เมื่อ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา เขาก็ยกย่องฮุน เซนเป็น "ผู้หลักผู้ใหญ่" เป็น "ผู้อาวุโส" ในอาเซียน! จับไม้จับมือกับคนที่ตัวเองเคยหยามว่าเป็นกุ๊ย เป็นนักเลงข้างรั้วประเทศไทยได้
"ผมคิดว่าท่านฮุนเซน ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ครับ และท่านได้พูดกับผมประโยคแรกว่า เราเคยรู้จักกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่พอ แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในแวดวงการเมืองของอาเซียน คิดว่าท่าน (สมเด็จฮุนเซน) ก็คงจะมองไปข้างหน้าในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผมคิดว่าท่านไม่ใช่เป็นเด็กตอแย และผมคิดว่าพวกเรา (ผู้สื่อข่าว) ก็อย่าทำหน้าที่หรือพูดตอแยนะครับ เราควรจะรุดหน้าและช่วยกันสร้างสรรค์ ให้ความสัมพันธ์เดินไปข้างหน้าได้"
นายกฯ สองมาตรฐาน
แม้พฤติกรรมของกษิตเข้าข่ายมี ‘ทัศนคติที่อันตราย' และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเองก็ให้แนวทางการทำงานของรัฐมนตรีไว้ 9 ข้อ ในหลายๆ ข้อนั้นให้รัฐมนตรีปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ไม่อยากให้มีเหตุการณ์นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นไม่ศรัทธา รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเหนือประชาชนในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย และความรับผิดชอบทางการเมืองมีมาตรฐานสูงกว่ากฎหมาย
ที่สำคัญอภิสิทธิ์ยังบอกด้วยว่าหากการดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย หรือจะไม่ได้กระทำความผิดก็ขอให้รัฐมนตรีทุกคนรวมทั้งนายกรัฐมนตรีต้องยึดถือว่าประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ของรัฐบาล
แต่อภิสิทธิ์ก็ทำลายมาตรฐานที่เขาตั้งไว้เอง โดยเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 51 เขาบอกว่าการให้สัมภาษณ์ของนายกษิตที่ปรากฏออกไปและอ้างว่าเป็นปัญหากันอยู่นั้นก็เกิดก่อนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี หลังจากนี้ไปจุดยืนของรัฐบาลและรัฐมนตรีก็จะเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไป และไม่มีแนวทางอื่น
ดังนั้น อภิสิทธิ์จึงเลี่ยงไม่พ้นข้อครหาเรื่องเลือกปฏิบัติ-สองมาตรฐาน โดยก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์เองก็เล่นงานจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพลังประชาชนด้วยข้อหามี "ทัศนคติที่เป็นอันตราย"
โดยจักรภพถูกอภิสิทธิ์เรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบกับเนื้อหาและถ้อยคำที่จักรภพไปบรรยายทางวิชาการ ซึ่งมีเนื้อหาย้อนไปไกลถึงสมัยสุโขทัยและอยุธยาเปรียบเทียบกับสภาพสังคมปัจจุบันไม่ต่างจากคำบรรยายของนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ในชั้นเรียนสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งเรื่องนี้อภิสิทธิ์ให้ ศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรค ลงทุนแปลคำบรรยายของจักรภพ นอกจากนี้ยังได้แรงกระเพื่อมจากการปั่นของพันธมิตรฯ จนจักรภพตัดสินใจพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
ขณะที่กษิตทำความผิดซึ่งหน้า มีส่วนร่วมและรู้เห็นในการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไปร่วมปราศรัยในพื้นที่ที่ยึดมาจากราชการ ทั้งในทำเนียบรัฐบาลและที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีการปราศรัยยั่วยุประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด แถมยังให้การรับสารภาพ เพราะให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจในวีรกรรมปิดสนามบินสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะของตน! กษิตได้รับการยกเว้นและได้รับโอกาสในการทำงานจากอภิสิทธิ์
ทั้งสองรายเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งเหมือนกัน รายหนึ่งอภิสิทธิ์กดดันให้ลาออก ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ถือเป็นความรับผิดชอบ อภิสิทธิ์จึงใช้ไม้บรรทัดกับกษิตอย่างหนึ่ง ใช้กับจักรภพอีกอย่างหนึ่ง
ผู้ตัดสินชื่อ ‘เวลา'
กษิตยังยืนยันการที่เขาไปร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ เป็นสิ่งถูกต้อง เขากล่าวว่า "พันธมิตรฯ ได้ทำผิดอะไรเหรอครับ หมายความว่าไม่ได้เป็นองค์การโจรหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นการแสดงออกซึ่งการเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีแม่บ้านถึงหกสิบ-เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม เรียกร้องธรรมาภิบาลในสังคม ต่อต้านคอรัปชั่น" ... "ผมคิดว่าการที่จะไปข้องแวะกับพันธมิตรฯ ไม่ใช่เป็นเรื่องบาป"
ทั้งหมดนี้คงหนีไม่พ้นที่จะให้ ‘กาลเวลา' เป็นผู้ตัดสิน
และนี่เป็นส่วนหนึ่งของบทบันทึกเพื่อรอการตัดสินนั้น โดยเป็นบันทึกการปราศรัยของ ‘กษิต ภิรมย์' ถึง ‘ฮุน เซน' เป็นการปราศรัยต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เวทีทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 15 ต.ค. และ 27 ต.ค. 2551 โปรดอ่านเพื่อให้เห็น ‘วิสัยทัศน์' และนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ‘ท่าที' ต่อประเทศเพื่อนบ้านของรัฐมนตรี ‘กษิต ภิรมย์' ผู้นี้ ซึ่ง ‘อภิสิทธิ์' แสดงความ ‘ตาถึง' รับมานั่งแท่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และลืมมาตรฐานที่ตนตั้งไว้เสียสิ้น เพื่ออุ้ม ‘กษิต' ทำงานต่อ...
000
(1)
15 ตุลาคม 2551
กษิต ภิรมย์ ปราศรัยที่เวทีพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล
(ที่มา: mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_151008_H.wmv)
"อดคิดไม่ได้ว่า ความผิดพลาดของผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายการเมือง หรือนายพล ผลกระทบก็คือศักดิ์ศรีของประเทศไทยที่ปล่อยให้ฮุน เซน เด็กเมื่อวานซืน นักเลงข้างรั้วประเทศไทย สามารถที่จะมายื่นคำขาดให้กับประเทศไทยได้ ต้องถามว่ามึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน"
สวัสดีครับท่านด็อกเตอร์นักรบกู้ชาติทั้งหลาย
วันนี้ไม่พูดเรื่องเขมรคงจะเชยมากๆ และเป็นการที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ก่อนอื่นขอต่างจากคุณวีระ (นายวีระ สมความคิด) ก็ขอชมกองทัพบกเมื่อวานนี้ ที่ได้มีการประชุมกันและประกาศอย่างแน่ชัดให้พวกเราสบายใจว่า ยึดมั่นใจพื้นที่ของแผ่นดินไทย ไม่ถอย และพร้อมที่จะปกป้องแผ่นดินไทย และ ณ วันนี้ กองทัพภาคที่ 2 ก็ได้แสดงฝีมือให้เห็นว่าปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างแน่นอน ขอให้ช่วยกันปรบมือให้กับกองทัพสักนิดหนึ่ง
แต่อดคิดไม่ได้ว่า ความผิดพลาดของผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายการเมือง หรือนายพล ผลกระทบก็คือศักดิ์ศรีของประเทศไทยที่ปล่อยให้ฮุน เซน เด็กเมื่อวานซืน นักเลงข้างรั้วประเทศไทย สามารถที่จะมายื่นคำขาดให้กับประเทศไทยได้ ต้องถามว่ามึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน
แล้วก็ ผลอีกอันหนึ่งก็คือว่า จะเป็นตำรวจที่หน้ารัฐสภาก็ดี แล้วจะเป็นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชาก็ดี หรือประชาชนโดยทั่วๆ ไป เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ตัดสินใจที่ผิดแล้ว ชั้นผู้น้อย คนยากคนจน คนเดินบนท้องถนน ข้าราชการตำรวจทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้นที่จะเป็นคนที่สูญเสียชีวิต นี่ก็เป็นอุทาหรณ์เพื่อให้นักการเมืองที่มีอำนาจทำอะไรไปคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว ความยิ่งใหญ่ ความโลภของตัวเอง และไม่ได้คิดถึงชั้นผู้น้อย ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง
เพราะฉะนั้นก็มีจำเป็นที่จะต้องมีสังคมใหม่ที่มันโปร่งใส เราจะไม่มีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี หรือแม่ทัพนายกอง ไปทำอะไร ไปตกลงกับต่างประเทศ แล้วก็ผลก็ออกมาเหมือนกับว่าเราได้ขายดินแดน ได้ขายประเทศชาติ
นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องยึดมั่นและต้องต่อสู้กันต่อไปว่า ไอ้ความเฮงซวยของผู้นำประเทศที่ในอดีตที่ผ่านมาจะต้องไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกต่อไปนะครับ
ผมอยากจะมาคุยว่า แล้วทำไมฮุน เซนเขาถึงสามารถที่จะท้าทาย ก้าวร้าว และก็หยาบคาย แล้วก็หยามสังคมไทยได้ มันคงจะมี 6-7-8 เหตุผลด้วยกัน
ผมคิดว่าอันแรกเลยก็ฮุน เซนก็รบกับเรามา 20 - 30 ปี ตั้งแต่เขาเป็นเขมรแดง ตั้งแต่เขาเอาตัวเข้าไปอยู่กับเวียดนาม แล้วก็มารบราฆ่าฟันกับเรา แล้วเขาก็ไม่เป็นมิตรกับเรามาโดยตลอดเวลา อันนี้อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มันฝังอยู่เลือดเขา มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เพราะเขาเกิดมาต้องรบราฆ่าฟันกับฝ่ายไทย แล้วก็ไม่รักไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุผลอันหนึ่งอันใดที่สามารถจะทำอะไรให้ไทยขายหน้าได้ เขาก็จะกระทำ อาจจะเป็นเหตุผลอันหนึ่ง
ส่วนอันที่สอง อาจจะมีความบ้าๆ บอๆ เป็นขุนพลของกัมพูชาที่ไม่รู้จักคำว่าสันติภาพ ไม่รู้ว่าเจรจาคืออะไร จะต้องได้อย่างเดียวคืออยู่บนท่ามกลามความขัดแย้ง ก็อาจต้องแนะนำให้สหประชาชาติส่งหมอจิตแพทย์ไปรักษาฮุน เซน
แต่ว่าประเด็นที่สามที่มันน่าเป็นห่วงคือทำไมเขาถึงได้ทำเช่นนั้น เพราะว่าเขาอยากจะทวงสนธิสัญญา สิ่งที่ได้ตกลงกับคุณทักษิณกับคุณสมัคร คุณนพดล รวมทั้งคุณสมชายเพราะช่วงนั้นแกเป็นรองนายกรัฐมนตรีใน ครม. ด้วย รวมทั้งคุณสมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศแต่ก็อยู่ใน ครม.ชุดที่แล้ว
แล้วเมื่อเราได้ไปทำ Joint Communiqué แถลงการณ์ร่วมไปแล้วเกิดถูกบีบคั้นภายในประเทศ ก็อยากไปเลิกสัญญา ฮุน เซนก็คงเจ็บแค้นว่า เอ๊ะ ทำไมไม่ส่งมอบสิ่งที่ได้ตกลงกันไหว ไหนจะให้ดินแดนที่ติดกับปราสาทเขาพระวิหารประมาณ 4.5 ตารางกิโลเมตร แล้วไหนบอกว่าวันนี้ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ทำไมถึงจะมาบอกว่าเป็นดินแดนของไทย แต่ว่าตอนพูดกับสมัครก็ดี ตอนพูดกับทักษิณก็ดี ตอนพูดกับฮุน เซนหรือสมชายก็ดีในไม่กี่เดือนนี้ ก็บอกว่าส่วนนี้เป็นพื้นที่ทับซ้อนหรืออาจเป็นของเขมร เพราะมีแผนที่แนบไปด้วยกับ Joint Communiqué เพราะฉะนั้นเขาคงจะเจ็บแค้นและคงอยากจะทวงหนี้
คราวนี้มันจะมาทวงหนี้กับประเทศไทยไม่ได้ ใช่ไหมครับ เพราะนี่มันเป็นสมบัติของไทย
แต่ว่าเราจะต้องดำเนินการอย่างไม่ลดละ กับผู้ที่ได้ขายชาตินะครับ ทักษิณและสหายแล้วก็ลูกน้องทั้งหลาย อันนี้เราต้องไม่ลืม แล้วจะต้องดำเนินการอย่างลดละ และเราต้องช่วยกันให้ความสนับสนุนกับขบวนการยุติธรรมให้เขาเร่งทำงานและทำงานด้วยดี แล้วเอาพวกขายชาติไปติดคุกติดตารางให้ได้
ส่วนอีกประเด็นหนึ่งอาจจะเป็นเหตุผลข้อที่ 5 ว่าทำไมฮุน เซนถึงเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่อยากจะคิดร้ายนะฮะ แต่ก็เป็นข้อคิดอีกอันหนึ่งว่า เขาก็เป็นลูกน้องของเวียดนาม พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และอาจจะได้มีลูกพี่บอกว่าให้มีเรื่องยุ่งกับประเทศไทยไปเรื่อยๆ เงินลงทุนของต่างประเทศจะได้ไหลมาเทมาไปลงที่เวียดนาม แล้วก็ไม่ได้ลงที่ประเทศไทย ก็อาจจะเป็นสาเหตุอันหนึ่ง อันนี้อาจจะคิดไม่ดีกับเวียดนาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าอันนี้อาจจะเป็นหนึ่งในห้าหกประเด็นว่าทำไม ณ วันนี้ ฮุน เซนถึงเป็นอย่างนี้
อย่างไรก็ตาม วันนี้กองทัพภาคที่สองได้พิสูจน์ฝีมือแล้วว่า อธิปไตยของไทยนั้นเข้ามาไม่ได้ แล้วพื้นที่ 4.5 ตารางกิโลเมตร ทางด้านตะวันออกของปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของประเทศไทยร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ
คราวนี้ทางออกจะทำอย่างไร มันไม่ใช่ว่าจะมีแค่ทางตัน ถ้าเผื่อฮุน เซนยังมีสติ และคุณสมชายมีความกล้าหาญ มันก็สามารถที่จะโทรศัพท์กันได้ที่เรียกว่า Hot Line ก็บอกว่าวันนี้ก็รบกันไปแล้ว บาดเจ็บกันไปแล้ว เลิกรากันซะน่ะ มาเจรจากันดีกว่า อันนี้ก็สามารถกระทำได้นะครับ เราก็มีสนธิสัญญาปี 2447 ร้อยกว่าปีมาแล้ว เรามีข้อตกลงบันทึกช่วยจำสมัยรัฐบาลชวนเมื่อปี 2543 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการชายแดนร่วม มีกลไกต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว ในยุคสมัยนี้เทคโนโลยีนี้มันก็มีมากมาย เราสามารถที่จะทำแผนที่โดยมีดาวเทียม กล้องที่อยู่ที่ดาวเทียมในอวกาศนั้นสามารถเป็นเครื่องมืออย่างดีในการเจรจาแล้วก็ปักปันเขตแดนได้ ถ้าเผื่อฮุน เซน และนายกฯ ของเราไม่หงอ มันก็เจรจากันที่โต๊ะเจรจาได้ มีทั้งตัวบทกฎหมาย มีทั้งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แล้วมีคนที่มีสติปัญญาทั้งฝ่าย เพราะฉะนั้นสันติภาพมันกลับมาได้ แต่สันติภาพอันนี้จะกลับมาได้หมายความผู้นำทั้งสองประเทศต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อคนไทยเพื่อคนกัมพูชา แต่ไม่ใช่ว่าเป็นการฮั้วกันระหว่างสองตระกูลของทั้งสองประเทศ เพื่อจะรับประทานไทยกับกัมพูชาเสมือนว่าเป็นอาหารส่วนตัว
000
(2)
27 ตุลาคม 2551
กษิต ภิรมย์ ปราศรัยที่เวทีพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล,
(ที่มา: mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_271008_H.wmv)
"ผมเดาเอาว่าทางฝ่ายกระบวนการทักษิณมีแผนการที่จะมอบ 4.5 ตารางกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหารให้ไปกับทางฮุน เซนประมาณ 2,000 กว่าไร่ แลกกับสัมปทานที่ให้กับขบวนการทักษิณที่เกาะกง แลกกับโอกาสในการสำรวจทางทะเลสำหรับแก๊สกับน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน
แต่ฮุน เซนก็ไม่หยั่งรู้ซึ่งพันธมิตรฯ ที่นั่งอยู่ที่นี่ว่า กูไม่ให้มึงทั้ง 4.5 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่ในทะเลก็ไม่ให้เหมือนกัน ส่วนเรื่องเอ็งเสียรู้ทักษิณ เรื่องให้สัมปทานเกาะกงก็เรื่องของมึง"
สวัสดีครับ ท่านนิสิตนักศึกษา นักรบแห่งประเทศไทย มี 2-3 เรื่องวันนี้ มีเวลาสิบกว่านาที
เรื่องแรกขอคุยเรื่องเขมร ฮุน เซน เพื่อนรักของเราสักนิดหนึ่งนะครับ ว่าเขาได้เพียรพยายามจะเอาเรื่องปราสาทพระวิหารไปสหประชาชาติ ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็มาขู่เราว่าจะไปศาลโลก ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็บอกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปแฉในวงการอาเซียน ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็เคลื่อนทัพมายิงกับเราไป 1 วัน ก็ทำอะไรเราไม่ได้ นะครับ
เขาก็พยายามตอแยเราไปเรื่อยๆ แต่เขารู้แล้วว่าเขาถึงทางตันแล้ว เพราะว่า ประชาคมโลกไม่เล่นกับฮุน เซน ประชาคมอาเซียนไม่เล่นกับฮุน เซน เขาค่อนข้างจะ ภาษาอังกฤษต้องใช้คำว่า frustrated อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ต้องพยายามทำอะไรก็ได้ เพื่อหยามไทย หยามรัฐบาลนี้ บีบไปเรื่อยๆ ถ่มน้ำลายรดเข้ามาทุกวันๆ
ทำไมเขาต้องการทำเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาคงจะเริ่มคิดแล้วว่าเขาถูกทักษิณหลอก ถูกสมัคร ถูกนพดล ถูกสมชายหลอก
หลอกในเรื่องอะไรครับ ผมเดาเอาว่าทางฝ่ายกระบวนการทักษิณมีแผนการที่จะมอบ 4.5 ตารางกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหารให้ไปกับทางฮุน เซนประมาณ 2,000 กว่าไร่ แลกกับสัมปทานที่ให้กับขบวนการทักษิณที่เกาะกง แลกกับโอกาสในการสำรวจทางทะเลสำหรับแก๊สกับน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน
แต่ฮุน เซนก็ไม่หยั่งรู้ซึ่งพันธมิตรฯ ที่นั่งอยู่ที่นี่ว่า กูไม่ให้มึงทั้ง 4.5 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่ในทะเลก็ไม่ให้เหมือนกัน ส่วนเรื่องเอ็งเสียรู้ทักษิณ เรื่องให้สัมปทานเกาะกงก็เรื่องของมึง ขอพูดคำหยาบนิดหนึ่ง
คราวนี้เขาก็โกรธมาก เขาก็พยายามที่จะบีบรัฐบาลสมชายไปเรื่อยๆ หาเรื่องมาต่างๆ เหล่านี้ พบกับคุณสมพงษ์ (อมรวิวัฒน์) รัฐมนตรีต่างประเทศ แป๊บเดียวก็เคลื่อนทัพมายิงกันตูมตาม เพิ่งพบกับคุณสมชายที่ปักกิ่งช่วงประชุมอาเซียน กลับมาปั๊บก็ฟ้องแล้วว่าทหารไทยใช้ระเบิดไปยิงโบราณสถาน วัตถุโบราณ ทำอย่างนี้คือแสดงออกซึ่งความอึดอัดใจว่าได้เสียรู้ทักษิณไปเสียแล้วโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่อยากจะหลอกอะไรหรอก แต่ทักษิณคิดว่าอำนาจของตัวเอง สามารถจะสั่งสมัคร จะสั่งนพดล สั่งสมชายได้ และคิดว่าคนไทยทั้งประเทศมันแสนจะโง่ พูดอะไรมาก็เชื่อทั้งนั้น
แต่ว่าได้เจอของจริงคือพันธมิตรฯ เจอของจริงที่ยังมีนายทหารรักชาติ ยังมีคนที่สุรินทร์ ศรีษะเกษยังรักชาติและหวงดินแดนอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญของเรา ยังสถิตไว้ซึ่งความยุติธรรมและศักดิศรีของความเป็นนักกฎหมายที่ดีครับ
เพราะฉะนั้นระหว่างคุณทักษิณกับฮุน เซน ก็นั่งกันหน้าแห้งต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะหาทางออกไม่ได้ เอ็งไม่มีทางได้ที่ดิน 2,000 กว่าไล่รอบๆ ปราสาทพระวิหารในชาตินี้และในชาติหน้า
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องช่วยกันบ่งบอกก็คือว่า คุณสมชายอย่าได้ขยับอะไรในเรื่องปราสาทพระวิหารอีกเป็นอันขาด สิ่งเดียวที่คุณจะทำได้คือให้คณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา เจรจากันไปเรื่อยๆ เสร็จเมื่อไหร่แล้วมาพูดกันในเรื่องปราสาทพระวิหาร หลังจากที่ปักปันเขตแดนกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกากับฮุน เซน ไม่ต้องแคร์ว่ายูเนสโกจะว่าอย่างไร คณะกรรมการมรดกโลกเป็นอย่างไร แผ่นดินของไทย ข้าพเจ้าขอนั่งทับไว้อย่างนี้ ใครจะทำอะไร แม้กระทั่งสหประชาชาติก็ทำอะไรเราไม่ได้
เรื่องที่สอง ก็ขอพูดเรื่องผมกับคุณทักษิณ สักนิดหนึ่ง ก็รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2537 ผมเคยไปช่วยงานทั้งที่พลังประชาชน ไทยรักไทย เคยไปเป็นที่ปรึกษาในช่วงปี 2544 ที่ทำเนียบ ยืมตัวจากกระทรวงต่างประเทศไปนั่งอยู่ที่ทำเนียบทำงานกับคุณทักษิณเป็นปีแรก แล้วก็ได้เห็นอะไรต่างๆ เหล่านี้
ผมก็นั่งคิดตลอดเวลา เพราะว่าได้เริ่มต้นก็เหมือนพวกเราทั่วๆ ไปว่าชื่นชมคุณทักษิณที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องธุรกิจ มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย แล้วก็มาเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุด ผมคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเข้าไปแทรกแซงระบบราชการ ทำไมเข้าไปยุ่งกับกระบวนการศาล อะไรต่างๆ นานาเหล่านี้ แล้วทำไมมันดูไม่ชอบมาพากล ผมนั่งครุ่นคิดอยู่เป็นปีที่กรุงโตเกียว
จนกระทั่งปลายปี 2546 มันก็เกิดความใสสว่างขึ้นมาในสมอง ในจิตสำนึกว่า ที่คุณทักษิณเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เป็นอภิมหาเศรษฐีระดับโลกแล้ว เหตุที่เขายังเป็นอย่างนี้อยู่ เพราะเขาอยากจะเป็นจักรพรรดิแห่งประเทศไทย
และเมื่อปลายปี 2546 ผมถึงได้พูดกับตัวเองและได้ปวารณาตัวว่า กูจะต้องล้มมึงให้ได้ไอ้ทักษิณ ขอพูดคำหยาบนะฮะ
ทั้งๆ ที่ผมยังเป็นเอกอัครราชทูต ยังเป็นข้าราชการประจำ ผมก็เหมือนกับมนุษย์ที่มีสองภาค งานหนึ่งต้องทำไปในฐานะข้าราชการประจำ รัฐบาลมีนโยบายเรื่อง เอฟทีเอ โอท็อป อะไรต่างๆ ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่ในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีมารร้ายเป็นนายกรัฐมนตรี เขาต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย เพื่อให้เขาเป็นผู้นำแต่คนเดียว
เพราะฉะนั้นความคิดของผมว่า คุณทักษิณหรือขบวนการทักษิณนี้พร้อมที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือศาสนานี้ ไม่มีความสงสัยในตัวผมตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วนะครับ
เพราะฉะนั้น จึงจะได้อธิบายว่าอยู่ดีๆ ผมเป็นข้าราชการอะไรต่างๆ ทำไมถึงมาเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ทำไมไปเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่แรกเลย ก็ด้วยความมุ่งมั่นอันนี้ว่าหนึ่งเข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองที่จะสู้กับทักษิณในระบอบรัฐสภา มาอยู่เวทีพันธมิตรเพื่อจะได้ร่วมทำงานกับทางภาคประชาสังคมและประชาชน แล้วชนกับแม่งมึงให้ได้ ขอหยาบอีกคำนะฮะ
แต่ในช่วงปลายปี 2546 หรือ 2547 ผมจะไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าทักษิณต้องการล้มทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทยนี้ เขาคงคิดว่าผมบ้า เพราะฉะนั้นคนที่เห็นผมไม่ค่อยจะบ้า คือภรรยาผม ลูกสาวผม และพี่น้องของผมที่ได้เล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้น แต่วันนี้และในช่วงหลายสัปดาห์หลายเดือนที่ผ่านมา มันได้พิสูจน์เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจไปแล้วว่าผมต้องต่อสู้กับทักษิณ มันเป็นจริง เพราะเขาต้องการจะล้มทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย
แล้วผมก็แน่ใจ ญาติพี่น้อง นิสิตนักศึกษาที่นั่งที่นี่ ณ บัดนี้เรามีความมั่นใจ 1,000% ว่าทักษิณต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย แล้วมันก็ไม่ใช่แค่ทักษิณเท่านั้น ลิ่วล้อ ไอ้เวรตะไลทั้งหลายของเขา รวมทั้งอดีต พล.ต.อ. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุดด้วยนะครับ
เพราะฉะนั้นวันนี้ในสังคมไทย ที่จะเป็นท่านจำลองก็ดี คุณสนธิ คุณพิภพเลยก็พูดว่า มันเป็นสีขาว สีดำ มันจะเอาแดงเผด็จการ หรือมันจะเอาสีเหลืองแห่งธรรมะ ศีลธรรม เป็นที่ตั้ง มันก็มีทางเลือกกันแค่นี้ว่ามันไม่มีตรงกลาง ไม่มีความสมานฉันท์ มันเป็นเรื่องแพ้ชนะ ข้าอยู่ เอ็งต้องไป เท่านั้นเอง ไม่ใช่เอ็งอยู่แล้วข้าไป ไม่มีครับ มีแต่ ข้าอยู่และเอ็งไป เท่านั้น ทั้งขบวนการทักษิณ คุณทักษิณ และลิ่วล้อ สงครามเปิดขึ้นแล้วและในวงกว้าง
ประเด็นที่จะถามคือว่า ท่านแม่ทัพ นายกอง ท่านปลัดกระทวง ท่านเลขาธิการ ท่านผู้อำนวยการ ท่านซีอีโอ เจ้าของบริษัท ท่านคิดอย่างไร ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกครับ
ท่านต้องการให้สังคมไทยมีระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์ มีประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีประชาชนที่จะเป็นเจ้าของอำนาจ ที่สามารถร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ของสังคมไทย หรืออยากจะมีท่านจักรพรรดิฮิตเลอร์ทักษิณ เรื่องมันมีแค่นี้เองนะครับ
และมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะวิงวอนกับเพื่อนสื่อมวลชนทั้งหลาย พวกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทุกๆ ฉบับ เจ้าของหนังสือพิมพ์ทุกๆ ฉบับว่า ถ้าเผื่อระบอบทักษิณ 2 กลับมาสู่ประเทศไทย ท่านทั้งหลายไม่มีสิทธิ เสรีภาพใดๆ จะเหลือเลย ท่านจะไม่ได้อ้าปาก ท่านจะไม่ได้มีแม้กระทั่งที่จะคิดได้ เพราะระบอบทักษิณสองไม่ยอมให้ท่านมีความคิด มีสิทธิเสรีภาพใดๆ เลยทั้งสิ้นนะครับ
ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง ก็ต้องวิ่งวอนญาติพี่น้องที่เป็นเกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ในระบอบทักษิณถ้าเผื่อเขาจะกลับมาอีก เขาจะไม่ให้ท่านทั้งหลายมีที่ทำกินของตนเอง เขาจะแปลงสภาพเกษตรกรของเราให้เป็นแรงงานเกษตรกร 8 โมงเช้า หรือ 6 โมงเช้าเอ็งไปไถนา ตอนเย็นเอ็งกลับมาข้ามีข้าวให้กิน แต่อย่าได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของที่ดิน กำหนดชีวิตตัวเอง ไม่มีทางครับในระบอบทักษิณ
ผมพูดอันนี้ ไม่ใช่มาพูดเล่น เพื่อมาเล่นตบมือกันสนุกสนาน อันนี้พูดมาจากที่ได้วิเคราะห์ไตร่ตรองมาเป็นเวลาหลายปี และได้มีข้อยุติแล้วว่าเราปล่อยให้คุณทักษิณมาเดินลอยชายอยู่ในสังคมไทยไม่ได้ เราปล่อยให้ลิ่วล้อทักษิณออกมาพูดอะไรคลุมเครือตลอดเวลาเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องร่วมกันดำเนินการ
และถ้าเผื่อนายพลก็ดี นายตำรวจก็ดี ปลัดก็ดี ซีอีโอทั้งหลาย ถ้าเผื่อพวกนี้ไม่ทำอะไรเลย เท่ากับว่าพวกท่านเหล่านั้น เห็นชอบกับระบอบฮิตเลอร์ของประเทศไทยภายใต้คนที่ชื่อทักษิณ เราจะยอมให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อยู่อำนาจในวันนี้ โดยเฉพาะที่อยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปลี่ยนใจซะวันนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านเป็นศัตรูของเรา เป็นศัตรูต่อสิ่งดีงามของสังคมไทย อย่างแน่นอน อย่าได้คิดลังเล อย่าได้มาเล่นลิ้นแปรธาตุ และทำตนเลี่ยงคัมภีร์ ทำตนเป็นศรีธนญชัยแต่ปล่อยให้ระบอบทักษิณอันสามานย์สกปรกแล้วก็โหดร้ายทารุณนั้นมาทำร้ายสังคมได้แม้กระทั่งอีกนิ้วหนึ่ง
อ้างอิง
หนังสือพิมพ์
"จักรภพ"ปัดดึงเบื้องสูง-"มาร์ค"ส่งบทแปล (เดลินิวส์) ใน ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 16 พ.ค. 2551, ประชาไท, 16 พ.ค. 2551 http://www.prachatai.com/05web/th/home/12170
"อภิสิทธิ์"แถลงโต้กรณี"จักรภพ", ข่าวสดรายวัน, 28 พ.ค. 51, หน้า 6
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEk0TURVMU1RPT0
"กษิต" ว่าที่ รมว.ต่างประเทศ ชี้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ผิดตรงไหน ย้ำเป็นข้าราชการ 37 ปี ไม่มีด่างพร้อย, ประชาไท, 20 ธ.ค. 51 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14928
กษิต ภิรมย์: ยึดสนามบินสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะ, ประชาไท, 23 ธ.ค. 51 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14969
"สุเทพ"ปัด ตอบแทนตำแหน่งที่ปรึกษา เลขาฯ รมต. ให้ พธม. ลั่น หาก "กษิต" ผิดจริง จะปลดด้วยตัวเอง, แนวหน้า, 13 ม.ค. 2552, http://www.naewna.com/news.asp?ID=142888
‘มาร์ค' ป้อง ‘กษิต' ยันไม่ปลดจากเก้าอี้บัวแก้ว, ประชาไท, 25 ม.ค. 52 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14985
"กษิต" เปลี่ยนไป๋ ยกย่องสมเด็จฮุน เซน จาก "กุ๊ย" กลายเป็น "ผู้หลักผู้ใหญ่", ประชาไท, 26 ม.ค. 52 http://www.prachatai.com/05web/th/home/15351
"พิภพ"ชม "มาร์ค"กล้าหาญตั้ง"กษิต"-แนะเพิ่มความกล้าจัดการกลุ่มเนวิน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 31 ม.ค. 52 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000011519
มัลติมีเดีย
คลิปกษิต ภิรมย์ รายการคมชัดลึก เนชั่นชาแนล, 14 ต.ค. 51 http://www.youtube.com/watch?v=_UCi-mgmIDs
กษิต ภิรมย์ปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 15 ต.ค. 51, ASTVผู้จัดการออนไลน์ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_151008_H.wmv
กษิต ภิรมย์ปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 27 ต.ค. 51, ASTVผู้จัดการออนไลน์ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_271008_H.wmv