บล็อกของ headline

คนเสื้อแดงมาทำไม

(ทีมข่าวการเมือง)

ทีมข่าวการเมือง สัมภาษณ์ผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปช.) หรือคนเสื้อแดง ระหว่างการชุมนุมเมื่อวันที่ 8 เมษายน ที่ผ่านมา โดยถามพวกเขาว่า ออกมาชุมนุมทำไม?” ต่อไปนี้คือคำตอบของพวกเขา

 

พรรคพันธมิตรฯ

[ทีมข่าวการเมือง]

"พี่สนธิก็เคยคุยกับผมเป็นการส่วนตัวว่าคิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยซ้ำ มีโปลิตบูโร หรือคณะกรรมการนโยบายของพรรคที่อาจจะไม่ได้มามีตำแหน่งบริหาร ไม่ได้มามีตำแหน่งทางการเมือง แต่ว่าคุมยุทธศาสตร์ คุมทิศทางพรรค ซึ่งอันนี้น่าสนใจ และคงต้องดูว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เรายังมีเวลาศึกษาพรรคการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อเปรียบเทียบกัน และต้องดูบริบทสังคมไทยด้วย แบบไหนมันเข้ากับสังคมไทย"

สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552

 

000

แกนนำพันธมิตรฯ บน เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4” ของพันธมิตรฯ ที่เกาะสมุย เมื่อ 4 มีนาคม 2552


ข้อเสนอให้ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยกระดับสู่ พรรคการเมือง ถูกประกาศอย่างเป็นทางการครั้งแรกผ่าน 5 แกนนำพันธมิตรฯ นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552 ที่ผ่านมา ในการจัดงาน เวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4” ของพันธมิตรฯ ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี [1]

อันที่จริงเมื่อ 18 สิงหาคม 2550 สมัยรัฐบาล คมช. สนธิเคยกล่าวถึงพรรค ยามเฝ้าแผ่นดิน อย่างเป็นนัย ระหว่างรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจร ที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์

แต่ถัดมาอีก 2 วัน ในวันที่ 20 สิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ระหว่างการจัดรายการยามเฝ้าแผ่นดินสัญจร ณ ห้อง Lake Anne B โรงแรม Hyatt Reston มลรัฐเวอร์จิเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยสมาคม Thai-DC Forum และมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน นายสนธิ ได้ปฏิเสธว่าไม่มีความคิดที่จะตั้งพรรคการเมือง ณ ขณะนี้ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา โดยเขาระบุว่า ในวันนั้นอาจจะพูดไม่ชัด โดยสาเหตุที่กล่าวถึงการตั้งพรรคยามเฝ้าแผ่นดินในวันนั้น ก็มีจุดมุ่งหมายแต่เพียงต้องการให้กำลังใจกับบรรดาผู้ค้าปลีก-โชว์ห่วย ในการต่อสู้กับบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่ข้ามชาติเท่านั้น โดยพยายามชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้ค้าปลีก และชนชั้นกลางนั้นหากมีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ก็จะก่อให้เกิดพลังได้มาก จนถึงขนาดที่ว่า หากเข้าสู่การเมืองในระบบ ก็มีสิทธิ์ที่จะชนะการเลือกตั้งได้เลยทีเดียว [2]

กระทั่งหลังการชุมนุม 193 วันในปี 2551 มีการแย้มเรื่องการตั้งพรรคโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เมื่อ 27 ธันวาคม 2551 ในงานฉลองปีใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี และล่าสุดคือการเสนอตั้งพรรคการเมืองก็เกิดขึ้นชัดเจนในเวทีคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 4 ที่เกาะสมุย เมื่อ 4 มีนาคม 2552 นั่นเอง

 

เมื่อ พันธมิตรฯทวง ประชาธิปัตย์

การแย้มแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองในการเวทีสัญจรที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นการส่งสัญญาณสำคัญถึง จ.สุราษฎร์ธานี ถิ่น สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้เป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านความหมั่นคง เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ แถมสุราษฎร์ธานีเองก็เป็นฐานคะแนนสำคัญของ ประชาธิปัตย์ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าสนธิและแกนนำพันธมิตรฯ ส่งเสียงตรงๆ ไปถึงใคร

ในวันนั้น สนธิกล่าวถึงเงื่อนไขของการตั้งพรรคว่า คำตอบว่าพรรคจะเกิดขึ้นไหม เกิดไม่เกิดขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์จะมองพันธมิตรฯ ว่าเป็นเพื่อน หรือเป็นเสนียด ถ้ามองว่าเราเป็นศัตรู บอกว่าไม่เอาทั้งเหลืองทั้งแดง ดำเนินคดีหมด โดยไม่ดูเนื้อหาว่าพวกเราโดนกลั่นแกล้งขนาดไหน ถ้าอย่างนี้ ผมขอให้สัจจะว่ายังไงก็ตามพรรคนี้จะลงภาคใต้ทุกจังหวัด จะชนกันตัวต่อตัว [3]

นี่จึงเป็นการเตือนจากสนธิ ให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งรับส้มหล่นขึ้นเป็นรัฐบาลได้ไม่เกิน 3 เดือนดี ปรับท่าทีที่ปฏิบัติต่อพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการดำเนินคดี สนธิลั่นเปรี้ยงแบบนี้ แปลความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากประกาศิตไปยังรัฐบาลให้ปฏิบัติกับ ขบวนการเสื้อสีเหลือง ให้ต่างจากการปฏิบัติกับ ขบวนการเสื้อสีแดง

เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดคำพูดของสนธิดังกล่าว ย้อนกลับไปเมื่อ 3 มีนาคม 2552 รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์มีท่าทีเกี่ยวกับคดีของสนธิและพันธมิตรฯ ที่ปล่อยให้ข้าราชการประจำในทำเนียบฯ ดำเนินคดีตามที่เคยฟ้องร้องในสมัยรัฐบาลชุดก่อน โดยไม่มีการทบทวน โดย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันฟ้องร้องไปแล้วจะไปทำอะไร

ส่วน สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงคดีทางแพ่ง ที่ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) ถอนฟ้อง เพราะพันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบแล้ว แต่ที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ยังคงยืนยันดำเนินคดีฟ้องร้องกรณีทรัพย์สินสูญหายต่อไป โดยยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้เข้าไปแทรกแซงกดดันให้ฝ่ายข้าราชการประจำถอนฟ้อง ทุกอย่างว่ากันตรงไปตรงมา กระบวนการยุติธรรมต้องสอบสวนหาความจริงกันต่อไป รัฐบาลไปแทรกแซงไม่ได้อยู่แล้ว

นอกจากนี้คำพูดของสนธิ ยังคำพูดที่เกิดหลังจากที่ ข้อเรียกร้องจากพันธมิตรฯ ที่เสนอเปลี่ยนตัวพนักงานสอบสวนคดีปิดล้อมรัฐสภา 7 ต.ค. 51 ถูกสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีบอกปัดไปว่า ทุกอย่างก็ต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์กติกา ถ้าเขาร้องมาชอบด้วยเหตุผลก็ปฏิบัติตาม แต่ถ้าไม่ชอบด้วยเหตุผลก็ไม่ปฏิบัติ [4]

 

สุริยะใส กตะศิลา: มีความเป็นไปได้สูงในการตั้งพรรค

หลังการประกาศของสนธิและแกนนำ ก็มี คำการขานรับทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย จากทั้งองค์กรในพันธมิตรฯ เอง [5]

โดยเมื่อวันที่ 5 มีนาคม สุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนอุดมการณ์การเมืองใหม่ เพราะหากพิจารณาจากพรรคการเมืองในปัจจุบัน ไม่มีศักยภาพพอที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปการเมืองได้ แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย ทำให้ติดอยู่ในวงจรเดิม ขณะที่การชุมนุมของพันธมิตรฯ กว่า 190 วัน ได้สร้างคุณูปการมากกว่าพรรคการเมืองหลายพรรคเสียอีก บวกกับเสียงเรียกร้องจากมวลชน ทำให้แกนนำหลายคนเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมารองรับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ

นายสุริยะใสยังยอมรับว่าการตั้งพรรคของพันธมิตรฯ นั้นทำไม่ง่าย ไม่ใช่ว่าแค่หัวหน้าพรรค กรรมการ แล้วหาสมาชิกเหมือนพรรคทั่วไป แต่ต้องมีกระบวนการจัดทำนโยบายแบบมีส่วนร่วม ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อย ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้กำหนดเป็นเรื่องเป็นราวว่าใครจะอยู่ในตำแหน่งไหน ซึ่งสูตรการตั้งมีหลายแบบ อาจจะเป็น 5 แกนนำ หรืออาจจะมีคนนอกมาร่วมด้วยก็ได้ ซึ่งก็ต้องดูเสียงจากมวลชนด้วยว่าจะยอมรับหรือไม่

 

เสียงสะท้อนจากแนวร่วม

บรรดาแนวร่วมอย่าง ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำสมัชชาประชาชนภาคอีสาน โดยเมื่อ 5 มีนาคม 2552 เขาเตือนว่าการออกมาตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ จะทำให้ภาคประชาชนที่ระดมคนได้เรือนหมื่นเรือนแสนคน และคุณูปการต่างๆ ที่พันธมิตรฯ เคยทำไว้หายไป ถ้าหากพันธมิตรฯ ตั้งเป็นพรรคการเมืองแล้วสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองก็จะหายไป แล้วจะมีองค์กรใดออกมาขับเคลื่อนต่อสู้กับระบบทุจริตในบ้านเมือง

"ความจริงมีพรรคการเมืองที่รองรับแนวความคิดของพันธมิตรฯ อยู่แล้ว พันธมิตรฯ เองไม่จำเป็นที่จะต้องออกมาตั้งพรรคการเมืองเองก็ได้" ไชยวัฒน์ระบุ

ส่วน ไทกร พลสุวรรณ แกนนำกลุ่มอีสานกู้ชาติ กล่าวว่า เห็นด้วยที่มีมวลชนต้องการให้ตั้งพรรคการเมือง แต่ที่ห่วงคือแกนนำพันธมิตรฯ ได้เคยประกาศไปบนเวทีที่ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวีไปแล้วว่าจะไม่ตั้งพรรคการเมือง ไม่แสวงหาอำนาจทางการเมือง แต่ต่อมาแกนนำพันธมิตรฯ กลับมาขยับเรื่องนี้เสียเอง ซึ่งอาจจะทำให้ถูกประชาชนและสื่อมวลชนมองว่าพันธมิตรฯ เสียสัตย์ ตระบัดสัตย์

เมื่อพันธมิตรฯ ตั้งเป็นพรรคการเมือง จะทำให้แนวร่วมพันธมิตรฯ ที่เข้าร่วมด้วยความบริสุทธิ์ใจเอาใจออกห่าง และถ้าหากพันธมิตรฯ ลงเลือกตั้ง ก็จะมีแฟนคลับหรือฐานคะแนนเสียงน้อยลงไป ซึ่งจะน้อยกว่าแฟนคลับของพรรคประชาธิปัตย์และทั้งพรรคอื่นๆ จึงพอจะเห็นได้ว่าไม่มีทางที่พันธมิตรฯ จะจัดตั้งรัฐบาลได้ ที่สำคัญการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ยังจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านเอง มองพันธมิตรฯ เป็นศัตรูทางการเมือง

 

ท่าทีจากประชาธิปัตย์

ขณะที่ท่าทีของพรรคประชาธิปัตย์ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ [6] นายกรัฐมนตรี ค่อนข้างมีท่าทีตอบรับ โดยอภิสิทธิ์ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเมื่อ 6 มี.ค. ว่า จุดยืนพรรคประชาธิปัตย์มีมาโดยตลอดว่า การมีพรรคการเมืองแข่งขันมากขึ้นในระบบเป็นสิ่งที่ดี เป็นทางเลือกให้ประชาชน ส่วนเป้าหมายของพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มพันธมิตรฯ ดูจะเหมือนกับการแย่งมวลชนหรือไม่นั้น ต้องไปถามผู้ที่จะก่อตั้ง เรายังไม่ทราบรายละเอียด

ส่วนกรณีทางแกนนำอย่างนายสุริยะใส กตะศิลา ได้ชี้แจงว่าการตั้งพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองที่มีอยู่ไม่เป็นคำตอบในการปฏิรูปการเมือง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เป็นความเห็นของนายสุริยะใส ตนได้พูดไปแล้วว่าการปฏิรูปการเมืองครั้งนี้ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคิดว่าตัวเองทำได้จะไม่มีทางสำเร็จ และจะเป็นการสร้างความขัดแย้ง แต่ถ้าพยายามดึงทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่าจะได้ตามที่ต้องการร้อยเปอร์เซ็นต์มันเป็นไปไม่ได้

เมื่อถามว่า ทางแกนนำพันธมิตรฯ รู้สึกผิดหวังกับรัฐบาลชุดนี้จึงจุดพลุเรื่องนี้ขึ้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าผิดหวังหรือไม่อย่างไร แต่ละกลุ่มการเมืองมีเป้าหมายนโยบาย ข้อเรียกร้อง บางเรื่องอาจจะตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ บางเรื่องอาจไม่ตรง เป็นเรื่องปกติ เมื่อถามว่ามีการวิจารณ์ว่า ตัวนายกฯ ดีทุกอย่าง แต่ขาดความกล้าหาญ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า จริงๆ แล้วถ้ามีเรื่องไหนที่คิดว่าตนยังไม่ทำและคิดว่าเป็นความไม่กล้ามีรูปธรรม สามารถบอกมาได้ ยินดีจะชี้แจง คิดว่าที่ผ่านมาไม่มีเรื่องไหนที่ตนลังเล เรื่องไหนที่ข้อมูลพร้อม ข้อกฎหมายชัด นโยบายหรือเป้าหมายชัดเจนอยู่แล้วตนไม่มีรีรอ

 

สุเทพโต้ พันธมิตรฯ ยันไร้บุญคุณ

อย่างไรก็ตาม ท่าทีของอภิสิทธิ์ ต่างจากตัวจริงในประชาธิปัตย์อย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ [7] รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคงและเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขากล่าวเมื่อ 10 มีนาคม 2552 ถึงกรณีแกนนำพันธมิตรฯ ออกมาโจมตีผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีหลายครั้งว่า เขาไม่เคยมีอะไรกับพันธมิตรฯ ตั้งแต่เริ่มต้น จนมาถึงเดี๋ยวนี้ ตนไม่ใช่คนที่มีปัญหากับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรฯหรือเป็นใคร ตนมีหน้าที่ที่จะดูแลรับใช้ตามความสามารถของตน ในฐานะที่เป็นนักการเมืองใครก็ใช้สอยไหว้วานได้ แต่การที่ตนจะปฏิบัติอะไรต้องคำนึงถึงประโยชน์ของบ้านเมืองโดยส่วนรวมเป็นสำคัญ จะถูกใจคนบ้าง ไม่ถูกใจคนบ้างก็เป็นเรื่องปกติ ผมไม่เคยทำอะไรให้เขา และเขาก็ไม่เคยทำอะไรให้ผม ส่วนเรื่องพันธมิตรฯผมก็เคารพความคิดความเห็นของเขาในทางการเมืองกับประชาชนที่เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ และเอาใจช่วยมาตลอด แต่ผมไม่ได้เข้าไปสนับสนุนอะไรกลุ่มพันธมิตรฯ และผมก็ไม่ได้คิดว่าจะทำอะไรตามที่คุณสนธิพูด แต่ว่าให้ความนับถือในฐานะที่เป็นสื่อมวลชนแขนงหนึ่ง

เมื่อคุณสนธิตำหนิผม ก็ได้มาสำรวจตัวเองว่า ผมทำอะไรบกพร่องอย่างนั้นหรือไม่ กรณีที่ตำรวจออกหมายเรียกกลุ่มพันธมิตรฯ 21 คน ที่บุกทำเนียบ มันก็เป็นเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาสอบสวนมาตั้งนาน พอที่จะมีพยานหลักฐานตั้งข้อหาใครบ้างก็ออกหมายเรียกไป ผมคิดว่า ตำรวจทำตามหน้าที่ปกติ

ส่วนเรื่องที่ว่าเจอทวงบุญคุณนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ที่จริงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนก็มีบุญคุณกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งนั้น ก็ทวงได้พวกตนก็ต้องรับฟังและปฏิบัติให้อยู่ในกรอบบนความถูกต้อง การมาเป็นรัฐบาลในภาวะที่บ้านเมืองเป็นอย่างนี้มีแรงกดดันเป็นธรรมดา บ้านเมืองเราอยู่ในช่วงที่มีวิกฤตการณ์ทางการเมือง ก็ต้องเจอหลายรูปแบบ ดังนั้นเราต้องหนักแน่นอดทนเอาไว้

ส่วนเรื่องการตั้งพรรคพันธมิตร นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ ขออนุญาตวิจารณ์ธรรมดาว่า ยินดีถ้าเขาตั้งพรรคการเมือง เพราะถ้าทุกฝ่ายเข้ามาทำงานทางการเมืองตามกรอบเกณฑ์กติกาที่รัฐธรรมนูญกฎหมายกำหนดไว้ บ้านเมืองก็จะเรียบร้อยขึ้น

เมื่อถามว่า กรณีของนายสนธินี้จะเป็นการซ้ำรอยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่ ที่พอขัดแย้งกันก็มาขับไล่รัฐบาลนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า คงไม่ อย่ามองโลกในแง่ร้าย

ผมคิดว่าการที่คุณสนธิออกมาตำหนิผมคนเดียว ไม่ใช่เรื่องที่เขาไม่ชอบรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่เขาไม่ชอบผม และเขาก็อยากจะแนะนำสั่งสอนผม ผมก็น้อมรับคำแนะนำสั่งสอนนอกจากนี้ นายสุเทพ ยังกล่าวอีกว่า ตนจะไม่พูดคุยกับนายสนธิต่อกรณีดังกล่าว เพราะก็ไม่เคยคุยอะไรกับนายสนธิมานาน

 

ประสงค์ลั่นประชาธิปัตย์ไม่ได้ขึ้นสู่อำนาจถ้าไม่มีพันธมิตรฯ

สุเทพอาจมองไม่เห็น บุญคุณ จากพันธมิตรฯ แต่ น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตประธานคณะกรรมาธิการยกร่าง (กมธ.) รัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งมีความใกล้ชิดกับแกนนำพันธมิตรฯ กล่าวเมื่อ 9 มีนาคม 2552 [8] สนับสนุนแนวคิดจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่จากกลุ่มต่างๆ ว่าถือเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่ประชาชน แต่ขอร้องว่าจะต้องเป็นการเมืองภาคประชาชนจริงๆ และหากเข้มแข็งด้วยแล้ว พรรคการเมืองรูปแบบเก่าๆ คงต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา ถามว่าทำไมจะจัดตั้งพรรคการเมืองภาคประชาชน ก็เพื่อให้มีเครื่องมือไปทำงานในสภาฯ เพื่อประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เพื่อกลุ่มทุนหรือตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนักการเมืองบางกลุ่ม อีกทั้งรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้สิทธิทุกภาคส่วนจัดตั้งพรรคการเมือง

เขาบอกว่า ในส่วนตนไม่ขอเป็นผู้จัดตั้งพรรคการเมืองแน่นอน แต่ยินดีรับให้คำปรึกษา กับพรรคการเมืองภาคประชาชนที่จะเกิดขึ้น และยอมรับว่าขณะนี้เป็นที่ปรึกษาให้กับสมัชชาประชาชนภาคอีสาน ของนายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แนวร่วมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย

อดีต สนช.ผู้นี้กล่าวตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ว่า บางครั้งไม่ให้ความสำคัญกับกลุ่มพันธมิตรฯ เพราะหากไม่มีพันธมิตรฯ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ได้ขึ้นสู่บัลลังก์อำนาจในวันนี้ พรรคประชาธิปัตย์ถือเป็นพรรคน้ำดีพรรคสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ แต่มักจะมองข้ามความจริง อย่ามาอ้างว่ารัฐบาลนี้มาจากเสียงโหวต ถือว่าไม่ฉลาดพูด และยืนยันว่าแกนนำพรรคประชาธิปัตย์บางคนได้มีการส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ จัดการกับแกนนำพันธมิตรฯ เป็นเรื่องจริง

"เช่นเดียวกับการนั่งกินข้าว ได้เพียงขอบคุณคนเสิร์ฟ แต่ไม่รู้ว่าข้าวปลูกมาอย่างไร มาถึงโรงสี ต้องรู้ถึงกระบวนการที่มาทั้งหมด" น.ต.ประสงค์กล่าว

น.ต.ประสงค์ยังได้กล่าวร้องขอรัฐบาลและพันธมิตรฯ ต้องน้อมรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งกันและกัน อย่าไปผิดใจกัน เพราะจะมีมือที่สามคอยเสี้ยมให้ชนจะนั่งหัวเราะชอบใจ อย่าไปตอบโต้ ปล่อยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน

ก่อนหน้านี้ ในระหว่างเวทีฉลองปีใหม่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อ 27 ธันวาคม 2551 น.ต.ประสงค์ เคยเสนอให้พันธมิตรฯ เข้าสู่อำนาจรัฐด้วยการแข่งขันเลือกตั้งและมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ[9]

ในวันนั้นเขายังกล่าวว่า การตั้งพรรคการเมืองทำไม่ยาก ขอให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 15 คนก่อนเพราะมีเครือข่ายอยู่แล้ว จากนั้น ให้เร่งทำโครงสร้าง เพราะเชื่อว่ารัฐบาลอยู่ไม่นาน เมื่อมีการเลือกตั้ง กลุ่มพันธมิตรฯ ก็เลือกพรรคของตัวเอง

น.ต.ประสงค์ กล่าวว่า นักการเมืองต้องตระหนักว่า ถ้าไม่มีกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ไม่มีรัฐบาลชุดนี้ ต้องเข้าใจว่ากลุ่มพันธมิตรฯ มีส่วนสำคัญที่ทำให้ได้ตำแหน่ง แม้ว่าหลังการตั้งรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯ จะรู้สึกตรงพะอืดพะอม แต่ก็ต้องกล้ำกลืนให้โอกาสพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล เพราะเป็นพรรคการเมืองที่มีนักการเมืองน้ำดีอยู่จำนวนมาก แต่ต้องไปร่วมกับนักการเมืองที่ทุจริตคดโกง

 

วาจาค้ำคอ สนธิไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

แต่ก่อนที่จะไปถึงการตั้งพรรคพันธมิตรฯ คงต้องไม่ลืมว่า สนธิ ลิ้มทองกุล เอง ได้กล่าวไว้หลายโอกาส หลายวาระ ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

ย้อนกลับไปในปี 2548 โดยหลังจากที่รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ที่เขาเป็นผู้ดำเนินรายการถูกถอด หลังวันที่ 10 กันยายน 2548 และเขาเริ่มสู้กับทักษิณและเครือข่ายนับจากนั้นมา ผ่านการจัดรายการกึ่งการปราศรัยใน เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร โดยการจัดรายการครั้งที่ 11 เมื่อ 9 ธันวาคม 2548 ที่สวนลุมพินี สนธิ กล่าวว่า

คุณสโรชาและพ่อแม่พี่น้องที่นั่งอยู่ในที่นี้และนั่งอยู่ข้างนอก วันนี้ผมอยู่ในสภาพที่ผมกลับไปเป็นนายสนธิคนเดิมไม่ได้แล้ว ผมไปกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์เอาธรรมมาสอนผม บอกว่า สนธิ ชีวิตคือความว่างเปล่าแต่ถ้าเราทำเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชนแล้ว ถึงตายก็คุ้มค่า ผมไม่ใช่คนไม่เคยทำความผิด คุณสโรชา 58 ปีที่ผ่านมานี้ ชั่วก็เคยทำ ผิดก็ไม่น้อย แต่ว่าอยากจะใช้ส่วนที่เหลือของชีวิตทำเพื่อชาติบ้านเมือง ทำเพื่อประชาชนในฐานะที่เป็นสื่อ แต่เป็นสื่อคนละแบบที่มีอยู่ทุกวันนี้ คือเป็นสื่อที่ถึงตรงกับประชาชน ไม่ใช่สื่อซึ่งจะต้องไปนั่งกินข้าวกับนายกฯ หรือไม่ใช่สื่อที่จะต้องไปพึ่งพาคนโน้นคนนี้ เพราะเดี๋ยวนี้ผมจะทำอะไรผมจะถามความเห็น ผมจะทำข่าวผมต้องถามความเห็นประชาชนก่อนแล้ว เพราะว่าผมไม่ใช่นายสนธิคน เก่าอีกต่อไป ผมถือโอกาสขอขมาลาโทษพ่อแม่พี่น้องทุกคนว่า อดีตที่ผมเคยทำผิดพลาดอะไรไปถ้ามีการทำก็ขออภัย ขอขมา แต่ว่าจากนี้เป็นต้นไปผมจะยึดถือบทบาทที่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พูดอยู่ออกมาตลอดเวลา ว่า ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นให้สมบูรณ์แบบ และประชาชนจะไม่มีปัญหา สังคมไทยจะไม่มีปัญหา ผมขอยึดถือตรงนี้ แล้วพ่อแม่พี่น้องประชาชน ตลอดจนคุณสโรชาด้วย จำเอาไว้ วันไหนในอนาคต ตราบจนกระทั่งผมตาย ถ้าผมไปรับตำแหน่งอะไรทางการเมือง แล้วถ้าผมไม่ใช่สื่อมวลชนของท่านต่อไป เจอหน้าที่ไหน ถุยน้ำลายใส่หน้าผม ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ทันที[10] [11]

 

เช่นเดียวกัน ในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ภาคพิเศษเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า เขาก็กล่าวเป็นสัจจะวาจาต่อมวลชนไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง หนนี้เขาสโคปชัดเจนขึ้นว่าจะไม่รับตำแหน่ง ส.ว. ส.ส. ขอเป็นแค่ ยามรักษาแผ่นดิน และ คณะกรรมการยึดทรัพย์

พ่อแม่พี่น้อง ไม่ต้องกังวล ผมจะกล่าวสัจจะวาจาวันนี้ ต่อหน้าองค์สมเด็จรัชกาลที่ 5 เสด็จพ่อ ผมจะไม่มีวันรับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ลง ส.ว. ไม่ลง ส.ส. ให้ตำแหน่งอะไรก็ไม่เอา ขอเป็นแค่ยามรักษาแผ่นดิน แต่มีข้อแม้ ถ้าเขาตั้งให้เป็น 1 คน ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ พ่อแม่พี่น้องจะให้ผมรับไหม

(ผู้ชุมนุม) - ให้

ตกลงกันแล้วนะ ถ้าผมอยู่ ได้อยู่ในคณะกรรมการยึดทรัพย์ ให้ผมเข้าไหม

(ผู้ชุมนุม) - ให้เข้า

เราพูดกันรู้เรื่องแล้วนะ พ่อแม่พี่น้อง ถ้าผมลงสมัคร ส.ว. รับตำแหน่งรัฐมนตรี ผมพูดไว้แล้วกี่ครั้ง ผมพูดต่อ ผมพูดย้ำ ผู้ชายเจอหน้าผมที่ไหน ถุยน้ำลายใส่หน้าผม ผู้หญิงเจอหน้าผมที่ไหน ถอดรองเท้าตบหน้าผมได้ วันนี้มาด้วยจิตที่บริสุทธิ์ อะไรก็ไม่ต้องการ ต้องการการเมืองที่สะอาด ต้องการ ส.ส.-ส.ว.ที่ดีๆ เหมือน ส.ว.ที่เมื่อกี้เอ่ยชื่อมา ท่านการุณ ใสงาม หมอนิรันดร์ คุณวิญญู เราต้องการนักการเมืองแบบนี้ เราต้องต่อสู้เพื่อต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง พ่อแม่พี่น้องโกง 1 บาท ยังไม่ยอมเลย นับประสาอะไรโกงหมื่นล้าน การโกงชาติ โกงบ้าน โกงเมืองนั้นคือการทำลายรากฐานของสังคม พ่อแม่พี่น้อง คนเราถ้ามันซุกหุ้นได้ มันหนีภาษีได้[12] [13]

 

แน่นอนว่า การให้สัจจะวาจาไม่รับตำแหน่งทางการเมืองของสนธิ เป็นเรื่องค้ำคอเฉพาะสนธิ ไม่เกี่ยวกับการที่คนอื่นๆ ในพันธมิตรฯ จะไปมีตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาร่างรัฐธรรมนูญ ไปเป็นวุฒิสมาชิก หรือแม้แต่ร่วมคณะรัฐมนตรี

แน่นอนว่า สัจจะวาจานี้ก็ไม่ครอบคลุมถึงเรื่องสัญญาจากนายพล ส. ที่บอกให้ทนเจ็บหน่อย แล้วจะยกฟรีทีวีให้สักช่องหลังรัฐประหาร [14] [15]

สนธิพูดถึงการไม่รับตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้งในการปราศรัยเมื่อ 6 มีนาคม 2552 ในรายการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวีจากเวทีชั่วคราวหน้าบ้านเจ้าพระยา โดยคราวนี้เขาระบุว่าไม่อยากใช้คำว่า สัจจะวาจา แต่ขอ ให้สัญญา ว่าแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 “จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

 พี่น้อง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 เคยประกาศเป็นสัจจะวาจา ผมไม่อยากใช้คำว่าสัจจะวาจา ให้สัญญากับพี่น้องว่าเราจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และเราก็จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

... พี่น้อง พวกเราต้องทำตัวให้มีคุณค่า ต้องมีราคาใช่ไหมพี่น้อง แล้วราคาต้องไม่ถูกด้วยใช่ไหม นี่คือความในใจของผมพ่อแม่พี่น้อง พี่น้องเชื่อใจได้เลยพี่น้อง แกนนำรุ่นที่ 1 ยกเว้น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด ทำไมต้องยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ เพราะอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เพราะอาจารย์สมเกียรติกระโดดเข้าไปในการเมืองเรียบร้อยแล้ว อาจารย์สมเกียรติมีราคีไปเรียบร้อยแล้วต้องปล่อยแกไปทางนั้น ล้อแกเล่น

แต่พี่ลองของผม พี่สมศักดิ์ พี่พิภพ และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด พี่น้อง สบายใจได้ แต่จะอยู่ต่อสู้ร่วมกับพี่น้องในการเมืองภาคประชาชน และให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาของพรรคที่เป็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสภาอย่างสม่ำเสมอ เอเอสทีวีจะสนับสนุนการเมืองใหม่ พรรคการเมืองไหนที่เน้นการเมืองใหม่ ที่อยู่ในปรัชญาและอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เอเอสทีวีจะสนับสนุนหมด [16]

 

ไม่รับตำแหน่งแต่กุมพรรคแบบ กรมการเมือง

การประกาศของสนธิหลายครั้ง ว่าไม่รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมือง ในพรรคการเมือง พันธมิตรฯ ที่ตั้งขึ้น นอกจาก ให้กำลังใจ และ ให้คำปรึกษา แก่พรรค ไม่ได้หมายความว่าสนธิและแกนนำฯ จะไม่มีอำนาจในการกุมสภาพพรรคการเมืองที่พวกเขาจะตั้งขึ้นแต่อย่างใด

เพราะข้อเสนอของ สนธิ ลิ้มทองกุล จากปากคำ สุริยะใส กตะศิลา ที่ให้สัมภาษณ์ในเนชั่นสุดสัปดาห์ เมื่อ 13 มีนาคม นั้น สุริยะใสบอกว่ารูปแบบหนึ่งที่สนธิสนใจคือรูปแบบการบริหารงานแบบ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีตำแหน่ง โปลิตบูโร (Politburo - กรมการเมือง) ที่เป็นคณะกรรมการนโยบายของพรรค ที่โปลิตบูโรไม่มีตำแหน่งทางบริหารและการเมือง แต่เป็นผู้คุมยุทธศาสตร์ และทิศทางของพรรค แต่เขายังออกตัวว่ายังมีเวลาศึกษาเปรียบเทียบรูปแบบพรรคการเมืองจากหลากหลายประเทศ และดูว่าแบบไหนเข้ากับสังคมไทยด้วย

เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552

พี่สนธิก็เคยคุยกับผมเป็นการส่วนตัวว่าคิดถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยซ้ำ มีโปลิตบูโร หรือคณะกรรมการนโยบายของพรรคที่อาจจะไม่ได้มามีตำแหน่งบริหาร ไม่ได้มามีตำแหน่งทางการเมือง แต่ว่าคุมยุทธศาสตร์ คุมทิศทางพรรค ซึ่งอันนี้น่าสนใจ และคงต้องดูว่าโครงสร้างเป็นอย่างไร ขณะเดียวกัน เรายังมีเวลาศึกษาพรรคการเมืองจากหลายประเทศ เพื่อเปรียบเทียบกัน และต้องดูบริบทสังคมไทยด้วย แบบไหนมันเข้ากับสังคมไทย

 

สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552 [17]

 

และที่จริงแล้วอาจไม่ต้องแปลกใจกับรูปแบบการบริหารงานแบบ โปลิตบูโร ที่สนธิคิดถึง เพราะก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างพรรค ประชาธิปัตย์ กับองค์กรการเมืองอย่าง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็อดไม่ได้ที่จะตั้งคำถามอยู่แล้วว่าใครคุมใคร หรือใครบงการใคร

เพียงแต่หลังๆ มีภาวะที่สนธิ ลิ้มทองกุลนิยาม ในการปราศรัยเมื่อ 6 มีนาคม 2552 ว่า มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว และความที่ไม่อยากเป็น พื้นที่เวทีให้คนอื่นมาฉกฉวย ซ้ำรอย 19 กันยายน 2549 และการเป็นรัฐบาลของประชาธิปัตย์หลังการยุบพรรคพลังประชาชนอีก นี่จึงเป็นที่มาของการประกาศจะตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสียเอง

 

มีหรือไม่มี พรรค ก็ล็อกชื่อ พรรคแล้ว

โดยขณะนี้ แม้จะมีการประกาศแนวคิดการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ แล้ว แต่ยังไม่มีมติจากแกนนำพันธมิตรฯ ทุกระดับจากทั่วประเทศ โดยการเปิดเผยของ สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ 25 มีนาคม 2552 เขากล่าวถึงความคืบหน้าของการจัดตั้งพรรคพันธมิตรฯ ว่า หลังการเดินสายปราศรัยของแกนนำที่ ลอส แองเจลลิส สหรัฐอเมริกา พันธมิตร USA อยากให้ตั้งพรรค แต่เขาจะรอถามพันธมิตรฯ ทั่วประเทศเสียก่อนในวันที่ 24 พฤษภาคม ที่จะถึงนี้

แต่เราไม่กล้าตัดสินใจ เพราะเราต้องถามประชาชนที่เป็นพันธมิตรฯ ทั่วประเทศไทยที่จะมีการชุมนุมและประชุมกันเพื่อขอความเห็นในวันที่ 24 พฤษภาคม ถ้าวันที่ 24 พฤษภาคม ประชาชนซึ่งเป็นแกนนำเราทั่วประเทศไทยเห็นด้วย ว่าต้องตั้ง เราก็จะตั้ง เพราะว่าเราจะไม่ทำอะไรโดยไม่ถามเขาก่อน แต่ถ้าเขาบอกว่าไม่ควร เราก็ไม่ตั้งเมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะสอบถามอย่างไร นายสนธิบอกว่า จะให้เขาถกเถียงกัน แล้วเราจะมีการยกมือกัน [18]

และไม่ว่ามวลชนและแกนนำพันธมิตรฯ จะมีมติให้ตั้งพรรคของพันธมิตรฯ หรือไม่ แต่ ชื่อพรรค ก็ ถูกล็อก ไว้แล้ว ในทะเบียนพรรคการเมืองขณะนี้

จากข้อมูลทะเบียนพรรคการเมืองของ กกต. พบว่า พรรคเทียนแห่งธรรม (ท.ห.ธ. หรือ Tien Hang Dhame Paty) เป็นพรรคการเมืองลำดับที่ 57 ได้จดทะเบียนวันที่ 28 เมษายน 2551 มีนายธนากร วีรกุลเดชทวี เป็นหัวหน้าพรรค และนางจันทิมา วีรกุลเดชทวี เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 9 คน

และพรรคลำดับที่ 70 พรรคประชาภิวัฒน์ (ปภ. หรือ People Alliance for Democratization - PAD) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2552 มีหัวหน้าพรรคคือ นายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี และนายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค 8 คน ซึ่งนายภณ รักตระกูล เลขาธิการพรรคนั้นเป็นลูกเขย พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร อดีตประธานวุฒิสภาและเพื่อนสนิท พล.ต.จำลอง ศรีเมือง

โดยสุริยะใส กตะศิลา ให้สัมภาษณ์เมื่อ 9 มีนาคม โดยยอมรับว่า คนที่ไปจดแจ้งกับทาง กกต. เป็นมวลชนของพันธมิตรฯ ส่วนที่ไปจดไว้ก่อนเพราะทางแกนนำเกรงว่าจะมีคนนำชื่อพรรคเทียนแห่งธรรมไปแอบอ้างเพื่อหาผลประโยชน์ โดยได้ไปจดทะเบียน 2 พรรค คือ พรรคเทียนแห่งธรรม กับพรรคประชาภิวัฒน์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2552 โดยมีนายสุทัศน์ จันทร์แสงศรี หัวหน้าพรรค นายภณ รักตระกูล เป็นเลขาธิการพรรค ส่วนจะมีการเข้าร่วมกับพรรคหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ เคยพูดในที่ประชุมเหมือนกันว่าจะมีการไปจดทะเบียนชื่อพรรคเทียนแห่งธรรม เพื่อไม่ให้ใครเอาชื่อนี้ไปแอบอ้าง แต่ก็จดไว้ก่อน ยังไม่มีแนวคิดที่จะลงสมัครหรือเข้าร่วมในตอนนี้ นายสุริยะใสกล่าว [19]

“กรมการเมือง” อย่างสนธิ ลิ้มทองกุล สั่ง “นอมินี” จดทะเบียนชื่อพรรครอไว้แล้ว น่าเป็นห่วงหาก “การเมืองใหม่” ที่พันธมิตรประกาศไว้ ลดรูปกระบวนการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยเหลือแค่ยกมือลงมติเลือกชื่อพรรคตามที่ได้ล็อกชื่อไว้แล้ว ให้มวลชน “เลือกชื่อ” และ “ขานรับ”

ขานรับเมื่อไหร่ก็จะได้พรรคพันธมิตรฯ มีรูปแบบการบริหารจัดการพรรคระบบ “โปลิตบูโร” อิมพอร์ตจากจีนแผ่นดินใหญ่ เอามาใช้แบบ “ไทยๆ” โพก “ผ้าเหลือง” ชู “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” และสมยอมกับ “คณะรัฐประหาร”?
 

000

 

สำหรับการปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุลในวันที่ 6 มีนาคม 2552 ที่มีรายละเอียดกล่าวถึงความจำเป็นของการมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ มีดังนี้

 

สนธิ ลิ้มทองกุล
เวทีชั่วคราวบ้านเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร,
6 มีนาคม 2552 [20]

 

1.

ทำไมผมไม่เจ็บปวดพี่น้อง ทำไมผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพราะเขาเป็นคนดี เขามีคุณธรรม แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ไม่เคยคิดว่าเราเป็นมิตร ผมอยากจะถามพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ ว่า คุณคิดว่าผมนี้เป็นใคร เป็นมิตรคุณหรือเป็นศัตรูคุณ

ไม่ ไม่ ผมอยากจะถาม ผมอยากจะถามพวกนี้จริงๆ คุณต้องการที่จะเชิดชูตัวคุณเองว่าคุณเป็นกลางแบบสุรยุทธ์ จุลานนท์ รึไง เหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา ผมก็จะถามกลับแล้วไอ้เหลืองนี่มันเหี้ยตรงไหนเหรอ ไหน ตอบให้กูรู้หน่อยซิ

ถ้าเหลืองมันไม่ดีแล้วคุณเอากษิต ภิรมย์ ไปเป็นรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) ทำไม ท่านรัฐมนตรีกษิตท่านแน่ ท่านน่าดู ท่านนักเลง ท่านบอก ผมภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ ก็ในเมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งของคุณภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ คุณมีกาวตราช้างปิดปากไว้หรือทำไมจะพูดไม่ได้ว่า ผมไม่เห็นพันธมิตรฯ เขาทำอะไรผิด เขาทำผิดอย่างมากก็คือบุกรุกสถานที่ราชการ คุณพูดแค่นี้มันจะตายหรือ

 

2.

แล้วพวกพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.หนุ่มๆ สาวๆ เนี่ย หยุดปากเสียได้แล้ว คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ ว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์คือพันธมิตรฯ ทุกคน คุณอย่าเที่ยวไปพูดอย่างนั้นนะ ขืนคุณพูดอย่างนี้ ผมพนันกับคุณได้เอาไหม ถ้ามีพรรคไหนที่พันธมิตรฯ สนับสนุน แล้วลงแข่งกับคุณทางใต้ทุกอำเภอ ทุกเขต คุณจะเหนื่อย

 

3.

พี่น้องนี่คือความในใจของผม วันนี้มิตรแท้คุณ คุณยังไม่เลือก คุณเสือกไปนอนผสมพันธุ์กับโจร ผมจะเรียนให้คุณทราบว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารักคุณอภิสิทธิ์ทุกคน เขาอาจจะเอาเฉพาะคุณอภิสิทธิ์นะ แต่ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์

เพราะฉะนั้นแล้ว การเมืองภาคประชาชนและการเมืองในสภา อาจต้องมีคู่กัน ถ้าเราสู้เฉพาะบนถนนอย่างเดียวภาคประชาชนเรามีข้อจำกัดใช่ไหมพี่น้อง มันต้องมือซ้ายก็สู้ได้ มือขวาก็ต้องสู้ได้ พี่น้องไม่ต้องไปกลัว ตราบใดที่แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นคนดูแลจริยธรรมและจรรยาบรรณของคนซึ่งเข้าไปเล่นการเมืองในสภา ไม่มีใครกล้าเบี้ยว เพราะกติกาเราชัดเจน เชื่อได้

 

4.

นายทักษิณยังป่าวประกาศอีกในนิตยสารไทมส์ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยโสโอหังเพราะได้รับการสนับสนุนจากทหารและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นไหมมันยังพูดแบบนี้ออกมาอีก

คุณเห็นหรือเปล่าพรรคประชาธิปัตย์ ทักษิณเขาเห็นอยู่แล้วคุณไปพูดให้ตายห่า คุณจะให้สุเทพพูด 10 ครั้ง ว่าผมไม่เกี่ยวกับ พันธมิตรฯ มีคดีให้ดำเนินถึงที่สุด มันก็ไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่ มันก็บอกว่าเราเป็นพวกกัน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพวกกัน

ก็ผมยังกล้ารับเลย แล้วมึงทำไมไม่กล้ารับล่ะ

 

5.

คำว่า Thank you ยังไม่มีเลยใช่ไหมพี่น้อง มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว

 

6.

อย่างน้อยที่สุด ในสภาก็ต้องมีคนยกกระทู้ปกป้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่พวกเสื้อแดงได้ ใช่ไม่ใช่ จะให้เราไปประชุมเปิดเวทีไฮปาร์กได้ยังไง ร้อนก็ร้อน ฝนตกก็เปียก เรามี 2 เวที แล้วการมี 2 เวที เวทีภาคประชาชน กับเวทีการเมืองในสภา กลับเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่ามีการตรวจสอบทั้งสองฝ่ายเลย ซึ่งเราเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่มีใครหลุดรอดเร้นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไม่ใช่พี่น้อง

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เรายังจะต้องสนับสนุนคนที่จะสมัครเป็น ส.ว. ถ้า ส.ว.ชุดนี้หมดอายุไป ใช่ไม่ใช่ เมื่อเล่นแล้วต้องเล่นให้สุดๆ พี่น้อง ถูกไม่ถูกพี่น้อง จะนั่งขี้แบบขี้หักไม่ได้ ใช่ไหม ต้องระบายมันให้หมด

 

000

 

ช่วงเวลา 20.30-23.00 น.วันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ในรายการ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถ่ายทอดสดทางเอเอสทีวี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้กล่าวปราศรัยเวทีชั่วคราวหน้าบ้านเจ้าพระยา ในประเด็นการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ

โดยการปราศรัยช่วงแรก นายสนธิกล่าวเรื่องการย้ายเที่ยวบินการบินไทยกลับไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ ขอให้พันธมิตรและพนักงานการบินไทยร่วมกันไปคัดค้านในวันที่ 10 มีนาคม 2552 เวลา 8.00 น. ซึ่งสหภาพการบินไทยเรียกประชุมด่วนในเวลา เพราะเป็นเรื่องนักการเมืองหาประโยชน์

เขากล่าวต่อไปว่า ชาติบ้านเมืองเมื่อหมดยุคทักษิณไปแล้ว หมดยุคสมัครไปแล้ว หมดยุคสมชาติ วงศ์สวัสดิ์ไปแล้ว ก็ยังเน่าเฟะอยู่เหมือนเดิม จะยังก็แค่มีนายกรัฐมนตรีคนเดียวที่เป็นคนมีคุณธรรม แต่นายกฯ คนเดียวจะเอาอยู่หรือพ่อแม่พี่น้อง

เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือประเด็นนะครับพี่น้อง ผมขอถือโอกาสประกาศไปยังสหภาพการบินไทย พนักงาน สมาชิกทุกคน ตลอดจนพนักงานการบินไทย ถ้าคุณยังรักบริษัทคุณอยู่คุณต้องไปประชุมแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นเด่นชัดนะครับ ว่าคุณไม่ยอมที่จะให้การบินไทยของคุณเจ๊งไปเพราะคนเพียงไม่กี่คนนะครับ เพราะฉะนั้นอย่าลืมนะฮะ

เพราะว่าเอกสารทางแอร์เอเชียมีชัดเจนเลย ที่ระบุว่าแอร์เอเชียจะย้ายไปดอนเมือง เป็นศูนย์การบิน และจะซื้อเครื่องบินเพิ่ม เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือการทรยศขายชาติขายบ้านขายเมือง ซึ่งคิดว่าน่าจะเริ่มหมดไปแล้ว แต่กลับยังมีอยู่ในรัฐบาลชุดนี้ ผมก็เลยอยากฝากบอกหลายๆ คนนะฮะว่า บ้านเมืองวิกฤต บ้านเมืองมันแก้แทบไม่ได้จริงๆ เพราะยังมีคนเห็นแก่ได้อยู่นะครับพี่น้อง ระบอบทักษิณยังอยู่เหมือนเดิมนะครับผ่านตัวบุคคลหลายๆ คนนะครับ และระบอบทักษิณนั้นเน้นที่ผลประโยชน์ นะฮะ

พี่น้องครับ ขอบพระคุณทีมงานประชาชนชาวภาคเหนือตอนล่างที่จัดงานให้พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและเอเอสทีวีที่พิษณุโลก และชาวสมุยนะครับที่ช่วยกันจัดคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 ที่ 4 จัดได้ยิ่งใหญ่และประทับใจมาก วันพรุ่งนี้ (7 มีนาคม 52) งานคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 5 ที่สนามกีฬาเทศบาลเมืองนครราชสีมา อย่างที่คุณแอนพพูดอย่าพลาด วันอาทิตย์ (8 มีนามคม 52) ผมต้องเชิญชวนพี่น้องพันธมิตรให้รวมตัวกันไปที่สุพรรณให้เยอะที่สุด อำเภอสามชุก ตลาดร้อยปี นะครับ

ทำไมต้องไป ผมจะเล่าให้ฟัง

 

ที่ต้องไปเพราะว่า คุณบรรหาร ศิลปะอาชา ใช้ทุกวิถีทางไม่ให้มีการจัดงานที่สุพรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดลงไปกดดันคนจัดงาน แม้กระทั่งนายอำเภอสามชุก ยังเข้าไปพูดเสียงละห้อยบอกว่าผมเพิ่งถูกย้ายมา อย่าจัดได้ไหม เดี๋ยวผมโดนย้ายอีก

ที่พวกเราต้องไปเพราะว่าตัวตั้งตัวตีของคนจัดงานนั้นเขาตั้งใจที่จะเอาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปให้ความรู้คนสุพรรณ เขาหาที่จัดไม่ได้เลย สนามกีฬาจังหวัด ศาลากลางไม่มีสิทธิ เลยต้องไปรวมตัวที่สามชุก ทำไมต้องสามชุก เพราะตลาดร้อยปีสามชุกนั้น ไม่เคยได้รับความใส่ใจจากนายบรรหาร ศิลปะอาชา

เขาต่อสู้กับพวกเทสโก้ โลตัส แต่พรรคชาติไทยไม่เคยช่วยอะไรเขา เขาก็เลยรวมตัวกันพัฒนาตลาด 100 ปี จนกระทั่งตลาด 100 ปีอยู่ได้ เพราะฉะนั้นอันนี้ก็เลยเป็นหนามตำใจ คนที่จัดก็เลยจัดที่ตลาดสามชุก เขาทำทุกอย่าง เขาอุตส่าห์ไปทำเสื้อมา 2,000 ตัว เขาจะขายตัวละ 100 บาท ได้มาสองแสนเขาบอกเขาจะยกให้เอเอสทีวีหมดเลย เขาไม่เอาต้นทุน

และที่สำคัญพี่น้อง วันหนึ่งระหว่างเขาดำเนินการอยู่ เขาเดินเข้าบ้าน หัวใจวายตาย ลูกเมียก็เลยตัดสินใจเพื่อสืบสานเจตนารมณ์ของพ่อ จัดงานต่อให้เสร็จเพราะฉะนั้น พวกเราต้องไปให้ได้ อย่างน้อยต้องไปเพื่อเป็นเกียรติแสดงความเคารพต่อจิตวิญญาณของเขาและให้ความเคารพกับจิตใจนักสู้ของคนที่ริเริ่มจัดงานอันนี้ให้เห็น ให้เห็นว่า ชีวิตเขาสิ้นไปเพราะเขาต้องการทำเพื่อชาติ เพื่อบ้าน เพื่อเมือง เพื่อพระมหากษัตริย์

เราต้องไปให้กำลังใจคนสุพรรณ เราไปกันเยอะๆ และผมขอเชิญชวนพี่น้องชาวสุพรรณที่ดูเอเอสทีวีอยู่ ต้องไปกันที่สามชุก เพราะว่า พี่น้องครับความเจริญของ จ.สุพรรณบุรีนั้น เจริญได้ด้วยเงินภาษีอากรของพ่อแม่พี่น้อง ไม่ได้เป็นเงินของโคตรพ่อโคตรแม่ของตระกูลใด

คุณบรรหารไม่ใช่เจ้าของสุพรรณบุรี ศิลปะอาชาไม่ใช่เจ้าของสุพรรณบุรี เงินที่สร้างโรงเรียน เงินที่สร้างถนน ติดป้ายไปหมด โรงเรียนแจ่มใส บรรหารแจ่มใส ศิลปะอาชา ทั้งๆ ที่เงินนั้นเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนทั่วประเทศไทย คุณบรรหารไม่ได้เป็นเจ้าของเลย

พี่น้องชาวสุพรรณต้องจำคำพูดอันนี้เอาไว้ พี่น้องชาวสุพรรณเป็นหนี้สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ไม่ได้เป็นหนี้บรรหาร ศิลปะอาชา

คุณบรรหารก็เป็นลูกเจ๊ก ลูกจีนเหมือนผม ผมแซ่ลิ้ม คุณบรรหารเป็นคนแซ่เบ๊ ไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันตรงที่คุณบรรหารเล่นการเมือง แต่ผมไม่ต้องการอะไรในชีวิตนอกจากต้องการให้ชาติบ้านเมืองอยู่ได้

เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องชาวสุพรรณถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้ว ถ้าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงศึกยุทธหัตถีที่สุพรรณบุรี วันนี้เป็นวันที่ชาวสุพรรณจะมาทำศึกยุทธหัตถีกับบรรหาร ศิลปะอาชาที่สุพรรณบุรีเช่นกัน

 

(เปลี่ยนจากการยืนปราศรัยเป็นการนั่งปราศรัย)

ค่อยยังชั่วหน่อย ได้ยืนนานพอสมควร เริ่มเจ็บละ แสดงว่าเริ่มดีขึ้น เพราะแต่ก่อนยืนนานกว่านี้ไม่ได้ พี่น้อง มัน 62 แล้วอย่าไปคิดอะไรมากเลย พี่น้องอย่าลืมนะครับ วันอาทิตย์ อำเภอสามชุก เขาจัดที่ศาลาประชาคม อาจจะไม่ใหญ่มากนัก แต่เราต้องไปกันให้ล้นศาลาประชาคม ให้ล้นกันออกมามากๆ เพื่อให้เขาเห็น ว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องไปช่วยให้กำลังใจพันธมิตรชาวสุพรรณบุรีพี่น้อง นะครับ และแกนนำพันธมิตรฯ ทั้ง 5 คนจะไปกันหมดครับพี่น้องครับ

พี่น้องครับ วันนี้ผมมีเรื่องในใจมาพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้อง นะฮะ เอ่อ (บอกให้ทีมงานย้ายโต๊ะที่บังด้านหน้าเขาออก) วันนี้ผมมีเรื่องในใจที่จะมาพูดให้กับพ่อแม่พี่น้อง มีเรื่องมาเล่าให้พ่อแม่พี่น้องฟังตั้งแต่ต้น (ผู้ชุมนุมปรบมือและส่งเสียงชอบใจ) ขอประทานโทษ คนแก่หลงลืมบ่อยมักจะไม่ค่อยรูดซิป รู้สึกนั่งแล้วมันเย็นๆ ยังไงชอบกล ก็เลยอ๋อลมมันเย็น พัดลมมันเย็น

ผมมีเรื่องระบายให้พ่อแม่พี่น้องฟังนิดหนึ่ง ทนฟังผมอีกนิดเถอะ

2548 นั้น ตอนที่ผมลุกขึ้นมาสู้คุณทักษิณนั้น ผมไม่ได้คิดว่าจะมีพ่อแม่พี่น้องมาร่วมกระบวนการมากมายอย่างมหาศาล 2548 ที่เอาทุกอย่างเข้ามาสู้นั้น ไม่ได้คิดอะไรเลย เพราะว่าพ่อแม่ครูอาจารย์สอนว่า สนธิ ให้เอาธรรมนำหน้า ถ้าเอาธรรมนำหน้าแล้วชนะสนธิ นั่นคือคำพูดพ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ธรรมที่พ่อแม่ครูอาจารย์พูดก็คือ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง คำว่า ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง มันมีมิติของธรรมอย่างลึกซึ้ง นั่นก็คือชีวิตมีแต่ความว่างเปล่า เพราะฉะนั้นแล้ว มีสมบัติ กับไม่มีสมบัติ ไม่มีอะไรต่างกัน ถูกไม่ถูก มีชีวิตกับตายก็ไม่มีอะไรต่างกัน เพราะทุกอย่างเป็นอนัตตาหมด ความว่างเปล่าเป็นเรื่องสมมติ

ด้วยเหตุนี้พลังการต่อสู้ก็เลยมี และนี่คือที่มาของการจุดเทียนแห่งธรรม

คำว่าจุดเทียนนั้น เป็นคำพูดที่ผมพูดที่หอประชุมธรรมศาสตร์ จำได้ไหม ผมบอกว่าในการสู้นั้น มีคนพยายามจะจุดเทียนหลายคนในอดีต แต่จุดทีไรลมมันพัดแล้วดับทุกที ทำไมลมมันถึงพัดแล้วดับ คำว่าลมพัดเทียน หมายความว่าอย่างไร หมายความว่าลุกขึ้นมาสู้ระบอบทักษิณนั้นจะต้องโดนรังแก ทำธุรกิจจะต้องโดนรังแกทางธุรกิจ ความปลอดภัยในชีวิตก็ไม่มีจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ โดนรังแกทางกระบวนการศาล กระบวนการศาลมีบางส่วนที่อยู่ในระบอบทักษิณ ถูกยื่นเข้าไป ถูกจับเข้าไป ออกหมายจับไม่ให้ประกันตัว หรือว่าพิพากษาอย่างโน้นอย่างนี้ คือพูดง่ายๆ ว่า พอคดีความถึงศาล แค่มองตาก็รู้แล้วว่ากูโดนแน่งานนี้

สำหรับคนที่ไม่เคยชินมันจะกลัว ผมโดนเข้าไป 3 คดีเนี่ย 6-7 ปีเข้าไปแล้ว ลำพังคนที่ไม่เคยขึ้นศาล แค่ขึ้นศาลก็ศาลก็ขาสั่นแล้ว นี่ผมโดนไปตั้ง 3 คดี และยังนับอีกไม่รู้อีกกี่คดีที่จะต้องโดนต่อไป

เพราะฉะนั้นแล้ว พ่อแม่พี่น้องจะเห็นได้ชัด ว่าด้วยเหตุนี้การจุดเทียนมันไม่ง่าย คนจุดถ้าให้เทียนมันติด พี่น้องจำได้หรือเปล่าว่าผมพูดอย่างไร ผมบอกว่าต้องเอาหลังบังลม โอบเทียนเอาไว้อย่างนี้ ลมจะแรงแค่ไหน ก้อนอิฐจะปลิวมากับลม สังกะสีจะปลิวมาบาดตัวเรา โดนศีรษะเราจนเราหัวแตก เราต้องทน กัดฟันทน และนั่นคือที่มาของการโดนฟ้อง การโดนขู่ฆ่า การทำลายทางธุรกิจทุกอย่าง

เมื่อมันเริ่มติดแล้ว ไฟมันเริ่มสว่าง คนก็เห็นว่า เฮ้ย สังคมที่มันมืดมิดนี้ มันมีเทียนเล่มนั้นติดอยู่ ไปดูหน่อยซิ เรานั่งอยู่ในความมืดมานานแล้ว ทุกคนก็เริ่มไป ก็เอาเทียนตัวเองไปจ่อ จ่อทีละเล่ม ทีละเล่ม ทีละเล่ม ในที่สุดเทียนเล่มน้อย ก็ถูกหล่อมาเป็นเทียนพรรษาเล่มใหญ่ เมื่อเทียนมันสว่างขึ้นมาแล้วสังคมมันสว่าง มันก็เลยทำให้ความมืดมันค่อยๆ หมดไป นี่พูดแบบสรุปง่ายๆ ยังไม่นับถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต หลังจากนั้นแล้ว เราก็มีเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกหลายท่านเข้ามาร่วมกัน ที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ที่พร้อมจะตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง

คนอย่าง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง คนอย่างพี่สมศักดิ์ โกศัยสุข คนอย่างพี่พิภพ ธงไชย คนอย่างอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นั่นคือที่มาของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 5 คน

และแกนนำนี้ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ว่าเราจะสู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ โดยที่เราไม่ต้องการผลประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ถ้าเราจะบาดเจ็บ ขอบาดเจ็บแทนพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเราจะต้องตาย เราขอตายแทนพ่อแม่พี่น้อง ถ้าเราจะต้องโดนบีบคั้น เราขอโดนบีบคั้นแทนพ่อแม่พี่น้อง เพราะว่ามันเริ่มมีเทียนพรรษาหลายๆ เล่มมารวมกันแล้ว กำลังจะสว่างเหมือนพระอาทิตย์ต่อไป ถ้าเราอดทนได้

ด้วยเหตุนี้ 2548 ต่อ 2549 เราก็สู้กับระบอบทักษิณ อย่างชนิดที่เรียกว่าไม่หยุดยั้ง และก็ไม่ยอมแพ้ ถึงแม้ว่าจะลำบากยากแค้นขนาดไหน จะโดนไล่ตามไล่ฆ่าไปขนาดไหนก็ตาม เราก็จะไม่มีวันที่จะยอมแพ้ ด้วยเหตุนี้ประชาชนทั่วไปหมดเลย ทั่วประเทศเริ่มถามกับตัวเองว่า คน 5 คนนี้มันเป็นอะไร มันถึงบ้าเลือดถึงขนาดนี้ เริ่มให้ความสนใจ

ASTV ในยุคแรก โดนกลั่นแกล้งสารพัด ASTV ถ่ายทอดผ่านดาวเทียมภาพไม่เคยชัด โดนบริษัทอินเตอร์เน็ต การสื่อสารแห่งประเทศไทยกลั่นแกล้ง คลื่นวิทยุ 97.75 ก็โดนกลั่นแกล้ง หนังสือพิมพ์ก็โดนกลั่นแกล้ง เว็บไซต์โดนกลั่นแกล้ง โดนแกล้งไปหมด ถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วนี่ต้องคุกเข่าลงแล้วร้องไห้แล้ว หรือไม่ทางภาษามวยคือโยนผ้ายอมแพ้ แต่เราไม่ยอมแพ้ เพราะเรามีความเชื่อมั่น ว่าสิ่งที่เราทำนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเราเอาธรรมนำหน้า นั่นคือที่มาของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และราชบัลลังก์ เพราะเรามีความเชื่อมั่นว่าชาตินั้นประกอบด้วยศาสนา และพระมหากษัตริย์

ถ้าศาสนาอ่อนแอ พระมหากษัตริย์ก็อยู่ไม่ได้ ถ้าพระมหากษัตริย์อ่อนแอ ศาสนาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าศาสนาอยู่ไม่ได้หรือพระมหากษัตริย์อยู่ไม่ได้ ชาติก็อยู่ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ก็เลยเป็นที่มาของประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกเชื้อชาติ ทุกสัญชาติ มารวมตัวกัน ในการรวมตัวกันเมื่อปี 2548 ปลายปีต่อ 2549 นั้น ยังเป็นการรวมกันในระดับหนึ่ง นั่นคือการรวมตัวกันเพื่อขับไล่คุณทักษิณให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

แต่การรวมตัวกันเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 เป็นการรวมตัวกันด้วยองค์ความรู้และปัญญาที่สูงกว่าเก่า ที่พ่อแม่พี่น้องที่มารวมกันเริ่มเข้าใจแล้วว่าปัญหานอกจากจะอยู่ที่คุณทักษิณคนเดียว ยังมีอีกหลายองค์ประกอบที่ก่อให้เกิดปัญหา ถ้าเราไม่เข้ามาแก้ไข และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เป็นคนแรกที่พูดถึงการเมืองใหม่ ใช่ไม่ใช่พี่น้อง คนอื่นไม่เคยพูดเลยแม้แต่นิดเดียว และผมเองเป็นคนใช้ศัพท์คำว่า ประชาภิวัฒน์ ขึ้นมาบนเวที นั่นก็คือเอาประชาชนมาอภิวัฒน์ให้ร่วมกัน

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่เคยทำอะไรโดยไม่ถามพ่อแม่พี่น้องก่อน ในกระบวนการที่เราสร้างคนขึ้นมา กระบวนการที่พ่อแม่พี่น้องมาร่วมกันบริจาคเงิน บริจาคทองให้ ทำให้กระบวนการนั้นเดินหน้าต่อไปได้ ตราบจนกระทั่งมีการทำร้ายทำลายเรา ประชาชนบริสุทธิ์ที่รักชาติรักแผ่นดิน น้องโบว์สองโบว์ สารวัตรจ๊าบ หลายคนที่เสียชีวิตไปเพราะว่ามาชุมนุมกันอย่างสันติ อหิงสา และไม่ได้ใช้ความรุนแรง แต่โดนปราบปราม ทั้งหมดนี้ก่อให้เกิด 193 วันแห่งหลอม หลอมพวกเราให้แข็งแกร่ง หลอมพวกเราให้มีความรู้สึกว่าพวกเราจะทิ้งซึ่งกันและกันไม่ได้เลย แล้วหลอมให้พวกเรารู้ว่าคำว่าชาตินั้นมันยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่าง

เราทำไม่ใช่เพื่อชาติอย่างเดียว เราทำเพื่อลูกหลานเรา เราทำเพื่อเหลนของเรา เราทำเพื่อพระเจ้าอยู่หัวของเรา อุดมการณ์ตรงนี้ มันยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีมา อุดมการณ์อันนี้ สิ่งที่เราจะแพ้อยู่อย่างเดียวคือ การกู้ชาติของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเท่านั้นเอง นอกจากนั้นแล้ว ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า 193 วันนี้ พอมาถึง 193 วันเสร็จเรียบร้อยแล้ว พี่น้อง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเฉพาะรุ่น 1 เคยประกาศเป็นสัจจะวาจา ผมไม่อยากใช้คำว่าสัจจะวาจา ให้สัญญากับพี่น้องว่าเราจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง และเราก็จะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง

แค่ว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ นั้น ยุทธศาสตร์เหมือนเดิม คือ ทำให้ชาติบ้านเมืองเกิดขึ้นได้ แต่เราจำเป็นต้องมีหลายยุทธวิธี ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เราจำเป็นต้องมีหลายยุทธวิธี เมื่อชุมนุมเสร็จเรียบร้อย สุริยะใส (กตะศิลา) มาพบผม คุณเทิดภูมิ ใจดี มาพบผม คุณสนธิเราต้องตั้งพรรคการเมือง ผมบอกเฮ้ย อย่าเพิ่งเลย ทุกคนมาพูด ทุกคนก็บอกว่าคุณสนธิ คุณสนธิไม่ตั้งไม่เป็นไร ให้หลายๆ คนไปตั้ง แล้วให้พันธมิตรฯ ก็สนับสนุนสิ

ผมบอกว่า เดี๋ยวก่อน คุณพูดง่ายทำยาก คุณจะซี้ซั้วให้คนโน้นคนนี้ไปตั้ง แล้วจะให้ผมมาบอกพ่อแม่พี่น้อง ว่าพ่อแม่พี่น้องให้ช่วยพรรคนี้พรรคโน้นพรรคนี้ เรายังไม่ได้คุยเลยกันว่าอุดมการณ์ของคุณมีตรงไหน ใช่ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ซี้ซั้วมาพูด บอกว่า แกนนำไม่ควรจะตั้งพรรค ควรจะปล่อยคนรุ่นหลังๆ ไปตั้งพรรคกัน ไม่ต้องมากลัวพวกผมตั้งพรรค ไม่ต้องมากลัว ผมไม่รับตำแหน่งทางการเมือง ผมจะยังคงอยู่ ASTV เหมือนเดิม แล้วไม่มีใครที่จะไปรับตำแหน่งทางการเมือง หมายความว่า ไม่มี จะเป็นรัฐมนตรี จะเป็นรองนายกฯ ไม่มีใครเอาทั้งสิ้น

แต่ว่าพรรคการเมืองมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของการเมืองภาคประชาชนเหมือนกัน ใช่ไม่ใช่พี่น้อง เพราะว่าการต่อสู้ทางการเมืองมี 2 อย่าง หนึ่ง สู้ในภาคประชาชน ซึ่งเราทำแล้ว ถามต่อว่า วันนี้ถ้าเราจะสู้ต่อไปในทางการเมือง โดยภาคประชาชนเป็นตัวเดิน สหภาพฯ การบินไทยมีปัญหา เราก็ต้องเดินขบวนไปที่การบินไทย ไปเรียกร้อง ช่วยเขา การประปานครหลวงมีปัญหา เอ้าพ่อแม่พี่น้อง ไปการประปาฯ เอ้า ป.ป.ช.ทำไมไม่พิจารณาอันนี้ เอ้าพวกเราระดมคนเดินไป ป.ป.ช. เอ้า กกต. มีปัญหา เอ้า เดินไป กกต. ตกลงเราคือใครกันแน่ เข้าใจหรือยังพี่น้อง

เราสู้ในเรื่องใหญ่ๆ เราสู้ในเรื่องของหลักการ เราสู้ในเรื่องของการเป็นนอมินีเราไม่ยอม เราสู้ในเรื่องของการแก้รัฐธรรมนูญเราไม่ยอม เราสู้ในเรื่องการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเราไม่ยอม แต่การบริหารชาติบ้านเมืองนั้น เราจะใช้ภาคประชาชนไปเที่ยวเดินขบวนนั้นมันไม่ได้ ถูกไม่ถูกพี่น้อง ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน มันจะเสียหายตรงไหน มันจะเสียหายตรงไหน ถ้าหากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสนับสนุนพรรคการเมือง อาจจะ 3 พรรคก็ได้ เราไม่ขัดข้อง คุณตั้งมาสิ คุณไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อยากตั้งพรรคการเมืองร่วมกับ พล.ต.มนูญกฤต รูปขจร แล้วมีคุณประชัย เลี่ยวไพรัตน์ หนุนหลัง ก็ตั้งไปสิ

แต่ ถามผมก่อนได้ไหม ถามแกนนำสัก 5 คนก่อนได้ไหม ถามแกนนำว่า ปรัชญาของคุณอยู่ที่ไหน คุณพร้อมไหมที่จะไม่รับตำแหน่งการเมือง ถึงคุณมี ส.ส.20-30 คน คุณไปร่วมรัฐบาล คุณต้องไม่รับตำแหน่งนะ คุณตอบได้ไหม ถ้าคุณกล้าออกมาคุณไม่รับตำแหน่ง ถ้าคุณกล้าออกเสียสละของคุณ และถ้าคุณกล้าพอที่จะบอกว่า กล้าพอที่จะบอกออกมาอย่างชัดเจนว่าคุณมีความกล้าหาญ และคุณพร้อมที่จะไม่รับเงินนายทุน คุณบอกที่มาที่ไปของเงินที่มาสนับสนุนพรรคการเมือง ถ้าคุณทำเช่นนั้นได้ ผมจะเป็นคนแรกที่ยืนออกมาแล้วบอกว่า พ่อแม่พี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สนับสนุนพรรคนี้ สนับสนุนพรรคนั้น ถูกไม่ถูกพี่น้อง

การมาพูดว่าแกนนำนั้น ไม่ใช่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดอีกก็ถูกอีก เพราะเราไม่เคยคิดว่าเราเป็นเจ้าของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เราเคยคิดว่าถ้าเราจะทำอะไรยิ่งใหญ่ เราจะถามพ่อแม่พี่น้องก่อนเสมอ ใช่ไม่ใช่ ถูกไม่ถูกพี่น้อง เพราะฉะนั้นแล้วพี่น้องต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการให้การต่อสู้ของเรา 193 วัน ตายไปแล้ว 10 กว่าคน บาดเจ็บ 700 กว่าคน พิการอีกเยอะแยะ กลายเป็นพื้นที่เวทีให้คนอื่นมาฉกฉวย แล้วบอกว่า นี่คือพรรคเครือข่ายพันธมิตรฯ เพราะฉะนั้นให้พันธมิตรฯ ช่วยลงคะแนนเสียงให้ พี่น้องยอมไหม (ผู้ชุมนุมตอบ ไม่ยอม)

นั่นคือเหตุผลที่สำคัญที่สุดพี่น้อง เข้าใจหรือยังพี่น้อง

ในขณะนี้มีกระบวนการแบบนี้เกิดขึ้น พี่น้องเข้าใจหรือยัง มาพูดบอกว่าพันธมิตรฯ ไม่ควรจะตั้งพรรคการเมือง ควรจะให้คนอื่นเขาตั้งกัน แล้วพันธมิตรฯ สนับสนุน เอ๊ะ มันไม่ง่ายไปหน่อยหรือไงวะ

เข้าใจหรือยังพี่น้อง ไม่ต้องห่วง คนอย่างผมมีสัจจะ รับปากว่าผมไม่รับตำแหน่งการเมือง ผมก็ไม่รับ ถ้าวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องรับเพราะว่ามีโอกาสเข้าแก้ไขปัญหาประเทศชาติ ผมจะบอกเลย ผมไม่เป็นตัวอีแอบ และผมจะขออนุญาตพ่อแม่พี่น้องว่าจะให้หรือไม่ให้ นี่ยกตัวอย่างให้ฟังง่ายๆ แต่ไม่มี ไม่เคยคิด

ผมก็บอกสุริยะใสไป บอกว่า ใส ถ้าจะตั้งพรรคการเมือง เงื่อนไขต้องมี คุณมีอะไรที่แสดงให้พ่อแม่พี่น้องเห็นว่าคุณเป็นการเมืองใหม่บ้าง

ทำไมผมไม่เจ็บปวดพี่น้อง ทำไมผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ผมต้องหนุนคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะเพราะเขาเป็นคนดี เขามีคุณธรรม แต่ในพรรคประชาธิปัตย์ด้วยกันเอง ไม่เคยคิดว่าเราเป็นมิตร ผมอยากจะถามพรรคประชาธิปัตย์วันนี้ ว่า คุณคิดว่าผมนี้เป็นใคร เป็นมิตรคุณหรือเป็นศัตรูคุณ (ผู้ชุมนุมปรบมือและตะโกนว่าเป็นศัตรูเลย)

ไม่ ไม่ ผมอยากจะถาม ผมอยากจะถามพวกนี้จริงๆ คุณต้องการที่จะเชิดชูตัวคุณเองว่าคุณเป็นกลางแบบสุรยุทธ์ จุลานนท์ รึไง เหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา ผมก็จะถามกลับแล้วไอ้เหลืองนี่มันเหี้ยตรงไหนเหรอ ไหน ตอบให้กูรู้หน่อยซิ

ถ้าเหลืองมันไม่ดีแล้วคุณเอากษิต ภิรมย์ ไปเป็นรัฐมนตรี (กระทรวงการต่างประเทศ) ทำไม ท่านรัฐมนตรีกษิตท่านแน่ ท่านน่าดู ท่านนักเลง ท่านบอก ผมภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ ก็ในเมื่อรัฐมนตรีคนหนึ่งของคุณภูมิใจที่เป็นพันธมิตรฯ คุณมีกาวตราช้างปิดปากไว้หรือทำไมจะพูดไม่ได้ว่า ผมไม่เห็นพันธมิตรฯ เขาทำอะไรผิด เขาทำผิดอย่างมากก็คือบุกรุกสถานที่ราชการ คุณพูดแค่นี้มันจะตายหรือ

ผมโดนกี่คดี พี่น้องโดนกี่คดี วันดีคืนดีปล่อยให้ตำรวจชั่วๆ มันมาตั้งข้อหา 21 คน แล้วคุณก็นั่งกระดิกเท้าเฉยๆ คุณก็บอกว่าคุณไม่แทรกแซง ปัญหาไม่ใช่เรื่องคุณแทรกแซงหรือไม่แทรกแซง ปัญหาเรื่องที่คุณต้องถามตัวคุณเองว่า พันธมิตรฯ หรือใครก็ตามไม่จำเป็นต้องเป็นพันธมิตรฯ ได้รับการปฏิบัติอย่างชอบธรรมบนพื้นฐานของความยุติธรรมรึเปล่า คุณไม่เคยคิดในเรื่องนี้ แล้วคุณไม่เคยพูดในเรื่องนี้ แต่คุณจะเอาแต่ได้อย่างเดียว คุณจะเอาแต่ได้อย่างเดียว

แล้วคนในพรรคประชาธิปัตย์บางคนก็บอกว่า พวกเราจะผิดหวัง คอยดู พรรคพันธมิตรฯ มันจะผิดหวัง เพราะเขาบอกว่าพันธมิตรฯ ทุกคนคือประชาธิปัตย์ เขาพูดอย่างนี้ ผมไม่ได้ขัดข้อง ผมยังคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคที่ดีที่สุด ก่อนที่พรรคพันธมิตรจะเกิด

ผมบอกว่า ผมมีความเคารพในตัวพี่ชวน (หลีกภัย) รักกันมาก พี่บัญญัติ (บรรทัดฐาน) ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ท่านเป็นคนดี คุณกอร์ปศักดิ์ (สภาวสุ) เป็นคนดี กรณ์ จาติกวณิช เป็นคนดี แต่คุณมีปัญหาอย่างหนึ่ง คุณต้องไปตัดแว่น เพราะคุณมองศัตรูกับมิตรไม่ออก

คุณยังไม่จำเป็นต้องปลดผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพราะว่าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นน้องชาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ (รมว.กลาโหม) ซึ่งประวิตร วงษ์สุวรรณเป็นเจ้านายอนุพงษ์ เผ่าจินดา และเป็นคนที่ทำให้คุณเป็นรัฐบาลได้ ไม่ต้องปลดเขา ไม่เป็นไรผมไม่ว่า แต่คนที่รับผิดชอบกับการตายของประชาชนอย่างนายสุชาติ เหมือนแก้ว, อำนวย นิ่มมะโน ทำไมยังให้มีอำนาจอยู่นี่คุณทำได้อย่างไร

10 กว่าคนที่ตายไป 700 กว่าคนที่บาดเจ็บ อีกหลายสิบคนที่พิการ เพื่อให้คุณเป็นรัฐบาล แล้วคุณเอาส้นตีนลูบหน้าคนตาย ลูบหน้าพันธมิตรฯ ทำได้ยังไง ไอ้คนที่มีส่วนร่วมในการฆ่าประชาชน นั่งอยู่กันสบายมีอำนาจเหมือนกันหมดทุกคน เหมือนกันหมดทุกคน คุณไม่ต้องไล่ออกก็ได้ คุณย้ายเข้าไปประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้ จะรอไล่ออกก็ต่อเมื่อ ป.ป.ช.ชี้มูล คุณทำได้ทำไมคุณไม่ทำ

ผมไม่ได้มีอะไร แต่ผมคิดว่าคุณ ผมถึงต้องทบทวน ผมถึงต้องถามคุณเป็นทางการบนเวทีวันนี้ว่าคุณมองผมเป็นมิตรหรือเป็นศัตรู คุณต้องตอบคำถามนี้มาก่อน พันธมิตรฯ เขารักคุณ แต่คุณอย่าให้พันธมิตรฯ ต้องแค้นคุณนะ

แล้วพวกพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.หนุ่มๆ สาวๆ เนี่ย หยุดปากเสียได้แล้ว คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ คุณอย่าเที่ยวไปพูดนะ ว่าคนที่ลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์คือพันธมิตรฯ ทุกคน คุณอย่าเที่ยวไปพูดอย่างนั้นนะ ขืนคุณพูดอย่างนี้ ผมพนันกับคุณได้เอาไหม ถ้ามีพรรคไหนที่พันธมิตรฯ สนับสนุน แล้วลงแข่งกับคุณทางใต้ทุกอำเภอ ทุกเขต คุณจะเหนื่อย

ไอ้คนที่อยู่ในพรรคประชาธิปัตย์แล้วพูดออกมาอย่างนี้ มันไม่รู้หรอก เพราะมันไม่ได้มาร่วมชุมนุมกับคนใต้ที่ทำเนียบ มันไม่ได้หุงข้าวกับเขา มันไม่ได้วิ่งหนีลูกปืนกับเขา มันไม่ได้วิ่งหนีระเบิดกับเขา

วันนี้เสาไฟฟ้า ลงไปปักแล้วก็ให้เลือกเสา คนใต้ไม่เอาแล้วนี่ผมเตือนนะ ผมต้องเตือนก่อนนะ แต่ว่าผมก็ยังเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังมีคุณงามความดีอยู่ ขออย่างเดียว ให้คุณมีความกล้าหาญเสียหน่อย อย่ารังแกจิตใจพันธมิตรฯ ให้มากเกินไปกว่านี้อีก พูดจาให้ระวัง คุณตอบคำถามได้หมด เพราะว่าพันธมิตรฯ มีความชอบธรรมทุกเรื่อง ถ้ามันถามว่าทำไมไม่ดำเนินคดีพันธมิตรฯ ทุกที คุณก็บอกเขาโดนดำเนินคดีไป 400 กว่าคดีแล้ว แล้วจะบอกได้ยังไงว่าไม่ดำเนินคดี

ถ้าไอ้เสื้อแดงที่ไปกระทืบทหารแล้วโดนออกหมายจับภายใน 7 วัน มันบอกว่าทำไมทำส้นตีนอย่างนี้ ก็บอกเสียสิว่า ทำไมคุณถึงพูดจาหยาบคาย พันธมิตรฯ เขาไม่เคยพูดจาหยาบคายอย่างนี้ แล้วพันธมิตรฯ โดนหมายจับยังไม่ถึง 7 วัน ก็มีหลายคดี คุณก็ตอบเขาไปสิ เวลานักข่าวเอาไมค์จ่อปากถามคุณ บอกว่าที่พันธมิตรฯ เขาจะขอเปลี่ยนตัวผู้สอบสวน หัวหน้าพนักงานสอบสวน กรณีออกหมายจับพันธมิตรฯ 21 คน ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ทำไมไม่ตอบไปล่ะ ว่าเมื่อยื่นมาแล้วผมขอดูก่อนว่ามีเหตุผลไหม ถ้ามีเหตุผลพอเพียงผมก็จะเรียกให้ ผบ.ตร.เปลี่ยนให้ แต่ถ้ามีเหตุผลไม่พอเพียงก็ไม่ต้องเปลี่ยน คุณตอบแค่นี้มันตายเหรอ ทำไมคุณต้องบอกว่า ไม่เห็น ไม่มีๆๆ ไม่มีการเปลี่ยน ยังเหมือนเดิม

 

พี่น้องนี่คือความในใจของผม วันนี้มิตรแท้คุณ คุณยังไม่เลือก คุณเสือกไปนอนผสมพันธุ์กับโจร ผมจะเรียนให้คุณทราบว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเขารักคุณอภิสิทธิ์ทุกคน เขาอาจจะเอาเฉพาะคุณอภิสิทธิ์นะ แต่ไม่เอาพรรคประชาธิปัตย์

เพราะฉะนั้นแล้ว การเมืองภาคประชาชนและการเมืองในสภา อาจต้องมีคู่กัน ถ้าเราสู้เฉพาะบนถนนอย่างเดียวภาคประชาชนเรามีข้อจำกัดใช่ไหมพี่น้อง มันต้องมือซ้ายก็สู้ได้ มือขวาก็ต้องสู้ได้ พี่น้องไม่ต้องไปกลัว ตราบใดที่แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นคนดูแลจริยธรรมและจรรยาบรรณของคนซึ่งเข้าไปเล่นการเมืองในสภา ไม่มีใครกล้าเบี้ยว เพราะกติกาเราชัดเจน เชื่อได้

2548 มาถึงวันนี้ 193 วัน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง สนธิ ลิ้มทองกุล พิภพ ธงไชย สมศักดิ์ โกศัยสุข และสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พิสูจน์ให้พ่อแม่พี่น้องเห็นแล้วว่าเราไม่ต้องการอะไร เรามีแต่ใจและชีวิตมอบให้พ่อแม่พี่น้องเท่านั้นเอง คำพูดเราหนักแน่นยิ่งกว่าทองคำ มั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ถ้าผมบอกผมก็ไม่เล่นการเมือง ผมก็ไม่เล่น ผมไม่รับตำแหน่งผมก็ไม่รับ ไม่มี เอาตำแหน่งนายกฯ มาให้ก็ไม่เอา

นี่ไงพี่น้อง นี่คือการเมืองใหม่ การเมืองใหม่ของผู้ที่มีโอกาส มีอำนาจ แต่ไม่แย่งชิงอำนาจนี้เข้ามาเพื่อหลงใหลและลุ่มหลงในอำนาจ ใช่ ไม่ใช่พี่น้อง

แต่การเมืองใหม่มันต้องสู้ได้ทุกรูปแบบ มันจะเสียหายตรงไหน เอ้าสุริยะใสตั้งพรรคการเมืองก็ตั้งไปสิ โอเค แต่ว่าถ้าหากกติกาเหมือนที่เราตกลงกัน โอเค เทิดภูมิ ใจดี จะตั้งก็ตั้งไป ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ มนูญกฤต รูปขจร อยากตั้งตั้งไป แต่ยอมรับในเงื่อนไขกติกาของเราหรือเปล่า

เพราะฉะนั้นแล้ว บทบาทของผมกับพี่ลอง และพี่พิภพ และพี่สมศักดิ์ ชัดเจน อาจารย์สมเกียรติแกเล่นการเมืองอยู่แล้ว ปล่อยแกไป แต่เรา 4 คนนี่ชัดเจน ใช่ ไม่ใช่พี่น้อง เรา 4 คนชัดเจน ไม่ต้องเดา เพราะว่าเราสนับสนุนให้มีพรรคพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแน่นอน จะมี 1 พรรค หรือจะมี 2 พรรค หรือ 3 พรรค ได้ทั้งนั้น แต่ว่าทุกคนต้องยอมรับในกติกาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คือพรรคที่เป็นของประชาชนจริงๆ

นี่คือความในใจของผม ผมไม่เคยคิดที่จะไปแย่งที่นั่ง ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าคุณคิดเป็นระหว่างผมกับเนวิน ชิดชอบ คุณเชื่อใจใครมากกว่า ใช่ไม่ใช่ ถ้าคุณคิดแค่นี้คุณยังคิดไม่ออก คุณก็ไปลงนรกซะ

คุณรู้ได้ยังไงว่าเนวินไม่หักหลังคุณในที่สุด คนบางคนโตมาเพราะผลประโยชน์ กับคนบางคนยอมตายเพื่อชาติ เพียงแค่นี้คุณก็ดูไม่ออกเชียวหรือ ตอบผมหน่อยเท่านั้นพอแล้ว ตอบผมหน่อยเท่านั้นพอแล้ว ว่าคุณมองพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มองแบบกลางๆ หรือมองแบบมิตร หรือมองแบบว่าไม่ให้มันเจริญเติบโต

พี่น้อง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ผมจะตอบให้คุณรู้สักหน่อยระหว่างแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่จะเชิญพ่อแม่พี่น้องออกมาต่อสู้ในเรื่องบางประเด็น กับพรรคการเมืองบางพรรคที่เรียกพ่อแม่พี่น้องออกมา สู้พวกเราไม่ได้หรอกพี่น้อง เพราะของเราคือมวลชนตัวจริง และผมจะบอกให้รู้พี่น้อง จำได้ไหมที่เวทีสระบุรี ผมบอกว่าประชาชนเริ่มแล้ว จำได้หรือเปล่า ใครที่ดูรายการอยู่ ผมพูดไม่ผิด เพราะสงครามประชาชนเริ่มจริงๆ ตอนนี้

ผมไม่รู้ว่าคนที่รับผิดชอบอยู่โง่ หรือแกล้งโง่ กระบวนการที่เอาฝรั่งต่างชาติมาร่วมลงลายมือชื่อ เพื่อให้ยกเลิกมาตรา 112 ยื่นเสนอมา 3-4 ข้อให้รัฐบาลทำ ไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกคดีความกฎหมายหมิ่นประมาท ไม่ว่าจะเป็นการไม่ให้ไปปิดเว็บไซต์ไม่ให้ดำเนินคดีกับคน สามารถที่จะให้คนวิพากษ์วิจารณ์ได้ มีสิทธิเสรีในการวิพากษ์วิจารณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ กระบวนการแบบนี้คือกระบวนการถอดเกราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่าไปมองกระบวนการนี้เพียงกระบวนเดียวเท่านั้นเอง มันเชื่อมโยงอีกหลายกระบวนการ

นายทักษิณเพิ่งให้สัมภาษณ์นิตยสารไทมส์แมกกาซีน จะตีพิมพ์เร็วๆ นี้แล้ว เพิ่งอ่านในเว็บไซต์ นายทักษิณยังพูดเลยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการเมือง ให้หยุดอยู่เบื้องหลังซะที พูดอย่างนี้เลย จะหมายความถึงใครไม่ได้นอกจากว่าอย่างน้อยที่สุดต้องระดับประธานองคมนตรี หรือเผลอๆ ขึ้นไปถึงข้างบนเสียด้วยซ้ำ นี่คือนัยยะนายทักษิณ แล้วนายทักษิณยังป่าวประกาศอีกในนิตยสารไทมส์ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยโสโอหังเพราะได้รับการสนับสนุนจากทหารและพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เห็นไหมมันยังพูดแบบนี้ออกมาอีก

คุณเห็นหรือเปล่าพรรคประชาธิปัตย์ ทักษิณเขาเห็นอยู่แล้วคุณไปพูดให้ตายห่า คุณจะให้สุเทพพูด 10 ครั้ง ว่าผมไม่เกี่ยวกับ พันธมิตรฯ มีคดีให้ดำเนินถึงที่สุด มันก็ไม่เชื่อ ใช่ไม่ใช่ มันก็บอกว่าเราเป็นพวกกัน ซึ่งจริงๆ ก็เป็นพวกกัน

ก็ผมยังกล้ารับเลย แล้วมึงทำไมไม่กล้ารับล่ะ

เห็นหรือยัง พยายามทำให้เห็นว่าเหลืองก็ไม่เอาแดงก็ไม่เอา เพื่อความยุติธรรม แต่ไอ้ทักษิณด่าแม่คุณอยู่ในหนังสือไทมส์แมกกาซีน ว่าคุณกับผมพวกเดียวกัน แล้วยังไปเอาใจมันได้ยังไง ก็คุณก็รู้ว่าทักษิณกับเพื่อไทยก็พวกเดียวกัน เสื้อแดงก็พวกเดียวกัน

ไอ้ที่มันมาด่าเรื่องของเราแล้วคุณกระโดดหนีออกมา มันทำให้เราเองก็เสียใจ เราไม่ใช่เมียเก็บคุณนะ คุณนึกจะมาเอาวันไหนก็มาเอา มีอารมณ์ก็แวะมา พอได้เป็นรัฐบาลปังก็กลับบ้านไป นุ่งกางเกงกลับบ้านแล้วก็เฮ้ย! อย่ามายุ่ง พอทีนี้เมียเก็บยั้วขึ้นมา ก็ยังสวยอยู่ มีคนต้องการเยอะ ลุกขึ้นมาทาปาก ใส่กระโปรง แต่งตัวโป๊หน่อย ออกไปเที่ยว หึงละ เริ่มหึง เริ่มหึง ออกมาด่าใหญ่เลย บอกว่า แหมพันธมิตรฯ ก็คือประชาธิปัตย์นั่นเอง ประชาธิปัตย์ทุกคนคือพันธมิตรฯ เสือกมาหึงตอนนี้ เวลามึงเอากู มึงไม่ขอบคุณกูสักคำเลย คำว่า Thank you ยังไม่มีเลยใช่ไหมพี่น้อง มึงเป็นรัฐบาลมึงไม่เคย Thank you กูเลยแม้แต่นิดเดียว

พี่น้อง พวกเราต้องทำตัวให้มีคุณค่า ต้องมีราคาใช่ไหมพี่น้อง แล้วราคาต้องไม่ถูกด้วยใช่ไหม นี่คือความในใจของผมพ่อแม่พี่น้อง พี่น้องเชื่อใจได้เลยพี่น้อง แกนนำรุ่นที่ 1 ยกเว้น อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด ทำไมต้องยกเว้นอาจารย์สมเกียรติ เพราะอาจารย์สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ เพราะอาจารย์สมเกียรติกระโดดเข้าไปในการเมืองเรียบร้อยแล้ว อาจารย์สมเกียรติมีราคีไปเรียบร้อยแล้วต้องปล่อยแกไปทางนั้น ล้อแกเล่น

แต่พี่ลองของผม พี่สมศักดิ์ พี่พิภพ และสนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รับตำแหน่งทางการเมืองเด็ดขาด พี่น้อง สบายใจได้ แต่จะอยู่ต่อสู้ร่วมกับพี่น้องในการเมืองภาคประชาชน และให้กำลังใจ ให้คำปรึกษาของพรรคที่เป็นของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในสภาอย่างสม่ำเสมอ เอเอสทีวีจะสนับสนุนการเมืองใหม่ พรรคการเมืองไหนที่เน้นการเมืองใหม่ ที่อยู่ในปรัชญาและอุดมการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เอเอสทีวีจะสนับสนุนหมด

พี่น้องที่ไม่เห็นด้วยคิดสักนิดหนึ่ง พี่น้องบางคนบอกว่าอยู่อย่างนี้ดีแล้ว เป็นตัวถ่วง เป็นถ่วง ถ่วงดุลรัฐบาล ผมกลัวมันจะเป็นตัวถ่วงพวกเรานะเซ่ พี่น้องที่คิดอย่างนี้ลองหลับตาวาดภาพสิ ขนาดแม่งไล่ยิงพวกเราจะตายโหงตายห่า มัน (รัฐบาล) ยังไม่ทำอะไรเลยใช่ไม่ใช่ แล้วพี่น้องจะให้ถ่วงไปนานแค่ไหน จะให้พวกเราตายไปอีกกี่คน มันแกล้งเราขนาดนี้ เรายังไม่มีทางออกเลย เราไม่รู้จะไปร้องกับใคร ไม่รู้จริงๆ ไปร้องกับใครก็ร้องไม่ออก ไปแจ้งความมันก็ไม่ทำอะไร มันฆ่าเราตายไปเท่าไร วันนี้มันยังจับใครไม่ได้เลย ใช่ไม่ใช่พี่น้อง

พี่น้องอย่าคิดแบบไร้เดียงสา ถ้าการเมืองมียางอาย เหมือนที่นายกฯ อภิสิทธิ์พูด ว่าถ้าเมื่อไรก็ตาม รัฐบาลมีข้อผิดพลาดแม้แต่เพียงนิดเดียวก็ต้องลาออก ถ้ามันมียางอายอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องไปสู้ในสภา ใช่ไม่ใช่ พี่น้องอย่าไร้เดียงสา อย่ามองโลกในแง่ดีจนเกินไป

ถ้าบอกว่า ถ้าผมไปสนับสนุนพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะเลิกสนับสนุนผม พี่น้อง ผมไม่ห้ามพี่น้อง แต่ขอให้พี่น้องคิดให้ดีๆ คิดให้ดีๆ อย่าเอาวาทกรรมง่ายๆ ว่าถ้าคุณทำอย่างนี้ ผมจะไม่เอา ก็ขนาดนายกฯ อภิสิทธิ์ ผมยังทำความเข้าใจกับเขาได้เลยว่าเขาพูดออกมา บอกเขาจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เพื่อให้มีโอกาสทำความดี เราก็ยังให้โอกาสเขา ใช่ไม่ใช่

 

พี่น้องครับวันนี้ได้ระบายความรู้สึกในใจทั้งหมด ว่าการเกิดของพันธมิตรฯ มันเกิดมาด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไรและก็จะเดินหน้าต่อไปด้วยความบริสุทธิ์ใจไม่หวังอะไร ทำไมเราต้องร่วมไปต่อสู้การเมืองในสภาด้วยถึงแม้จะไม่ใช่ของพันธมิตรฯ ก็ตาม แต่ถ้าเป็นพรรคที่ยึดถือนโยบายพันธมิตรฯ พวกเราก็ต้องสนับสนุน ทำไมพี่น้องรู้ไหมว่าทำไม เพราะเราเป็นหนี้บุญคุณคนอย่างน้องโบว์สองโบว์ สารวัตรจ๊าบที่เขาตายไปแล้ว เราต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ได้ ใช่ไหมพี่น้อง คนที่พิการ เขาบาดเจ็บ 700 กว่าคน เราต้องแสดงให้เขาเห็นว่าเราเดินไปอีกหลายก้าวแล้ว

อย่างน้อยที่สุด ในสภาก็ต้องมีคนยกกระทู้ปกป้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แล้วด่าโคตรพ่อโคตรแม่พวกเสื้อแดงได้ ใช่ไม่ใช่ จะให้เราไปประชุมเปิดเวทีไฮปาร์กได้ยังไง ร้อนก็ร้อน ฝนตกก็เปียก เรามี 2 เวที แล้วการมี 2 เวที เวทีภาคประชาชน กับเวทีการเมืองในสภา กลับเป็นเรื่องที่ดี เพราะว่ามีการตรวจสอบทั้งสองฝ่ายเลย ซึ่งเราเป็นผู้ตรวจสอบ ไม่มีใครหลุดรอดเร้นไปได้เลยแม้แต่นิดเดียว ใช่ไม่ใช่พี่น้อง

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เรายังจะต้องสนับสนุนคนที่จะสมัครเป็น ส.ว. ถ้า ส.ว.ชุดนี้หมดอายุไป ใช่ไม่ใช่ เมื่อเล่นแล้วต้องเล่นให้สุดๆ พี่น้อง ถูกไม่ถูกพี่น้อง จะนั่งขี้แบบขี้หักไม่ได้ ใช่ไหม ต้องระบายมันให้หมด

โอ้ โทษทีพี่น้อง องค์มันลงเลยพูดนาน พี่น้องพรุ่งนี้ไปเจอกันที่โคราช และให้เกียรติพันธมิตรเราที่ช่วยเราต้องการทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองแล้วเสียชีวิตในการจัดเวทีที่สุพรรณ ที่ อ.สามชุก ไปกันให้เต็มที่ที่สามชุก ไปกันให้เต็มที่เลยพี่น้อง ไปเจอกันที่สามชุก ยิ่งไปมากเท่าไหร่ เท่ากับว่าเราให้เกียรติลูกหลานเขา และให้เกียรติคนสุพรรณครับ อย่าเพิ่งกลับนะครับนะพี่น้อง ขอร้อง ไม่ใช่ผมลงจากเวทีก็ลุกกันพรึบพรับๆ พี่น้องเอ้ย พี่น้องเอ้ย พี่น้อง อย่าเพิ่งกลับพี่น้อง

000

อ้างอิง

[1] สนธิลั่นมีพรรคพันธมิตรหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์เห็นเป็นเสนียดหรือเพื่อน, ประชาไท, 5/3/2552

[2] ยามเฝ้าแผ่นดิน : ชี้เหตุ สนธิลั่นตั้งพรรค-หวังปลุกชนชั้นกลางรวมพลังสู้, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 22/8/2550

[3] สนธิลั่นมีพรรคพันธมิตรหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาธิปัตย์เห็นเป็นเสนียดหรือเพื่อน, ประชาไท, 5/3/2552

[4] นายกฯไฟเขียวถอนฟ้องพันธมิตรฯ, ไทยรัฐ, 4/3/52

[5] ความเห็นของสุริยะใส กตะศิลา, ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ และไทกร พลสุวรรณ มาจาก สับพธม.เสียสัตย์ริตั้งพรรค, ไทยโพสต์, 6/3/52

[6] พธม.ขอยืนข้างประชาธิปัตย์!, ไทยโพสต์, 7/3/52

[7] สุเทพโต้พธม. ไร้บุญคุณ, ประชาทรรศน์ 11/3/52

[8] สงค์ยุตั้งพรรคพธม.รับจองชื่อเทียนแห่งธรรม, ไทยโพสต์, 10/3/52

[9] ประสงค์ยุพันธมิตรตั้งพรรคการเมืองสู้, โพสต์ทูเดย์, 28/12/51

[10 [11] เมืองไทยรายสัปดาห์ 11 : “สนธิเปิดโปงงาบ 3,500 ล้านซื้อเครื่องบินขับไล่รัสเซีย แจง รัฐบาลถังแตก, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 10/12/48 และ ไฟล์วิดีโอ

[12] [13] เมืองไทยฯ วันกู้ชาติ : สนธิสับ แม้วหมดความชอบธรรม จาบจ้วงในหลวงหลายรอบ, ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5/2/49 และ ไฟล์วิดีโอ

[14] [15] ยามเฝ้าแผ่นดิน : หวั่นอดีต ทรท.รวมตัวฟื้นระบอบทักษิณ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 25/8/50 และ ไฟล์วิดีโอ

[16] เสียงปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านเจ้าพระยา, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 6/3/52

[17] สุริยะใส กตะศิลา, สัมภาษณ์ใน เนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 876, 13 มีนาคม 2552 คัดลอกโดย คุณ ณ.ณ. ใน ประชาไทเว็บบอร์ด, 18/3/52

[18] พันธมิตรฯ ประเมินเสื้อแดง สนธิท้าอยู่ให้ถึง 194 วัน ชนะแน่, ประชาไท, 26/3/52

[19] สงค์ยุตั้งพรรคพธม.รับจองชื่อเทียนแห่งธรรม, ไทยโพสต์, 10/3/52

[20] เสียงปราศรัยของสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บ้านเจ้าพระยา, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 6/3/52 และ สนธิย้ำแนวคิดตั้งพรรคเพิ่มเวทีต่อสู้-เตือน ปชป.อย่าเห็น พธม.เป็นเมียเก็บ, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 7 มีนาคม 2552

'มาร์ค'โต้'ใจ'และเรื่องที่"ยังไม่ได้รับรายงาน"

ทีมข่าวการเมือง

การเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-15 มี.ค. มีหลายประเด็นจากการเยือนดังกล่าวที่ยังไม่ได้รับการพูดถึง หลายเรื่องถูกบิดเบือน และผลิตซ้ำ จนกลายเป็นชุดความคิดที่ถูกยอมรับโดยไม่มีการตั้งคำถาม ประชาไท ขอนำเสนอเรื่องที่ยังไม่มีการรายงาน เรื่องที่ยังไม่ถูกพูดถึง และเรื่องที่บิดเบือนดังกล่าว ในระหว่างการเยือนอังกฤษของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

 

1.
เปิดต้นทางข่าว
ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

 

สื่อมวลชนไทยทุกฉบับพร้อมใจรายงานภารกิจของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 13-15 มี.ค. แทบจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และไม่มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากรายงานข่าวนั้น

โดยในวันที่ 14 มี.ค. เวลา 09.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ไปปาฐกถาหัวข้อ การจัดการความท้าทายในการพัฒนาระบอบประชาธิปไตย” ที่ St. John’s College OXFORD และในช่วงตอบคำถามได้อภิปรายโต้ตอบกับ ใจ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปัจจุบันพำนักอยู่ที่อังกฤษ โดยมีการายงานอย่างครึกโครมในสื่อว่านายอภิสิทธิ์ตอบโต้ ใจ ว่า ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

โดยการนำเสนอลักษณะดังกล่าว ปรากฏในหนังสือพิมพ์ไทยหลายฉบับ เช่น คมชัดลึก ["อภิสิทธิ์"โชว์สปีชย้ำปชต.ไทยเดินหน้า] ไทยโพสต์ ["มาร์ค" เคลียร์สถานการณ์ประเทศไทย ตอก ใจหน้าหงายกลางออกซ์ฟอร์ด] ไทยรัฐ [มาร์คโชว์สปีชอ๊อกฟอร์ด ย้ำปชต.ไทยต้องเดินหน้า] แนวหน้า ["ใจ"ชูตีนตบป่วนปาฐกถา มาร์คตอกกลับหนีคดีหมิ่น แจงผู้ดีปชต.ไทยเริ่มเข้มแข็ง]

ประชาทรรศน์ ['มาร์ค'ยันไทยปชต.เต็มใบ'ใจ'โผล่ชูตีนตบโต้กลางวงปาฐกถา] โพสต์ทูเดย์ ["มาร์ค"โต้ "ใจ"กลางวงปาฐก] มติชน ["ใจ อึ๊งภากรณ์"ชูตีนตบรับ"มาร์ค"ที่อ๊อกซ์ฟอร์ด-นายกฯลั่นไม่ยอมให้เสียงข้างมากหักล้างความโปร่งใส] ASTVผู้จัดการออนไลน์ [“มาร์คปาฐกถาออกซฟอร์ด ยันไทยมี ปชต. ใจโผล่พกตีนตบถาม กม.หมิ่น] the Nation [Abhisit vows progress on democracy] ฯลฯ อีกหลายฉบับ รวมถึงรายการเล่าข่าวตอนเช้าของโทรทัศน์ช่องต่างๆ

ในบรรดาสื่อมวลชนไทยนั้น จะยกเว้นก็แต่ข่าว Abhisit vows progress on democracy ของ Bangkok Post พูดถึงการเผชิญหน้าระหว่างนายอภิสิทธิ์กับใจเช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้รายงานการโต้เถียงกันเรื่อง หนี แต่อย่างใด แต่เหตุผลจะมาจากความระมัดระวังของกองบรรณาธิการ หรือหน้ากระดาษในการนำเสนอข่าวอันจำกัดก็ไม่อาจทราบได้

และคำพูดเจ้าปัญหาท่อนที่ว่า ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรของแต่ละสื่อนั้น พบว่ามีที่มาจากการรายงานของ สำนักข่าวไทย [1] ซึ่งส่งผู้สื่อข่าวติดตามไปทำข่าวนายกรัฐมนตรีที่อังกฤษ หลังจากการนำเสนอของสำนักข่าวไทย จึงเกิดกระบวนการเผยแพร่แบบ รวมการเฉพาะกิจ ต่อกันมาจากสื่อไทยฉบับต่างๆ

รวมทั้งประชาไท [2] ที่นำข่าวเหล่านั้นมาเรียบเรียงเพื่อเผยแพร่ต่อในคืนนั้นด้วย และหลายวันต่อมาประชาไทจึงมีการนำเสนอการรายงานในมุมมองของผู้ฟังปาฐกถาดังกล่าวโดยแปลมาจากเว็บไซต์นิวมันดาลา [3]

การพร้อมใจกันรายงานข่าวของสื่อมวลชนไทยดังกล่าว นำมาสู่การวิจารณ์โดยสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ผ่านกระทู้ คุณภาพของสื่อไทยกรณีอภิสิทธิ์ที่ Oxford [4] ในกระดานข่าวฟ้าเดียวกัน สมศักดิ์เห็นว่าเป็นการรายงานข่าวเพื่อทำให้ อภิสิทธิ์ มี "ชัยชนะ" ในการโต้กัน (ซึ่งความจริง เป็นประเด็นจิ๊บจ๊อย) ประเภท สามารถสวนกลับใจ ในสิ่งที่ใจ ตอบไม่ได้ ปัญหาคือ ที่จริง อภิสิทธิ์ ไม่ได้สวนกลับ ใจ ด้วยประโยคทีว่าเลย

สรุปแล้ว เวลาอ่านหรือฟัง สื่อ ไทย ไม่ว่า ช่องไหน ฉบับไหน ถ้าเป็นเรื่องสำคัญๆ ต้องลอง double-check ให้ดีก่อน ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่เป็นประเด็นที่ถูกนำเสนอ เป็น "หัวข่าว" (คือชูเป็นประเด็นใหญ่) ต้องลองเช็คให้ดีๆสมศักดิ์ทิ้งท้าย

 

2.
นักข่าวพลเมืองทลายการปิดกั้นจากสื่อหลัก

 


ผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นจำนวนมากชุมนุมอย่างสงบภายนอกห้องประชุมที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะปาฐกถา โดยไม่ได้มีจำนวน
2 คน อย่างที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยรายงานแต่อย่างใด (ที่มาของภาพ: Thaienews)

 


อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และผู้บริหาร
Oxford (ที่มาของภาพ: Thaienews)

 


ใจ อึ๊งภากรณ์ ขอตั้งคำถามและอภิปรายนายอภิสิทธิ์ (ที่มาของภาพ
: Thaienews

 


คนเสื้อแดงถ่ายทอดสดการชุมนุมของตนทางอินเตอร์เน็ตด้วยกล้องที่ติดกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุค
(ที่มาของภาพ
: Thaienews)

 

 

ไม่ได้มีแค่เรื่อง ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรที่คลาดเคลื่อนไป แต่ยังมีเรื่องจำนวน ผู้คัดค้าน ในการปาฐกถานั้นด้วย

โดยการรายงานในช่วง ข่าวภาคค่ำ [5] ในวันที่ 14 มี.ค. ของสำนักข่าวไทย สุปวีณ์ ปฏิภาณวัฒน์ ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวไทย โทรศัพท์รายงานมาจากประเทศอังกฤษถึงบรรยากาศการปาฐกถาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและการประท้วงหน้าสถานที่ปาฐกถา

โดยสุปวีณ์รายงานว่า มีใจ อึ๊งภากรณ์และคนเพียง 2 คนยืนแจกใบปลิว "ก็มีคนสวมเสื้อโค๊ดสีแดง ไม่แน่ใจว่าเป็นกลุ่มเสื้อแดงหรือเปล่า หรือเป็นเพราะว่าช่วงนี้ประเทศอังกฤษกำลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ สีสันก็เลยออกมา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรก็ยืนเฉยๆ 2 คน แล้วก็อาจารย์ใจก็เข้ามาในห้องประชุมที่มีการปาฐกถาพิเศษ" นอกจากนี้ยังบอกว่าคนในห้องประชุมไม่ให้ความสนใจกับอาจารย์ใจ และช่วยกันพูดให้อาจารย์ใจเข้าสู่คำถามในช่วงอภิปราย

หากเหตุการณ์นั้นมีผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวไทยเป็นผู้รายงานเพียงผู้เดียว นอกจากผู้ที่อยู่ในการปาฐกถานั้นแล้ว ก็คงไม่มีวันทราบว่าที่นั่นเกิดอะไรขึ้นบ้างกันแน่

แต่จากการรายงานข่าวของผู้สื่อข่าวพลเมืองผ่านบล็อก Thaienews [6] ทำให้พบว่านอกจากการคัดค้านอภิสิทธิ์โดยใจแล้ว ภายนอกยังมีผู้ชุมนุมเสื้อแดงจำนวนมากถือป้ายรณรงค์และแจกใบปลิวคัดค้านรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ ไม่ได้มีจำนวน 2 คนอย่างที่ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทยรายงาน และในห้องประชุมดังกล่าวก็มีผู้ร่วมประชุมสวมเสื้อแดงหลายราย นอกจากนี้เครือข่ายคนเสื้อแดงในอังกฤษยังทำการถ่ายทอดสดการชุมนุมของตนผ่านทางอินเตอร์เน็ตด้วย

 

สถานทูตปรามเสื้อแดงอย่าทำให้เสียชื่อ

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าจำนวนคนที่อยู่ในห้องประชุมเพื่อฟังปาฐกถาของอภิสิทธิ์นั้นครึ่งหนึ่งเป็นคนที่ถูกเกณฑ์มาจากสถานทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ และคณะผู้ติดตามมาประเทศอังกฤษของนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่สถานทูตไทยยังโทรศัพท์ถึงแกนนำผู้ชุมนุมเสื้อแดงในอังกฤษว่าอย่าทำให้ประเทศไทยเสียชื่อ

พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่สถานทูตดังกล่าวสอดคล้องกับที่ กิตติ วะสีนนท์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงลอนดอน ที่ออกอากาศในรายการ เชื่อมั่นประเทศไทย ออกอากาศทาง NBT [7] ช่วงเช้าวันที่ 15 มี.ค. ร่วมกับนายอภิสิทธิ์ โดยกิตติกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของคนไทยในประเทศอังกฤษว่า

ในความเห็นของผมเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิในทางประชาธิปไตย แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ภายในประเทศจะมีความคิดเห็นต่างกัน แต่ใจผมเนี่ย ก็อยากที่จะให้คนไทยนึกถึงหน้าประเทศชาติเหมือนกันว่าเวลาอย่างการเยือนของ ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรีเป็นการเยือนในนามของรัฐบาลไทย ท่านมาทำหน้าที่ให้กับประเทศไทย

 

3.
เรื่องของใจ

 

 

สำหรับ ใจ อึ๊งภากรณ์” “บุคคลต้องห้าม ในทัศนะฝ่ายอนุรักษ์นิยมไทย หลังการออกนอกประเทศพร้อมร่อนแถลงการณ์ สยามแดงนั้น

ภายหลังจากที่การเข้าฟังปาฐกถาของอภิสิทธิ์ เมื่อ 14 มี.ค. เขาได้ออกจดหมายเปิดผนึกหัวข้อ อภิสิทธิ์พูดที่ Oxford: คำโกหก คำแก้ตัว และการบิดเบือนความจริง เผยแพร่ทางอีเมล์ทันที

โดยใจความของจดหมายเปิดผนึก [8] โดยสรุป ระบุว่า คำพูดของอภิสิทธิ์เต็มไปด้วยคำโกหกหลอกลวงและคำแก้ตัว แต่ทั้งๆ ที่เขามั่นใจคิดว่าคนทั่วโลกโง่ คนไทยส่วนใหญ่และคนต่างประเทศที่เข้าใจการเมืองไทยไม่มีวันเชื่ออะไรที่ออกมาจากปากเขา ใจ ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือทางรัฐบาลไทยกลัวประชาชนมาก มีการกีดกันคนไทยธรรมดาที่อยากเข้าไปตั้งคำถามจำนวนมาก

 

อภิปราย มาร์คนอกห้อง แนะหลังเป็นนายกฯ ให้ไปเล่นตลก

ในจดหมายดังกล่าว กล่าวถึงเนื้อหาปาฐกถาของอภิสิทธิ์ว่า อภิสิทธิ์โกหกว่าเขาได้รับการ เลือกตั้งมาเป็นนายกและอวดว่าตนเองเป็น ผู้ปกป้องประชาธิปไตยไทยแต่กระนั้นเขายังยืนยันว่าต้องมีกฎหมายหมิ่นฯ เพื่อปกป้องความมั่นคงของประเทศและมองว่าใจควรถูกลงโทษจากการเขียนหนังสือวิจารณ์รัฐประหาร 19 กันยา เพราะไปดูหมิ่นกษัตริย์เมื่อถูกถามว่าหมิ่นตรงไหนในหนังสือ อภิสิทธิ์บอกว่าจำไม่ได้ ทั้งๆ ที่อ้างว่าอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เลยแก้ตัวว่ามีคนเล่าให้ฟังว่าหมิ่น นอกจากนี้อภิสิทธิ์พูดว่าคดีคุณโชติศักดิ์ได้ยกเลิกไปแล้ว และการจับกุมผู้บริหารประชาไทเป็น ความผิดพลาดของตำรวจซึ่งเขาได้ เคลียร์เรื่องนี้โดยการโทรศัพท์ไปหาผู้บริหารประชาไทแล้ว

หลังจากนั้นอภิสิทธิ์อ้างว่าแกนนำพันธมิตรที่ยึดสนามบินจะโดนคดีแน่ๆ และนายพลที่มีส่วนในการฆ่าคนที่ตากใบจะถูกลงโทษอีกด้วย

หลังจากที่เราเอาเขาออกจากตำแหน่ง อภิสิทธิ์ควรหากินเป็นนักแสดงตลกมั้ง?” ใจ ตั้งคำถาม

ทั้งๆ ที่อภิสิทธิ์ขี้ขลาดไม่ยอมรับคำท้าของผมเพื่อโต้วาทีสดในรายการโทรทัศน์ไทย เขาหน้าด้านกล่าวหาผมว่าหนีคดีที่เมืองไทย โดยเสนอว่าศาลมีความยุติธรรม เขาพูดต่อว่า อย่าดึงกษัตริย์มาในเรื่องการเมืองแต่คงไม่กล้าพูดอย่างนี้กับเจ้านายของเขาในกองทัพหรือในพันธมิตรฯ ผมจึงแสดงความเห็นว่าทั้งอภิสิทธิ์ (เซ็นเซอร์) อ่อนแอและไร้อุดมการณ์ประชาธิปไตย ในขณะที่เจ้านายแท้ของสังคมคือทหาร

แถลงการณ์จากใจ ระบุในช่วงท้ายว่า ช่วงบ่ายมีการประชุมกลุ่มเสื้อแดงที่ออกซ์ฟอร์ดในช่วงบ่าย คนเสื้อแดงในอังกฤษยืนยันจุดยืนเพื่อประชาธิปไตยและตกลงกันว่าจะประชุมเป็นประจำทุกเดือน เราตกลงกันว่าเราจะเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งทั่วประเทศก่อนสิ้นปีภายใต้ กติกาของรัฐธรรมนูญปี 40 โดยที่ประชุมเสื้อแดงที่ออคซ์ฟอร์ด ยังให้ความเห็นในเรื่องการปฏิรูปการเมืองว่าประชาชนไทยต้องเป็นผู้ทำ ไม่ใช่ปล่อยให้สถาบันพระปกเกล้าที่ไม่เคยสนับสนุนประชาธิปไตยเป็นผู้เสนอการปฏิรูป

 

ใจยืนยันเสรีภาพทางการเมืองในอังกฤษ ตั้งคำถามคณะมาร์คมามากเหมือน ช็อปปิ้งทริปส์

ใจยังให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า สาเหตุที่การรณรงค์ของเขาและคนเสื้อแดงในอังกฤษไม่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจและคนของรัฐบาลอภิสิทธิ์จับ เพราะในอังกฤษ ไม่มีการจับผู้ที่แสดงความเห็นทางการเมือง เพราะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมตามระบอบประชาธิปไตย ส่วนอภิสิทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิจับเขาและคนเสื้อแดงเช่นกัน

นักวิชาการผู้นี้ยังแนะนำนายอภิสิทธิ์เกี่ยวกับการยกตัวอย่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในประเทศแถบยุโรปว่า ไม่ควรอ้างว่าที่ยุโรปมีคนติดคุกเพราะวิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์เพราะเป็นเรื่องไม่จริง นอกจากนี้ใจยังฝากถามนายอภิสิทธิ์ด้วยว่าทำไมนายอภิสิทธิ์จึงพาคณะผู้ติดตามมาจากประเทศไทยเป็นจำนวนมากเหมือน ช็อปปิ้งทริปส์

 

เผยคลิป ใจไม่หนี แถมท้าดีเบต มาร์คโอเคแต่ต้องที่เมืองไทย

ส่วนที่มีสื่อมวลชนไทยรายงานข่าวว่าอภิสิทธิ์กล่าวตอบโต้กับ ใจ ว่า ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร นั้น จากคลิปที่การโพสต์ไว้ใน youtube.com โดยคุณ 1434278 [9] ซึ่งเป็นช่วงที่อภิสิทธิ์ตอบคำถามกับ ใจ โดยช่วงหนึ่งเขากล่าวในเชิงปกป้องกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (นาที่ 1.56) โดยอภิสิทธิ์บอกว่ามีกฎหมายเช่นเดียวกันนี้ในประเทศยุโรปบางประเทศ ซึ่งมีสถาบันกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีคนถูกจำคุกในประเทศยุโรปประเทศหนึ่งด้วยกฎหมายที่คล้ายกันนี้ ดังนั้นกฎหมายโดยตัวของมันเองไม่ใช่เรื่องที่ไม่เป็นประชาธิปไตย

ถ้าหากคุณไปพูดแบบนี้ หรือกล่าวหาคนทั่วไปแบบนี้ คุณก็จะถูกฟ้องศาลเช่นกัน สิ่งที่กฎหมายทำก็คือการคุ้มครองราชวงศ์ในแบบเดียวกับที่กฎหมายหมิ่นประมาท คุ้มครองคนทั่วไป

อภิสิทธิ์ กล่าวว่ามีข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับกฎหมายหมิ่นประมาทคนทั่วไป เนื่องจากราชวงศ์ไทยนั้นเป็นสถาบันที่เป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และอยู่เหนือความขัดแย้ง และเป็นสถาบันที่ได้รับความเคารพศรัทธาโดยประชาชนไทย และเป็นเสาหลักของความมั่นคงแห่งชาติ ดังนั้นกฎหมายจึงไม่ต้องการให้สถาบันกษัตริย์ต้องมาฟ้องร้องคดีต่อประชาชน

อภิสิทธิ์กล่าวว่า นี่จึงเป็นสาเหตุที่มีคนหลายคนถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกำลังต่อสู้คดีอยู่ หลายกรณีก็ได้รับการยกฟ้อง เขายังกล่าวว่ามีคนหลายคนต่อสู้คดีนี้อยู่ในประเทศ เพราะเชื่อว่าพวกเขาบริสุทธิ์ โดยไม่หลบหนีข้อกล่าวหา

ซึ่งตรงนี้ใจกล่าวสวนว่า ผมไม่ได้หลบหนีข้อกล่าวหา และอภิสิทธิ์กล่าวว่า ผมก็ไม่ได้พูดว่าคุณหนีนี่จากคำตอบของอภิสิทธิ์ทำให้มีผู้ชมส่วนหนึ่งปรบมือ

จากนั้นใจเอ่ยถามว่าอภิสิทธิ์จะโต้วาทีทางโทรทัศน์กับเขาหรือไม่ อภิสิทธิ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อย่างไร ซึ่งมีผู้ชมบางคนปรบมือให้ใจเช่นกัน โดยอภิสิทธิ์กล่าวว่าผมไม่โต้วาทีด้วย และว่าถ้าคุณไม่ชอบคำถามของผม แต่คุณเรียนรู้กับคนที่มีความเห็นที่ต่าง คุณถึงจะเป็นผู้นิยมประชาธิปไตยแท้จริง

ช่วงนี้เองที่ผู้ดำเนินรายการบนเวที พยายามตัดบทใจ และบอกว่าคำถามสุดท้ายแล้ว คนอื่นอาจจะมีคำถามอื่น แต่อภิสิทธิ์ปฏิเสธ โดยกล่าวว่าไม่มีปัญหา ผมยังมีประเด็นอีกมากกับเขา และกล่าวว่าเขาจะโต้วาทีกับใจในเมืองไทยเท่านั้น เพราะใจต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเช่นเดียวกับประชาชนไทยคนอื่น

 

4.
เก็บตกจากปาฐกถา
: สมชาย ตากใบ โชติศักดิ์ จีรนุช และพันธมิตรฯ

 

นอกจากนี้ จากคลิปที่โพสต์ไว้ใน youtube.com โดยคุณ 1434278 ดังกล่่าว อภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงคดีของโชติศักดิ์ อ่อนสูง (ผู้ต้องหาคดี ม.112 เนื่องจากไม่ยืนระหว่างการบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี) ว่ามีการถอนฟ้องแล้ว (1.30) อย่างไรก็ตามโชติศักดิ์ยืนยันว่าคดีของเขายังอยู่ในชั้นอัยการ โดยโชติศักดิ์และเพื่อนจะต้องไปฟังคำสั่งอัยการว่าเห็นควรสั่งฟ้องหรือไม่ ในวันที่ 30 มี.ค.

อภิสิทธิ์ยังบอกว่าเขาเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่เชิญกลุ่ม เน็ทติเซ่น (Netizen) มาพบสองครั้งแล้ว เพื่อที่จะหารือป้องกันการแสดงข้อความที่ผิดกฎหมายทางเว็บไซท์ต่างๆ (5.40) และยังโทรศัพท์เป็นการส่วนตัวกับผู้ที่ถูกจับล่าสุดเพราะความเข้าใจผิดของตำรวจ (หมายถึงกรณีตำรวจกองปราบจับจีรนุช เปรมชัยพร ผอ.เว็บไซต์ประชาไท เมื่อวันที่ 6 มี.ค.) (5.50)

 

มาร์คโทหา ด้าน ผอ.ประชาไท ชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

โดยเรื่องนี้ จีรนุช ได้ชี้แจงผ่านประชาำไทเว็บบอร์ด [10] หัวข้อลำดับที่ 784710 เมื่อ 16 มี.ค. ว่า อภิสิทธิ์โทรมาจริง ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Netizen) ไปพบอภิสิทธิ์ตามคำเชิญที่ห้องทำงานที่รัฐสภา ก่อนที่อภิสิทธิ์จะเดินทางไปอังกฤษ

ส่วนจีรนุช ตัดสินใจไม่ไปเข้าพบพร้อมกับคณะตัวแทนของเครือข่ายพลเมืองเน็ต เพราะไม่อยากให้กลายเป็นเรื่องการผลประโยชน์ต่อคดี เพราะโดยส่วนตัวอยากให้เครือข่ายพลเมืองเน็ตผลักดันกรณีปัญหาของข้อกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมายในภาพรวม

อย่างไรก็ตามเมื่อมีโทรศัพท์มาว่านายอภิสิทธิ์อยากคุยด้วย จึงเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ถูกจับกุมดังกล่าว และอภิสิทธิ์สอบถามเพิ่มเติมว่าทางตำรวจให้เหตุผลเรื่องการออกเป็นหมายจับว่าอย่างไร จึงตอบไปตามที่ได้คำตอบจากตำรวจในวันนั้น ซึ่งตำรวจให้เหตุผลว่าเนื่องจากเป็นคดีที่มีฐานความผิดเกินกว่า 3 ปี และเป็นวินิจฉัยของศาล ซึ่งก็สอบถามต่อไปว่า ตามที่เข้าใจส่วนหนึ่งน่าจะอยู่ที่การตั้งเรื่องจากตำรวจไปที่ศาลไม่ใช่ หรือ และอันที่จริงตำรวจก็สามารถที่จะออกหมายเรียกได้เองโดยไม่จำเป็นต้องขอหมายศาลด้วยซ้ำ ซึ่งคำถามนี้ก็ไม่ได้รับคำตอบจากตำรวจ โดยจีรนุช พูดถึงเท่านี้สายโทรศัพท์ก็ตัดไป

 

คดีพันธมิตรฯ ประเด็นที่ต้องติดตามจากอภิสิทธิ์

นอกจากการตั้งคำถามของใจต่ออภิสิทธิ์ และตามมาด้วยการอภิปรายโต้ของอภิสิทธิ์นั้น ยังมีประเด็นที่น่าสนใจที่อภิสิทธิ์ตอบคำถามของผู้เข้าฟังปาฐกถา [11] โดยนายอภิสิทธิ์กล่าวว่าตั้งใจที่จะทำให้เกิดความยุติธรรมในการรื้อฟื้นการสอบสวนในคดีอื่นๆ อาทิเช่น กรณีการหายตัวไปของทนายสมชาย นีละไพจิตร รวมไปถึงการตั้งข้อกล่าวหากับผู้นำกองทัพที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ตากใบ

เขายังตอบคำถามผู้หญิงไทยคนหนึ่งเกี่ยวกับการดำเนินคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่า ตอนนี้พวกตำรวจกำลังเตรียมออกหมายจับในกรณีการยึดทำเนียบรัฐบาล ผมได้รับรายงานจากตำรวจอยู่สม่ำเสมอ และผมก็ได้รายงานต่อรัฐสภาเกี่ยวกับกรณีปิดสนามบิน ครั้งล่าสุดที่ตำรวจรายงานสองสัปดาห์ก่อน รายงานได้เสร็จสิ้นไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว คาดว่าจะมีการดำเนินคดีในเร็วๆ นี้

และเมื่อผู้หญิงคนนี้ถามย้ำอีกว่าให้บอกชัดๆ ได้หรือไม่ว่าเมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตำรวจบอกว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักสองสามสัปดาห์

ทั้งหมดนี้จึงเป็นเรื่อง ที่ยังไม่ได้รับรายงาน หลังการเยือนอังกฤษของอภิสิทธิ์และคณะ หลายเรื่องเป็นประเด็นที่รออภิสิทธิ์จัดการ โดยเฉพาะการรับปากว่าจะดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ตากใบ และการดำเนินคดีพันธมิตรฯ

และอีกหลายเรื่องโดยเฉพาะวาทะ ไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร ก็ถูกทำให้เป็นที่กระจ่างแล้ว

อาจจะเหลือก็แค่ สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยังแผ่นเสียงตกร่อง ใช้ข้อมูลที่ยังบิดเบือน ปราศรัยขับกล่อมมวลชนที่เวทีพันธมิตรฯ ที่หน้าบ้านเจ้าพระยาเมื่อคืนวันที่ 21 มี.ค. [12]

ใจ อึ๊งภากรณ์ บอกว่าไม่หนี ไม่หนี ไม่หนี พูดที่อังกฤษนะ นายกรัฐมนตรีเลยตอบว่า ไม่หนีแล้วคุณมาอยู่นี่ได้ยังไง คุณมาอยู่นี่ได้ยังไง คุณพูดในประเทศไทย คุณเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์ คุณเป็นบุคคลสาธารณะ คุณตั้งพรรคการเมืองกระจอกๆ พรรคหนึ่งแล้วไม่มีใครไปเป็นสมาชิกมากมายอะไรเลย วันนี้คุณไม่หนีแต่คุณไปอยู่อังกฤษ คุณไปอยู่ใกล้ๆ ใครบางคนใช่ไหม เมื่อก่อน คุณไปอยู่แถวนั้นใช่ไหม ที่นั่นคือผู้ลี้ภัยของอาชญากรแผ่นดิน ใช่ไหมครับพี่น้อง

 

อ้างอิง

[1] อภิสิทธิ์ยืนยันประชาธิปไตยไทยจะไม่ถอยหลัง, สำนักข่าวไทย, 14/3/2552

[2] มาร์กลั่นไม่ยอมให้เสียงข้างมากหักล้างความโปร่งใส ถาม ใจไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร, (ที่มา: สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์, เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์), ประชาไท, 14/3/2552

[3] การพูดของอภิสิทธิ์ที่อ็อกซ์ฟอร์ดและการโต้คารมกับนายใจ รายงานจากผู้ฟังทั้งในและนอกห้อง, ประชาไท, 18/3/2552

[4] "คุณภาพ" ของสื่อไทย กรณี อภิสิทธิ์ ที่ Oxford, กระดานข่าวฟ้าเดียวกัน, 19/3/2552

[5] Abhisit & Giles at St. Johns College OXFORD, (คัดลอกจากสำนักข่าวไทย), meng438, http://www.youtube.com/watch?v=ZvlsNOkjL7g

[6] http://thaienews.blogspot.com/2009/03/blog-post_5310.html

[7] การปาฐกถาที่ Oxford, (รายการเชื่อมั่นประเทศไทย, NBT, 15/3/2552), AbhisitOrg http://www.youtube.com/watch?v=qBlQljSpQAg&feature=related

[8] http://thaienews.blogspot.com/2009/03/blog-post_15.html

[9] นายกฯ อภิสิทธิ์ตอบใจ PM Abhisit answered JI, 1434278 http://www.youtube.com/watch?v=V-fsOdpVFsw

[10] กระดานข่าวประชาไท ที่ 784710, http://www.prachataiwebboard.com/webboard/wbtopic.php?id=784710

[11] การพูดของอภิสิทธิ์ที่อ็อกซ์ฟอร์ดและการโต้คารมกับนายใจ รายงานจากผู้ฟังทั้งในและนอกห้อง, ประชาไท, 18/3/2552

[12] สมเกียรติสวนไข่แม้วบอร์ดการท่าฯ 11 ธ.ค.ตำหนิ เสรีรัตน์สิ่งปิดสนามบิน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 21 มีนาคม 2552, ASTVผู้จัดการออนไลน์

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

มาร์กลั่นไม่ยอมให้เสียงข้างมากหักล้างความโปร่งใส ถาม ใจไม่ได้หนี แล้วมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร, (ที่มา: สำนักข่าวไทย, มติชนออนไลน์, เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์), ประชาไท, 14/3/2552

นักเรียนอังกฤษ ยื่นข้อเสนอ มาร์กเรียกร้องปฏิรูป รธน.- กฎหมายหมิ่นฯ ตามด้วยยุบสภา, ประชาไท, 15/3/2552

โชติศักดิ์เผยคดีไม่ยืนฯ อยู่ชั้นอัยการ ยังไม่ยุติอย่างที่นายกฯ บอก, ประชาไท, 17/3/2552

การพูดของอภิสิทธิ์ที่อ็อกซ์ฟอร์ดและการโต้คารมกับนายใจ รายงานจากผู้ฟังทั้งในและนอกห้อง, ประชาไท, 18/3/2552

 

บทความ

คุณภาพของสื่อไทยกรณีอภิสิทธิ์ที่ Oxford, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, 20/3/2552

แน่ใจหรือว่า ประชาธิปไตยแบบ อภิสิทธิ์หมายถึง ประชาธิปไตยจริงๆ, ประชาไท, 19/3/2552

ผมไม่ได้หนี, ประชาไท, 19/3/2552

อ่านชีวิต ความคิด 'รงค์ วงษ์สวรรค์ พญาอินทรีแห่งวรรณกรรมไทย

ชื่อบทความเดิม : เยือนสวนทูนอิน อ่านชีวิต ความคิด 75 กะรัต 'รงค์ วงษ์สวรรค์

 

ภู เชียงดาว : เรียบเรียง/รายงาน

 

 

 

หมายเหตุ : นี่เป็นมุมมองชีวิต ความคิด ว่าด้วยการเมือง ทหาร การปฏิวัติ สุขภาพ และการเขียนหนังสือ ของ ' รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี 2538 ที่ได้ถ่ายทอดออกมา เมื่อ 20 พ.ค.2550 ณ สวนทูนอิน โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

 

รายงานชิ้นนี้เคยตีพิมพ์ ใน นิตยสารขวัญเรือน' ปักษ์แรก กรกฎาคม 2550 ผู้เขียนขออนุญาตนำมาเรียบเรียง/รายงาน ใน ประชาไท' อีกครั้ง เพื่อเป็นการไว้อาลัยและรำลึกถึงการจากไปอย่างสงบของพญาอินทรีแห่งวรรณกรรม เมื่อค่ำของวันที่ 15 มี.ค.2552 

 

 

 http://blogazine.prachatai.com/upload/headline/headline_20090316-023338.jpg

'รงค์ วงษ์สวรรค์  ศิลปินแห่งชาติ ปี 2538  พญาอินทรีแห่งวรรณกรรม

 (ที่มาภาพ โอ ไม้จัตวา:http://www.flickr.com/photos/freemindcard/sets/72157594143593002/)

 

 20 พ.ค.2550 ผมมีโอกาสไปเยือนสวนทูนอิน โป่งแยง แม่ริม เชียงใหม่ อันเป็นถิ่นพำนักของ "พญาอินทรีบินเหนือดอยสูง" 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ศิลปินแห่งชาติ ปี 2538 อีกครั้งหนึ่ง

กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพต้องปฏิรูป!! ถ้อยแถลงจากธงชัย วินิจจะกูล และเครือข่ายนักวิชาการนานาชาติ

“การคุมประชากรด้วยข้อมูลและแนวคิดที่โกหกอาจจะไม่นำไปสู่ประเทศไทยที่สำเร็จได้ แต่กลับเป็นการทำลายการพัฒนาและอนาคตของสังคมไทยเอง”

ธงชัย วินิจจะกูล
3 มี.ค. 2552

จักรภพปราศรัย 26 กุมภาพันธ์ 2552

ทีมข่าวการเมือง

หลังจากวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนขบวนจากสนามหลวงมาชุมนุมล้อมทำเนียบรัฐบาลและปักหลักพักค้างชุมนุมอยู่หลายคืน โดยมีข้อเรียกร้องคือ 1.ดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2.ปลดนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ 3.นำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้ และ 4.ให้ยุบสภา

การชุมนุมเป็นไปอย่างต่อเนื่องหลายคืนโดยสงบเรียบร้อย ผู้ชุมนุมยอมให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและคณะรัฐมนตรีเข้าไปทำงานในทำเนียบ โดยไม่มีการกระทบกระทั่งเกิดขึ้น จนแม้แต่นายอภิสิทธิ์ และรองนายกรัฐมนตรีอย่างนายสุเทพ เทือกสุบรรณเองยังเอ่ยปากชมผู้ชุมนุมที่ชุมนุมอยู่ภายในกรอบ

จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นคืนสุดท้ายของการชุมนุม ได้มีการออกแถลงการณ์ โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ แกนนำเป็นผู้ประกาศว่าจะใช้วิธีเข้มข้นขึ้นทั้งในสภา นอกสภา เมือง ชนบท และต่างประเทศ ตามหลักสันติวิธี ภายใต้กรอบกฎหมาย จนกว่าจะได้ชัยชนะคือนายกฯ ประกาศยุบสภา และเพื่อให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง ไม่มีประโยชน์อะไรจะชุมนุมที่ทำเนียบให้ยืดเยื้อต่อไป แต่จะออกไปปฏิบัติการทั่วประเทศ ใน 1 เดือนข้างหน้า จุดแห่งชัยชนะกำลังรออยู่

ส่วนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวถึงวิธีต่อสู้ใหม่ว่า 1.เจอที่ไหนไล่ที่นั่น ไม่มีเจรจา ไม่มีประนีประนอม มีแต่ขับไล่อย่างเดียวเท่านั้น 2.หนึ่งเดือนจากนี้พี่น้องกลับไปภูมิลำเนา ไปขยายเครือข่าย ส่วนแกนนำจะลงพื้นที่ไปตั้งเวทีใหญ่เต็มทั่วอีสานเหนือกลางใต้ จากนั้นกลับมารวมกำลังขับไล่ที่ทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง ไม่ชนะไม่เลิกรา ไม่ชนะไม่กลับไปบ้าน หลังจากคืนนี้ ทุกคนจะต้องแยกจากกันเพื่อไปทำงาน

โดยกลุ่มเสื้อแดงมีการนัดหมายการชุมนุมอีกครั้งที่สนามหลวงในวันที่ 27 มีนาคม

ในคืนสุดท้ายของการชุมนุมล้อมทำเนียบนั้นเอง นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำ นปช. ได้ขึ้นปราศรัยด้วย อาจเรียกได้ว่าเป็นคำปราศรัยของคนเสื้อแดงที่มีข้อเสนอที่เป็นรูปธรรมที่สุดอันหนึ่ง โดยปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เสนอไว้ในกระดานข่าวฟ้าเดียวกัน เมื่อคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ว่า

 

หลังจากฟังจบ ผมขอตั้งข้อสังเกตดังนี้

๑. ในความเห็นของผม คำอภิปรายของจักรภพวันนี้ นับว่าดีที่สุดในชีวิตของเขา และอาจเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ได้ โดยเฉพาะใน ๔ ประเด็นหลัก ได้แก่

- ประกาศว่าขบวนการเสื้อแดง เป็นการต่อยอด อภิวัฒน์ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
- ยืนยันว่าคนเสื้อแดงไม่ใช่เป็นชองทักษิณ แต่ทักษิณเป็นเพียงคนนั่งรถโดยสารมาคันเดียวกันกับคนเสื้อแดง
- การแก้รัฐธรรมนูญ แก้ได้ทุกหมวด
- เสื้อแดง จะไม่ยินยอมต่อรอง หรือประนีประนอมกับฝ่ายอำมาตย์ จนกว่าจะได้ประชาธิปไตย (จักรภพใช้คำว่า ประชาธิปไตยแบบไม่มีเงื่อนไข) หากฝ่ายอำมาตย์เห็นท่าจะแพ้ จะยื่นมือมาขอเจรจาด้วยการยกเลิกคดีความของคนนู้นคนนี้ เสื้อแดงไม่ยอม

- เขาฉายภาพให้เห็นถึงขบวนการของอำมาตย์ในการ ตัดทอน-บอนไซ ประชาธิปไตย (ลองไปฟังดูนะครับ เห็นภาพมาก)

๒. จักรภพบอกว่า คดีของเขา จะรู้ว่าสั่งฟ้องหรือไม่ ในวันที่ ๕ มีนาคมนี้ เมื่อเห็นคำอภิปรายของเขาแล้ว ผมกังวลใจว่า อาจจะไม่รอด และหากเป็นเช่นนั้น จักรภพจะหนีหรือไม่?

๓. คำอภิปรายของจักรภพที่ "ยิงตรง" แบบนี้ มองได้หลายแง่ หากประเมินแบบต่ำที่สุด ก็เป็นเพียงการปลุกใจมวลชนธรรมดาๆ เพราะคืนนี้ จะมีการประกาศจุดยืนของเสื้อแดงใหม่ เลยต้องโหมโรงกันเสียหน่อย แต่หากประเมินแบบขั้นสูงสุด ผมคิดว่า นี่แหละเป็นคำประกาศ "อุดมการณ์" ของคนเสื้อแดง

๔. ผมประเมินโดยส่วนตัว เห็นว่า คนเสื้อแดงเป็นเอกภาพมากขึ้น มากขึ้นอย่างเห็นชัด ตอนนี้มันเกินเลยเรื่องทักษิณ ไปแล้ว และความเป็นเอกภาพนี้ ไม่ได้เกิดจากทักษิณเลย ไม่ได้เกิดจากนักการเมืองคนไหนสั่งเลย แต่มันเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับจาก ประพฤติกรรมของอำมาตย์เองต่างหาก

ปัญหาต่อไปก็เหมือนที่อาจารย์สมศักดิ์ตั้งข้อสังเกตไว้ คือ คนเสื้อแดง คิดทางออกต่อไปว่าอย่างไร

 

และต่อไปนี้คือคำปราศรัยของจักรภพ เพ็ญแข ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล

000

 

จักรภพ เพ็ญแข
ปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาล,
26 กุมภาพันธ์ 2552

 

พี่น้องประชาชนชาวไทยที่เคารพครับ วันนี้ เรามีสภาพเหมือนคนมาเที่ยวชมสวนสัตว์ภายในนั้น ที่พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายถึงพี่น้องทหารและตำรวจระดับปฏิบัติการ ซึ่งถูกเขาสั่งมาอีกต่อหนึ่ง แต่หมายถึงคนที่ปล้นกล่องดวงใจประชาชนไป และหน้าด้านนั่งอยู่ในตึกหลังนี้

วันนี้เราได้ประกาศสูตรใหม่ของการชุมนุมประท้วง 3 วันที่ผ่านมานี้ พี่น้องชาวเสื้อแดงได้แสดงให้เห็นกันทั่วประเทศและทั่วโลกแล้วว่า เราคือมวลชนที่ไม่ต้องมีการจัดตั้ง เราคือมวลชนที่ไม่ต้องมีการให้น้ำมันหยอดให้เครื่องเดิน แต่เราเป็นมวลชนอัตโนมัติ เมื่อไหร่ยึดบ้านยึดเมืองเราออกมาได้ตลอดเวลา

รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และคนที่วางแผนจะอยู่ในอำนาจอย่างยืดยาวนี้ ให้สำนึกตัวเองไว้เลยว่า วันนี้พี่น้องคนเสื้อแดงมารวมกันอย่างนี้ไม่ใช่มาง่ายๆ ต่างคนต่างลงทุนลงรอน สละเวลา สละความเหนื่อยยากมา แต่เขาก็มา

อย่าได้ละเมอเพ้อพกว่าคนเสื้อแดงมีศักดิ์ศรีเท่ากับคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ งานนี้ไม่มีเงินใส่กล่องข้าว ไม่มีการล้างสมอง ไม่มีโฆษณาชวนเชื่อ และไม่มีกระบวนการทำให้คนตาบอดกลางวัน

มวลชนคนเสื้อแดงจะแพร่เชื้อตาสว่างทั้งแผ่นดิน

นานพอแล้วครับ พี่น้องประชาชนก็เป็นสักขีพยาน ว่าหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปีพุทธศักราช 2475 ก็มีความพยายามบ่อนทำลายสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนมาตลอดเวลานั้น จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่หยุดทำลาย ก็ประกาศเสียวันนี้เลยก็แล้วกัน ว่าการชุมนุมคนเสื้อแดงและการจัดตั้งกองกำลังคนเสื้อแดงจากนี้เป็นต้นไป คือการต่อยอดอภิวัฒน์สยาม 2475

รู้ล่ะครับว่าเริ่มหักหลังประชาชนครั้งแรกๆ หลังจากนั้น เช่นการรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2490 เรารู้ล่ะครับว่าการรัฐประหารในปี 2500 โดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์ใด เรารู้ล่ะครับว่า 14 ตุลาคม 2516 นั้น ประชาชนอุตสาห์ได้รับชัยชนะ แต่กลับมีคนมายืนจ้องด้านหลัง แล้วคว้าชัยชนะไปจากประชาชนจนเกิด 6 ตุลาคม 19 แล้วเราก็รู้ล่ะครับว่าเหตุการณ์พฤษภาประชาธรรมนั้น ก็มีประชาชนนี่แหละที่เป็นหน่วยกองหน้าออกไปต่อสู้จนได้รับชัยชนะจากเผด็จการทรราชในยุคนั้น ขณะเดียวกันก็ไม่คิดถึงบุญคุณประชาชนกลับมาปล้นชิงประชาธิปไตยไปอีกในวันที่ 19 กันยายน 2549 เดี๋ยวนี้คนเขารู้กันทั้งประเทศแล้ว เขาต่อภาพชิ้นส่วนเป็น เขาต่อภาพได้

เพราะฉะนั้น ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยจึงแบ่งเป็นสองกลุ่มอย่างที่ผมกราบเรียนพี่น้องไปเมื่อคืนนี้ กลุ่มแรกคืออภิสิทธิ์ชน กลุ่มที่สองคือสามัญชน ซึ่งแปลว่าฝ่ายหนึ่งที่ได้รับอภิสิทธิ์ทุกอย่าง ไม่เฉพาะมรดก ไม่เฉพาะเส้นสาย แต่ยังรวมถึงการทำอะไรไม่มีผิดบนแผ่นดินนี้อีกด้วย นั่นคือความหมายของอภิสิทธิ์ชน

และก็โชคดี ว่าได้นายกฯ ชื่ออภิสิทธิ์พอดีพี่น้อง มันช่างเหมาะเจาะอะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้นระบอบอภิสิทธิ์ที่นั่งหน้าด้านอยู่ในทำเนียบรัฐบาลมันต้องเจอระบอบประชาชน แหมมันน่าตั้งรัฐบาลสามัญชนขึ้นมานะครับพี่น้อง เพราะสามัญชนมีความหมายว่าเป็นคนที่ต้องทำงาน เป็นคนที่ต้องพัฒนาตนเอง เป็นคนที่ไม่มีความเห่อเหิม แต่มีความพอดีพองามในตัวเอง ผมก็เลยมีความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคำว่าเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เหมาะสมกับสามัญชนมากกว่าอภิสิทธิ์ชน

ประชาชนรู้จักคำว่าพอเพียง รู้จักคำว่าพอดี พอดี พอเพียง เพราะประชาชนนั้นไม่เคยมีส่วนเหลือ ส่วนเกิน หรือการไปตบทรัพย์ขู่กรรโชกมาจากใครในการใช้ชีวิต ประชาชนไม่ต้องแสร้งว่าเป็นคนจน หรือรักคนจน แต่ประชาชนเป็นคนจนตัวจริง ถ้าจะมีนายทุนมาคบกับประชาชน เราคบได้เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น คือทุนนิยมก้าวหน้า ไม่ใช่ทุนนิยมล้าหลัง

ทุนนิยมล้าหลังแปลว่าอะไรครับพี่น้อง สิบเบี้ยใกล้มือ อะไรอยู่ใกล้ต้องเก็บค่าต๋ง เก็บค่าธรรมเนียม เอาเข้าพกเอาเข้าห่อ เพื่อตอบแทนว่าข้าจะได้ไม่ทำร้ายเอ็ง อยู่กันแบบมาเฟียอย่างนั้น

แต่ขณะเดียวกัน ระบอบสามัญชนนั้นคือระบอบที่ไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องของส่วนเหลือส่วนเกินเป็นการพยายามจะเอาชีวิตรอด พยายามจะพัฒนาตนเอง พัฒนาครอบครัว และแม้กระทั่งตัวเองจะจนจะยาก จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ก็ยังสบายใจ ถ้ามีคนประกันได้ว่าลูกหลานจะดีกว่าตัวเองในอนาคต ยังพอทนได้ พ่อแม่ไทยนี่รักลูกมาก ยอมอดเพื่อให้ลูกมีกิน ยอมลำบากเพื่อลูกสบาย ยอมไม่มีการศึกษาให้ลูกเก่งได้เรียนหนังสือสูง สิ่งเหล่านี้เป็นค่านิยมของระบอบสามัญชนไม่ใช่ระบอบอภิสิทธิ์ชน ขอให้รู้ไว้

เพราะฉะนั้นวันนี้ใครบอกว่าคนเสื้อแดงสู้เพื่อคนๆ เดียวคือนายกฯ ทักษิณ ไอ้นั่นโง่สิ้นดี ลืมไปว่าอยู่ใกล้ทำเนียบรัฐบาล ขอใช้คำใหม่ มันโง่บัดซบ

วันนี้สมการเปลี่ยนไปแล้ว คนเสื้อแดงไม่ได้มาช่วยคุณทักษิณ แต่คุณทักษิณเป็นสัญลักษณ์และแรงดลใจของเสื้อแดงในการต่อสู้เพื่อสามัญชน รถขบวนใหญ่ที่มีสีแดงและมีคนอยู่บนนั้นเป็นหลายสิบล้านคน ไม่ได้มีทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้ขับ แต่นั่งรวมกันเป็นผู้โดยสารเต็มภาคภูมิเสมอภาคกับคนอื่น และโชเฟอร์รถก็เปลี่ยนกันไปตามกลไกการเลือกตั้งใช่ไหมครับ พี่น้อง ให้คนนี้นำ 4 ปี ให้คนนี้ขับ 4 ปี

แต่ปัญหาก็คือ คนที่ต่อสู้กับสัญลักษณ์อย่างทักษิณ ชินวัตร เขาไม่ได้ต่อสู้มานั่งร่วมกับเราอย่างเสมอภาคในขบวนเดียวกัน เขาอยากไปนั่งคุมเราบนหลังคารถ

ขอให้สำนึกไว้นะครับ ฝ่ายตรงข้ามกับประชาธิปไตย ประชาชนคนเสื้อแดงนั้นกำลังต่อสู้เพื่อตนเองและลูกหลานในอนาคต เพราะสามัญชนขอมีที่ยืนบางในประเทศนี้ได้ไหมแค่นั้นน่ะ

จะไล่ประชาชนไปถึงไหน คุกมีพอขังคนเสื้อแดงหรือไม่

กลไกเผด็จการอำมาตยาธิปไตยเริ่มจะหมดเครื่องมือและปุ่มที่กดลงทุกทีๆ แล้วครับพี่น้อง หลังเริ่มชนฝาแล้วตอนนี้

และอย่าหวังว่าเมื่อประชาชนแสดงพลังอย่างนี้ และจะมาเปิดเจรจาในเรื่องกระจอกกระจิบเพื่อคดีคนนั้น เพื่อคดีคนนี้ ผมขอบอกได้เลยครับว่า พูดแทนตัวเองได้ในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่จะฟังผลวินิจฉัยในวันที่ 5 มีนาคม เสื้อแดงแลกกับอะไรแบบนั้นไม่ได้

ถ้าจะมีการเจรจา จะต้องย้อนกลับไปหาเรื่องที่ใหญ่ที่สุด นั่นก็คือรัฐธรรมนูญของประชาชน เอาคืนมา และเอาคืนมาพร้อมเงื่อนไขที่ว่าทั้งฉบับต้องแก้ไขได้ทั้งหมด ไม่เว้นหมวดใดทั้งสิ้น นั่นแหละครับ พูดกันให้ชัด ประกาศไว้กลางที่ชุมนุมอันมีเกียรติของคนเสื้อแดง ให้รู้เลยครับว่าคนเสื้อแดงนั้นรักชาติ รักแผ่นดิน แต่ไม่รักเหลือบริ้นที่คอยกินแผ่นดินแต่อย่างเดียว

นึกหรือครับว่าคนเสื้อแดงเขามาสบายๆ มานั่งหลังขดหลังแข็ง เข้าห้องน้ำก็ยาก กินอยู่ก็ลำบาก แต่เขาก็พร้อมจะมาเพราะถ้าไม่ได้ประชาธิปไตยคืนศักดิ์ศรีก็ไม่มี กลับบ้านไปก็นอนไม่หลับ นี่ไงล่ะครับ ที่เป็นพลังงานอันแท้จริงของคนเสื้อแดง ถ้ายังโง่เขลาเบาปัญญาก็จะบอกให้รู้ ว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่การสู้ของคนเสื้อแดงในปีพุทธศักราชนี้ แต่เป็นการสะสม ความเจ็บช้ำน้ำใจ ความน้อยเนื้อต่ำใจ ความไร้ค่าไร้ราคา มาตั้งแต่ 2475 และก่อนหน้านั้นแล้ว

ถามว่าคนเสื้อแดงของเรา จะเดินอย่างไรต่อไป เราเองก็ขอร้องและพี่น้องก็กรุณาทำให้ ก็คือทำให้คนเสื้อแดงเป็นมวลชนที่มีความสุภาพเรียบร้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ คำว่าม็อบ เป็นไปตามที่คุณวิสา คัญทัพได้เสนอแนะไว้ ใช้ไม่ได้กับคนเสื้อแดง เพราะต้องไปใช้กับม็อบประเภทคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ ซึ่งเหมือนติดเชื้อหมาบ้ามาทุกคน

พี่น้องอย่าได้แปลกใจเลยครับ ว่าทำไมคนเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ เขาถึงมีลักษณะน้ำลายฟูมปากกันแบบนั้น เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะเขาปิดหูปิดตา ปิดทวารทั้ง 5 ไม่ยอมรับความจริง เพราะในโลกนี้ คนที่โง่เขลาเบาปัญญาที่สุดคือคนที่ไม่อยากรู้อยากเห็นและไม่พัฒนาตนเอง คนที่โง่ที่สุดในทางการเมือง คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวโง่แค่ไหน นี่แหละครับคือกลไกเดียวที่เขายังมัดเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ ไว้ได้

และวันนี้ผมต้องขอบคุณอดีตเสื้อเหลืองพันธมิตรฯ หลายคนที่วันนี้เข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร และสวมเสื้อแดงด้วยความภาคภูมิใจมาร่วมกับเรา และพี่น้องสังเกตอะไรไหมครับ วันนี้เราก็พูดกันในหมู่พวกเรา ผมต้องขอประกาศตรงนี้ด้วยความชื่นใจ ความภูมิใจ เมื่อตอนที่เราไปประท้วงที่สนามหลวง ในนามพีทีวี หรือแม้แต่ในนาม นปก. และ นปช. ในเวลาต่อมา แต่เมื่อเรามีวิวัฒนาการมาถึงความจริงวันนี้ และมวลชนคนเสื้อแดง ปรากฏว่ามวลชนคนรากฐานของไทยได้เกิดการรวมกันแล้วระหว่างประชาชนทั่วไปกับชนชั้นกลางในประเทศ คนชั้นกลางคือคนเสื้อแดงแล้วในวันนี้

อย่าให้ใครมาเรียกเราอีกต่อไปนะครับพี่น้อง ว่าเป็นมวลชนคนรากหญ้า ถึงจะรากหญ้า ถึงจะรากฐาน แต่จับมือกันหมดแล้ว เพราะทนไม่ได้อีกแล้ว

กี่โรงงานที่เจ๊งไป กี่บริษัทที่ขาดทุนไป ว่างงานกี่สิบล้านคนทั่วประเทศ ทั้งหมดนี้มันไล่กลับไปยังจุดประสงค์และต้นเหตุได้อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือการมีระบอบการปกครองที่ปิดกั้นโอกาสที่ประชาชนจะลืมตาอ้าปากได้เท่านั้น นี่คือการเมืองไทยเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยาก ไม่ได้ซับซ้อน เป็นเพียงการสู้รบกับพวกที่ใช้เวลาทั้งวันในการอิจฉาริษยาประชาชนเท่านั้นเอง

ขณะนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์ กองทัพไทย ภายใต้การบงการของนายทหารทรราชรับใช้อำมาตยาธิปไตยไม่ที่คนเนี่ย ขอให้รู้ไว้ว่า ถ้าแตะคนเสื้อแดงตรงไหนตอนนี้ มันช่วยให้ขยายให้แดงทั้งแผ่นดินยิ่งขึ้นทั้งนั้น

เพราะมนต์คาถาที่เคยขลังมันเสื่อมมาตั้งแต่ 19 กันยายน 49 แล้ว คนบางคนเราช่วยเขาได้สารพัดนะครับพี่น้อง แต่ช่วยเขาไม่ได้อย่างเดียวคือช่วยไม่ได้จากความมีอวิชชาของตัวเขาเอง ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าเป็นเรื่องของกฎแห่งกรรม ซึ่งได้ไปก่อกรรมทำเข็ญเอาไว้นาน เอาไว้หนัก เอาไว้หนา จนในที่สุดนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่พอกพูนอยู่บนไหล่อยู่บนบ่าของตัวเอง และถ้าไม่มองคนเสื้อแดงอย่างให้เกียรติให้ศักดิ์ศรี คนเสื้อแดงจะแสดงพลังให้เห็นทั่วประเทศและน้ำหนักบนบ่าอันนั้นมันจะทำให้ขาหักลงเองครับพี่น้อง

ครูด้านนาฏศิลป์ ท่านสอนวิชาร่ายรำโขนมามาก ว่าถ้าหากใส่หัวโขนที่หนาและหนัก มีน้ำหนักสูง จะต้องย่อขาอย่างไร วางลักษณะสมดุลของร่างกายอย่างไร เพื่อจะได้รับไว้ได้ นี่ใส่หัวโขนที่หนักขึ้นทุกวันๆๆ แต่ประชาชนที่เปรียบเสมือนร่างกายและแขนขาลีบลงทุกวันๆ มันจะไปตั้งตัวอยู่ได้อย่างไร ตกลงจะอยู่แต่หัวเรอะ

นี่แหละครับ คือการเมืองไทยเดี๋ยวนี้ ไม่ได้ยาก ไม่ได้ซับซ้อน และประชาชนก็รู้เท่าทันหมดแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ เดี๋ยวเมื่อถึงเวลาเราก็จะได้ประกาศกันว่า มวลชนคนเสื้อแดงนั้น เราจะเดินและวิ่ง จากขั้นตอนนี้อย่างไร เพราะการขอร้อง หรือการเรียกร้องจะจบสิ้นในวันนี้ ไม่ขออีกแล้ว

ของๆ เราแท้ๆ พี่น้อง เราอุตสาห์มีมารยาท คอยมาจนเข้าปีที่ 4 นี้แล้ว ไม่รู้สำนึก ประชาชนเปิดโอกาสให้คืนสิ่งที่ปล้นไป ตอนที่มวลชนได้อุ้มพรรคพลังประชาชนกลับมาในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 นั่นคือสัญญาณเตือนจากประชาชนแล้ว

คุณใช้ คมช. ไปข่มขู่พี่น้องระดับท้องถิ่นในทุกจังหวัด ให้เลือกพรรคอื่นที่เป็นข้ารับใช้คุณ อย่าเลือกพรรคพลังประชาชน แต่พี่น้องประชาชนเขาก็ฝ่าด่านอาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหลายจนพรรคพลังประชาชนโผล่พ้นน้ำเป็นรัฐบาลได้

พรรคพลังประชาชน หรือแม้แต่ในตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ต้องรู้สำนึกนะครับ ว่าถ้าไม่มีมวลชนในครั้งนั้น ไม่มีวันที่จะมีลมหายใจต่อเนื่องมาถึงวันนี้ได้ การเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 50 เชื่อกันว่าทั้งขู่ ทั้งโกง ทั้งปล้น ทั้งชิง แต่พี่น้องก็เอาฝ่ายประชาธิปไตยกลับคืนมาได้ แล้วฝ่ายนี้ทำอย่างไรครับ แทนที่จะรู้สำนึกว่าประชาชนเขาแสดงเจตนาอันแก่กล้า ยอมเข้าบ้างเถอะ รอมชอมกับเขาบ้างเถอะ รู้จักสะกดคำว่าสมานฉันท์ที่ชอบมาสอนกรอกหูเขาบ้างเถอะ ปรากฏว่าไม่ได้รู้สำนึกเลย รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องประสบกับภัยพิบัติทางการเมือง จนกระทั่งไม่สามารถบริหารประเทศได้ อย่างที่พูดกันวันนี้ไงครับ การประชุมสุดยอดอาเซียน ควรจะมีตั้งแต่รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์แล้ว

ผมไม่เรียกมันว่ารัฐบาลอาเซียนหรอกครับ ไอ้รัฐบาลอาเงี่ยน ไอ้สถานีรถไฟมาร์คกระสัน

นี่คือสิ่งที่ต้องทบทวนกันบ้าง เพราะเรากำลังสู้กับคนหน้าด้านหน้าทน บางครั้งต้องพูดให้ฟังให้ได้ยินกันซ้ำๆ หลายครั้ง เผลอๆ จะได้เจาะกะโหลกหนาปัญญาควายเข้าไปได้บ้าง และจะได้พูดให้พี่น้องทหารที่อยู่ในรั้วทำเนียบรัฐบาล และที่หลบอยู่เบื้องหลังในตึกต่างๆ กำลังต่อสู้ร่วมกับฝ่ายที่จะพ่ายแพ้ในที่สุด นี่คือการเมืองไทย ทุกอย่างที่เป็นการอ้างในวันนี้ ว่าขอประชุม ขอทำงาน ขอบริหารประเทศ ขอแก้ไขเศรษฐกิจ มันก็เสมือนกับมีโจรมาปล้นทั้งบ้านแล้วดันใส่สูทกลับมาบอกว่าจะเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจก็ไอ้ควาย เขาจำหน้ามึงได้ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้วโว้ย

เพราะฉะนั้นเราจะไม่หลงละเมอ ว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเป็นทางออกของปัญหาได้ เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คือส่วนหนึ่งของปัญหานี้ นี่คือตัวปัญหา ไม่ใช่ทางออก นี่คือต้นเหตุ ไม่ใช่ปลายเหตุ เมืองไทยมันพลิกเรื่องกันเก่งพี่น้อง คนดีกลายเป็นคนเสีย คนเก่งกลายเป็นคนไม่เก่ง คนหน้าบางกลายเป็นคนหน้าด้าน คนจงรักภักดีกลายเป็นคนไม่จงรักภักดี โดยเฉพาะประเด็นหลังนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้เห็นว่าคนอ้างความจงรักภักดีทั้งหลาย ไม่ไว้หน้าสถาบันในการกล่าวอ้างแม้แต่น้อยเลยสักคนเดียว

คนที่อ้างว่าตัวรักสถาบันต้องเปลี่ยนเป้าหมาย คนที่ควรถูกประหารชีวิตคือสนธิ ลิ้มทองกุล คือสนธิ บุญยรัตกลิน คือสุเทพ เทือกสุบรรณ อย่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่าเห็นคนที่มาช่วยทำงานเป็นความรำคาญและเป็นเสนียดที่ต้องแก้ไขให้พ้นตัว พี่น้องครับ เราเคยพูดกันมานานแล้วว่า สิ่งที่เป็นความเสื่อมง่ายที่สุดในตัวมนุษย์คือความอิจฉาริษยา ความที่ไม่ยอมให้คนเก่งมาอยู่ใกล้ตัว และผลที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ คือการผลักคนเก่งไปอยู่ไกลตัว แล้วเอาคนที่เป็นพาลชนมาอยู่ใกล้ตัว มันถึงได้เสื่อมอย่างนี้

ได้โปรดขยายโลกทัศน์ โลกทัศน์ก็แปลว่า การมองเห็นในการเข้าไปร่วมโลก ถ้าคบคน 3 คน แล้วฟังอยู่แค่ 3 คน โลกทัศน์ก็อยู่ในคน 3 คน ถ้าหากไม่รู้จะหาปัญญาที่ไหน มานั่งฟังในมวลชนคนเสื้อแดงนี้ แล้วโลกทัศน์จะขยายกว้างไปเอง

ผมได้บอกแล้วไงครับ ผมไม่อยากพูดถึงคุณทักษิณในฐานะบุคคล แต่ต้องพูดในฐานะสัญลักษณ์ ถ้าตวงตาเห็นธรรมสักหน่อย แล้วเก็บนายกฯ ทักษิณไว้ทำงาน ป่านนี้ก็พากันสูงไปทั้งหมดแล้ว

ในบรรดาคนที่ลุกขึ้นมา กล่าวหาคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีนั้น ในที่สุดแล้ว มันต้องถามกลับครับว่าแล้วคนที่เขาแสดงความจงรักภักดียุคนี้เขาต้องทำสามอย่างใช่ไหม หนึ่ง อ้างสถาบันแล้วลากลงต่ำโดยไม่บันยะบันยังใช่ไหม สอง เขาเสนอแนะอะไรตรงๆ ไม่ได้ ต้องไปแอบนินทาลับหลังใช่ไหม และสาม ถ้าประชาชนเปิดโอกาสให้ผลักไสไม่ยอมยืนกับประชาชนใช่ไหม นี่ใช่ไหมที่เรียกว่า จงรักภักดี

ในยุคนี้ คิดเสียใหม่ ตั้งสติเสียใหม่ รัฐบาลประชาธิปัตย์นั้น มีประวัติศาสตร์อันคงเส้นคงวาในการทำลายทุกอย่างที่อยู่ใกล้ อยู่ใกล้ปรีดี พนมยงค์ ทำลายปรีดี พนมยงค์ อยู่ใกล้ขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา ทำลายขบวนการนักศึกษา 14 ตุลา พฤษภาประชาธรรม หายหัวไปอย่างไม่เห็นหน้า แล้วเมื่อเขาชนะแล้ว หน้าด้านออกมาอ้างความดีความงามกับเขาด้วย เหตุที่เป็นอย่างนี้เพราะวัฒนธรรมพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่มีอย่างอื่นนอกจากการเล่นการเมือง เป็นเครื่องจักรอันวิเศษ เอาคนดีหรือคนกึ่งดิบกึ่งดีเข้าไป ออกมาเป็นมารเต็มขั้นทั้งนั้น เป็นอย่างที่คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อพูด คือเป็นโรงเรียนดัดสันดาน ดัดสันดานดีให้กลายเป็นสันดานเลว

ครั้งหนึ่งคนกรุงเทพฯ เขาก็มีเมตตาต่อตัวคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในการลงสมัครเป็น ส.ส. สมัยแรกๆ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. หนุ่ม คนเดียวหรือไม่กี่คนในการเลือกตั้งครั้งนั้นก็เคยผ่านมาแล้ว เพราะตอนนั้นเป็นพลังธรรมหรือเป็นจำลองฟีเวอร์ แต่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะตัดสินใจผิดอย่างฉกรรจ์ทางการเมือง เพราะหลังจากที่ได้รับความเมตตาจากคนกรุงเทพฯ แล้ว กลับวิ่งไปหาครูบาอาจารย์ที่เขานึกว่าจะพาเขาไปรอด ชื่อชวน หลีกภัย แล้ววันนี้มาหาครูบาอาจารย์หรือบุพการีคนใหม่ชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ

ตกลงจากอีตันลงมาถึงอีแอบเลยหรือครับอภิสิทธิ์ ทำไมกราฟมันลงอย่างนั้น ได้รับการศึกษา ทุน พ.ก. หรือทุนพ่อกูมาแล้ว ก็น่าจะยังที่ให้มีความสำเร็จ มีความสบาย พอสัณฐานประมาณ แต่ปรากฏว่าด้วยความอยากจะใหญ่โตทางการเมือง โดยที่ไม่สนใจจะปรับตัวให้เข้ากับพี่น้องประชาชน ดันมาใช้วิธีปรับประชาชนให้เข้ากับตัวด้วยการรัฐประหารและระบบกฎหมู่ครองเมือง เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่สำนึกตน ขอให้อภิสิทธิ์สารภาพกับประชาชนว่า ที่ผมยอมตามวิชามารต่างๆ นานามาถึงวันนี้ เพราะผมไม่มีปัญญาชนะเลือกตั้งครับ

ประเทศเขาต้องการนายกเลือกตั้ง ไม่ใช่นายกไต่เต้า อภิสิทธิ์ หรือไม่ใช่ต้องการอย่างรองนายกฯ สุเทพ ที่ไต่เต้าอย่างเดียว ไต่เตียงด้วย

หยุดเป็นรัฐบาลที่บริหารโดยกามคุณสักทีสุเทพ เทือกสุบรรณ ประเทศไทยสูงกว่านั้น ประชาชนสูงกว่านั้น และปณิธานของระบอบประชาธิปไตยต้องงดงามกว่านั้น อย่าได้เอามือหรืออวัยวะอันสกปรกของคนทุกคนในทำเนียบจากพรรคประชาธิปัตย์ในตอนนี้มาแปดเปื้อนกับของมงคลของประชาชนคือระบอบประชาธิปไตย

พี่น้องครับ ในขณะนี้มวลชนคนเสื้อแดงของเรา มาถึงจุดที่ต้องแสดงกำลังให้เขาเห็นทั่วประเทศ การที่เราจะต้องแสดงพลังในแต่ละจังหวัด ในแต่ละจุดนั้น จะต้องเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ พี่น้องเสื้อแดงที่มาที่ชุมนุมหน้าทำเนียบไม่ได้ ติดภารกิจ ไม่มีทรัพยากรเพียงพอ ต้องดูแลธุรกิจ เรือกสวนไร่นา อย่าได้ห่วงครับ เสื้อแดงนั้นจะขยายเป็นการล้อมประเทศนี้จากทุกจังหวัดแทน

กลับมาที่การต่อยอดปณิธานของการอภิวัฒน์สยาม 2475 พี่น้องที่เคารพครับ ท่านอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ได้เคยเล่าเป็นการส่วนตัวว่า ท่านพลาดสองเรื่อง เรื่องแรกก็คือ ท่านไม่เผด็จศึกเสียตอนที่เผด็จศึกได้นั่นคือระลอกแรก

ครั้งที่สอง เมื่อท่านเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทย มีสมาชิกเป็นจำนวนแสนๆ ติดอาวุธพร้อม สู้กับรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งเป็นศัตรูในขณะนั้นไม่ใช่ในตอนนี้ ซึ่งยึดครองประเทศไทยอยู่ แต่ท่านเป็นคนดีเหลือเกินครับ พอหมดสิ้นเสรีไทย ท่านปลดอาวุธเสรีไทยหมดเลย ท่านยอมรับว่าท่านพลาดครั้งที่สอง

ผมจะขอไม่พูดตรงนี้ ว่ามวลชนคนเสื้อแดงจะเรียนรู้จากสิ่งที่ท่านรัฐบุรุษอาวุโสท่านพูดเองว่าเป็นความผิดพลาด เพราะเป็นเรื่องผู้ใหญ่ต้องวิจารณ์ตน และเราก็เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง แต่อยากจะขอเรียนพี่น้องครับว่า ในระดับของวุฒิภาวะของการเรียนรู้พัฒนาตนเอง เพียง 4 ปีเท่านั้น มวลชนคนเสื้อแดงจบปริญญาเอกทางรัฐศาสตร์นั้น มันจะทำให้การต่อยอดอภิวัฒน์สยามเร็วกว่า 70 กว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน เป้าหมายของมวลชนคนเสื้อแดงจึงมากกว่าการจะบุกเข้า นายทหารที่อยู่เบื้องหลังทั้งหลายได้สำนึกเอาไว้ ทำเนียบรัฐบาลมันแค่นี้ มาล้อมดูตัวประหลาดเท่านั้นเอง

ชัยชนะของคนเสื้อแดงมาจากการที่เราติดอาวุธทางปัญญา ทำให้พี่น้องประชาชนได้ตื่นจากความมืด และได้รับความสว่าง เมื่อนั้นแหละครับ ไม่ว่าจะมีอะไรที่หนาหนักแค่ไหน ครอบไว้ ทับไว้ เรายกออกจากตัวได้หมดครับพี่น้อง

ก็ขอขอบคุณ ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย ที่ใน 4 ปีที่ผ่านมานี้ กลั่นแกล้ง รังแก บีบคั้น กดขี่ประชาชน จนเขารู้กันทั่วว่าอะไรเป็นอะไร ขอขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้เขาเนี่ยเราช้านะครับพี่น้อง เพราะยังมีคนที่ไม่เชื่ออีกมาก เอ๊ะ มันใช่เรอะ มันจริงเรอะ ไม่อยากจะเชื่อ แต่วันนี้มีแต่คนช่วยเผยแพร่ต่อทั้งนั้น หลักฐานมันมัดคอแล้วตอนนี้ นี่แหละครับ ความผิดพลาดที่ไม่ยอมรับผู้นำที่ประชาชนเขายอมรับ ผลกรรมมันตามมาวันนี้

การเมืองไทยจึงมาจุดโค้งที่สำคัญ เป็นจุดโค้งที่ต้องตัดสินใจว่าเอกลักษณ์ของไทยคืออะไร เราได้เห็นธงชาติ ที่พี่น้องของเราโบกไสวอยู่ตรงนี้ เรารู้ดีว่าธงชาติหมายถึงสีแดง สีขาว และสีน้ำเงิน สามสีคู่กัน เสมอภาคเท่าเทียมจึงสงบ สันติ และไม่ต้องใช้อาวุธ นี่เรียกว่าธงไตรรงค์ ไม่ใช่ธงเอกรงค์ สามสี ไม่ใช่ สีเดียว เท่านั้นแหละครับคือความต้องการของประชาชน ไม่อย่างนั้นไม่ยอมลำบาก ไม่ยอมสละความสุขส่วนตัว มาร่วมกันทุกครั้งที่แกนนำกราบขอร้องอย่างนี้หรอก ได้เห็นภาพนี้แล้วได้สำนึก ได้คิด ได้ตึกตรองอะไรบ้างหรือไม่

เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยครึ่งใบก็ไม่เอา ประชาธิปไตยเอาไปแค่นี้ก่อนเพราะประชาชนไม่พร้อมก็ไม่ต้องการ ต้องการประชาธิปไตย ที่มันสมตัวประชาชนและสมศักดิ์ศรีประชาชน นั่นคือประชาธิปไตยไม่มีเงื่อนไข

นั่นคือความต้องการ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรฉบับปี 2540 เป็นจุดเริ่มต้นของการสานประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ยกเว้นอยากจะเป็นหัวที่ตัวไม่มี

นี่แหละครับคือความต้องการของพวกเรา นี่แหละครับคือความเรียบง่ายของสิ่งที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มา เมื่อเราได้ประชาธิปไตยมาแล้ว เราก็จะมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องรายละเอียด นั่นเป็นกลไกประชาธิปไตย แต่ประเด็นที่คนไทยไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็คือ เรามีศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์เท่ากันไม่แบ่งสี

ย้ำอีกครั้ง ว่าเกิดสีแดงเพราะมีสีเหลืองพันธมิตรฯ ขึ้นก่อนนะครับ ถ้าไม่เกิดรัฐประหาร 19 กันยายน 49 ก็ไม่ต้องมีสีแดง มีแต่ประชาชนเต็มขั้นของประเทศไทย ลำดับเรื่องกันให้ดี ลำดับเหตุการณ์กันให้ถูก แล้วจะเกิดปัญญาขึ้นมา

พี่น้องครับสุดท้าย ฝากไว้ เพื่อให้เวลายังคงอยู่ในย่านที่เราจะได้ประกาศเรื่องราวสำคัญต่อไปได้ วันนี้ทำหลายภารกิจหน่อย กลอนสั้นไปนิดนะครับพี่น้อง ไม่มีเวลาจะต่อกลอนยาวนัก ขอฝากไว้ว่า

 

เมืองไทยวันนี้ระบอบไหน
มวลชนไทยจึงยากแค้นสุดแสนเข็ญ
ใช้อำนาจเฉือนเชือดอย่างเลือดเย็น
ขุกฆ่าเข่นคนตรงข้ามตามอารมณ์
 
สนุกหรือที่ได้ฆ่าประชาราษฎร์
จนสังคมฉีกขาดและขื่นขม
มีของดี ดันไปคว้า ก้อนอาจม
เพียงเพราะคนเขานิยมมากกว่าตัว
 
เราพูดถึงประเทศไทยอันไพศาล
ใช่อาการหน้าละเหี่ยแบบเมียผัว
เรามุ่งหาคำตอบทุกครอบครัว
แต่เพราะเห็นแก่ตัวมัวทำลาย
 
ขุดหลุมฝังตัวเองอยู่ทุกวัน
ประชาชนทั้งนั้นเขาแหนงหน่าย
ปล่อยให้เขาโศกศัลย์รอวันตาย
สีแดงจึงขยายทั้งแผ่นดิน
 
จากวันนี้เราไม่ฟังอย่านั่งหลอก
เพราะกลับกลอกเหลือร้ายหัวใจหิน
ขอประกาศว่าแดงทั้งแผ่นดิน
ต่อให้สิ้นใจตายไม่เลิกรา
 
ขอบคุณมากครับ

หมายเหตุ:
ขอบคุณคุณ
Tuxedo ผู้รวบรวมคลิปการปราศรัยในคืนวันที่ 26 ก.พ. ใน กระดานข่าวประชาไทเว็บบอร์ด

อาเซียนและการดิ้นรนบนเวทีโลก

 

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือภูมิภาคที่ไม่เคยเป็นตัวแสดงหลักในเกมอำนาจโลกเลยนับจากยุคอาณานิคมมาจนถึงยุคโลกาภิวัตน์ การร่วมตัวกันของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในนามอาเซียนเป็นความพยายามอย่างหนึ่งของชาติในภูมิภาคนี้ที่จะเสริมสร้างอำนาจในการต่อรองทางเศรษฐกิจในระดับโลก

ในยุคสงครามเย็น ภูมิภาคนี้ถูกแบ่งให้เป็น 2 ค่าย ตามบรรยากาศการเมืองโลก แต่หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ผู้นำค่ายสังคมนิยม ในช่วงทศวรรษที่ 90 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนก็หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน บทหนทางเสรีนิยมเดียวกัน ซึ่งประเทศเหล่านี้ถูกปฏิบัติในฐานที่เป็นชายขอบแดนของอำนาจต่อรองเช่นเดิม

แม้ว่าความพยายามของอาเซียนจะต้องการสร้างเสริมอำนาจการต่อรองให้แก่กลุ่มประเทศสมาชิก แต่ทว่า ก็ไม่เคยก้าวข้ามความเป็นชายขอบไปได้ เมื่อพิจารณาจากการพยายามสร้างข้อตกลงการค้ากับประเทศกึ่งชายขอบที่เริ่มขยับเข้าใกล้ความเป็นศูนย์กลางในการต่อรองอย่าง จีน อินเดีย เกาหลีใต้

การเจรจาการค้าก็ยังคงสถานะเดิมๆ นั่นคือ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำหน้าที่เป็นฐานในการส่งออกวัตถุดิบ การ แสวงประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม และแรงงานราคาถูก ขณะที่นำเข้าสินค้าที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงกว่าจากประเทศคู่ค้า อย่าง จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อียู ออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา

ประเทศชายขอบเหล่านี้มีฐานเป็นเพียงศูนย์กลางของวัตถุดิบทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ซึ่งรีดเค้นมาจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักหน่วง และแน่นอนรวมถึงแรงงานราคาถูกด้วย

ดังนั้นแล้ว หากย้อนหลังไปเพียงช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เราจึงสามารถมองเห็นการแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของอาเซียน เป็นไปในทิศทางที่ขุดค้น ฉวยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ในภูมิภาคของตนออกมาอย่างเต็มที่ ดังกรณีที่ประเทศลาวประกาศตัวเป็นแบตเตอรี่ของเอเชีย พร้อมด้วยการเปิดรับการสนับสนุนการลงทุนสร้างเขื่อนขนาดใหญ่จำนวนมาก ไทยประกาศตัวเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่ง ขณะที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีการแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศเพื่อนบ้านอย่างหนักหน่วง มาเลเซียปฏิเสธที่จะพูดถึงประเด็นการรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุผลว่า เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องของประเทศพัฒนาแล้วที่สร้างมาตรฐานสูงเกินไป

กำเนิดอาเซียน

อาเซียนเกิดจากการบรรลุข้อตกลงเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1967 ตามปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration) ที่กรุงเทพฯ มีเป้าหมายที่จะกระตุ้นความร่วมมือระหว่างชติประชาคม ซึ่งเมื่อแรกตั้งประกอบด้วย 5 ชาติคือ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ และฟิลิปปินส์ จากนั้น บรูไนได้ผนวกเข้ามาเมื่อปี 1984 เวียดนาม 1995 ลาวและพม่าในปี 1997 และกัมพูชาในปี 1999

วัตถุประสงค์เริ่มแรกเพื่อสร้างสันติภาพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันนำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเมื่อการค้าระหว่างประเทศในโลกมีแนวโน้มกีดกันการค้ารุนแรงขึ้น ทำให้อาเซียนได้หันมามุ่งเน้นกระชับและขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกันมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ 1.ส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมในภูมิภาค 2.รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงในภูมิภาค และ 3. ใช้เป็นเวทีแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในภูมิภาค

กลไกการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจของอาเซียน

1. การประชุมสุดยอดอาเซียน (ASEAN Summit Meeing) หรือการประชุมระดับผู้นำของ อาเซียน เป็นองค์กรที่มีอำนาจสูงสุดของอาเซียน กำหนดให้มีการประชุมปีละ 1 ครั้ง ประมาณเดือนพฤศจิกายน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางในการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือและริเริ่มกิจกรรมใหม่ๆของอาเซียน

2. การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน

2.1 การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers: AEM) กำหนดให้มีการประชุมอย่างเป็นทางการปีละครั้ง ในช่วงเดือนตุลาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวนโยบายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน รวมทั้ง พิจารณาการขยายกรอบ/ริเริ่มความร่วมมือใหม่ๆ

2.2 การประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (AEM Retreat) กำหนดให้มีการประชุมปีละครั้ง ในช่วงเดือนพฤษภาคมของทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้แนวทางและแก้ไขปัญหาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่เป็นเรื่องจำเป็น เร่งด่วน หรือเป็นพิเศษ

3. การประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (Senior Officials Economic Meeting: SEOM) ประชุมปีละ 4 ครั้งเป็นอย่างน้อย (ประมาณ 3 เดือนครั้ง) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดการดำเนินงาน/การขยาย/การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนในทุกด้าน และความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศต่างๆ

4. การประชุมคณะกรรมการ/คณะทำงานที่แต่งตั้งโดย SEOM เช่น

4.1 คณะกรรมการประสานงานการดำเนินการภายใต้ความตกลง CEPT (CCCA) ประชุมปีละ 4 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการลดภาษีและยกเลิกข้อกีดกันทางการค้าให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ภายใต้อาฟต้า และความตกลงอื่นที่เกี่ยวข้อง

4.2 คณะทำงานความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (Working Group on Industrial Cooperation: WGIC) ประชุมปีละ 3 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (AICO)

4.3 คณะกรรมการประสานงานด้านการลงทุน (Coordinating Committee on Investment: CCI) ประชุมปีละ 4 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน และความร่วมมือด้านการลงทุนต่างๆ

4.4 คณะทำงานระดับสูงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์อาเซียน (e-ASEAN Task Force: EATF) และคณะทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและอิเล็กทรอนิกส์อาเซียน (e-ASEAN Working Group: EAWG) ประชุมปีละ 3 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานภายใต้กรอบความตกลง e-ASEAN

4.5 คณะกรรมการประสานงานด้านบริการ (Coordinating Committee on Services: CCS) ประชุมปีละ 4 ครั้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการจัดทำข้อผูกพันการเปิดเสรีการค้าบริการในอาเซียน และความร่วมมือด้านบริการอื่น

5. สำนักเลขาธิการอาเซียน (ASEAN Secretariat) เป็นหน่วยประสานงานและเสริมสร้างการดำเนินการตามนโยบาย โครงการและกิจกรรมขององค์กรต่างๆของอาเซียน รวมทั้งทำหน้าที่เลขานุการในการประชุมอาเซียน

ทั้งนี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ได้ร่วมกันกำหนดวิสัยทัศน์อาเซียนในปี 2020 ในส่วนเศรษฐกิจ โดยกำหนดให้อาเซียนเป็นเขตเศรษฐกิจที่มีความมั่นคง มั่งคั่ง และสามารถแข่งขันในตลาดโลกในทุก ๆ ด้าน โดยมีวิสัยทัศน์ว่า "อาเซียนปี 2020 เป็นหุ้นส่วนร่วมกันในการพัฒนาอย่างมีพลวัตร" (ASEAN 2020: Partnership in Dynamic Development)"

ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน คนปัจจุบัน กล่าวเมื่อวันที่ 12 เดือนกันยายน ปี 2007 ว่า แม้ว่าอาเซียนจะมีสมาชิกอยู่ทั้งหมด 10 ประเทศ แต่ในความจริงแล้วอาเซียนนั้นหลอมรวมกับโลกทั้งหมด รวมไปถึงชาติมหาอำนาจ อย่างสหรัฐอเมริกา จีน รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส สหภาพยุโรป และเอเปก

ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ชาติอาเซียนเอง ก็ต้องเร่งปรับแก้กฎหมาย วางแนวนโยบาย และระบบกฎหมายให้สอดคล้องกับข้อเรียกร้องของประเทศเหล่านั้น

สิ่งที่ต้องตั้งเป็นข้อสงวนไว้สำหรับชาติอาเซียนก็คือ ว่า ผลิตภัณฑ์จากอาเซียน คือสินค้าเกษตร ประมง ไม้ สิ่งทอ ชิ้นส่วนอิเลกโทรนิกส์ ไอที บริการด้านสุขภาพ และการขนส่งซึ่งเป็นสินค้าหลักของชาติอาเซียนนั้น ง่ายต่อการถูกกีดกันทั้งโดยรูปแบบของภาษีและข้อกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี เช่น ปัญหาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

ความหลากหลายบนสถานะของชายขอบเศรษฐกิจโลก

ประชากรในอาเซียน ปัจจุบันมีราว 570 ล้านคน ผู้คนนับถือ อิสลาม พุทธ คริสต์ ฮินดู มีความแตกต่างด้านสถานะทางเศรษฐกิจอย่างสุดโต่ง นั่นคือ ลาวและพม่าเป็นประเทศที่ประชากรที่มีรายได้เฉลี่ยน้อยที่สุดคือ 209 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ขณะที่ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือประชากรมีรายได้เฉลี่ย 50,000 เหรียญสหรัฐต่อปี

นอกเหนือจากความแตกต่างด้านรายได้ของประชากรแล้ว อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ถูกจับตามองและตั้งคำถามเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก รวมถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ถูกต้อง รวมไปถึงความไม่เป็นประชาธิปไตยในภูมิภาคอาเซียน ปัญหาคอร์รัปชั่น และการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งแต่ละประเทศล้วนมีจุดอ่อนในเรื่องเหล่านี้อย่างไม่มีข้อยกเว้น

บางตัวอย่างของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่ถูกต้อง ปรากฏในรายงานของ UNDP ในปีที่ผ่านมาว่า ประเทศมาเลเซียคือประเทศที่ผลิตสารคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศในเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในโลก ขณะที่ไทยเป็นประเทศที่ผลิตสารคาร์บอนออกสู่ชั้นบรรยากาศมากที่สุดในอาเซียน ข้อสังเกตเหล่านี้ก็ไม่เคยได้รับการตอบสนองที่ดีจากรัฐบาลทั้งสอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาเลเซีย ซึ่งในยุคของผู้นำชื่อมหาเธร์ โมฮัมหมัด ซึ่งกล่าวท้าทายมาตรฐานแบบ ตะวันตก' ว่า รอให้มาเลเซียเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เราจึงจะมาพูดเรื่องแบบนี้กัน

ปัญหาการคอร์รัปชั่น จากรายงานขององค์กร transparency international จากแผนภูมิภาพด้านล่าง สีแดงเป็นความหมายของคอร์รัปชั่นในระดับสูง เราจะเห็นสีแดงในเฉดที่ต่างกันในภูมิภาคนี้

  

ที่มา: http://en.wikipedia.org/wiki/Corruption_Perceptions_Index

ปัญหาด้านสิทธิเสรีภาพ ตามรายงานขององค์กร freedom House พื้นที่ในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมดมีเสรีภาพเพียงบางส่วน ฟิลิปินส์ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่อันตรายสำหรับผู้สื่อข่าวและนักกิจกรรมทางสังคม

ประเทศไทย ถูกบันทึกว่า เสรีภาพดิ่งลงอย่างหนักหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2005 เป็นต้นมา จากเดิมที่ถูกจัดว่าเป็นประเทศที่มีเสรีภาพตั้งแต่ 1998 ถึงปี 2005 หลังการรัฐประหารในปี 2005 ไทยถูกจัดให้อยู่ในข่ายมีเสรีภาพบางส่วน กัมพูชา และมาเลเซียมีเสรีภาพบางส่วน และอยู่กฎหมายควบคุมการแสดงความคิดเห็นและกีดขวางการแสดงออกทางการเมืองอย่างเข้มงวด

บทบาทอย่างสูงของกองทัพ ในพม่าและไทย และฟิลิปปินส์ที่ส่งผลต่อความผันผวนของการเมืองภายใน การรัฐประหารยังเป็นสิ่งที่เกิดได้ง่ายในประเทศเหล่านี้ ขณะที่อินโดนีเซียส่งสัญญาณว่า ดูเหมือนจะหลุดพ้นวงจรอุบาทว์ดังกล่าว แต่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น

 

อาเซียนกับปัญหาของตัวเอง

ชาติอาเซียนมีฝันร่วมกันที่ไปสู่ความเป็นประเทศพัฒนาแล้วในปี 2020 ประเทศมาเลเซียยังกล้าประกาศยืนยัน ขณะที่ประเทศไทยกำลังสะบักสะบอมจากการเมืองภายใน ทำให้ฝันนั้นดูลางเลือนลง เวียดนามกำลังบอบช้ำกับภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ซึ่งออกฤทธิ์เมื่อปีที่ผ่านมา และเผชิญกับคนตกงานเป็นจำนวนหลักล้าน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่ส่งออกแรงงานจำนวนมาก ขณะนี้กำลังเผชิญกับคนว่างงานถึง 11 ล้านคน

กัมพูชาและลาวยังคงประกาศการค้นพบทรัพยากรธรรมชาติ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งทองคำและน้ำมัน เหมือนเป็นเสียงเชิญชวนให้ประเทศร่ำรวยเข้าไปลงทุน

ทั้งหมดนี้ ถูกทำให้แย่ลงไปอีก จากภาวะเศรษฐกิจโลก ที่ชาติศูนย์กลางอำนาจของระบบเศรษฐกิจเสรีนิยม อย่างสหรัฐอเมริกา กำลังเผชิญกับคนว่างงานจำนวนหลายสิบล้านคน สหภาพยุโรปเผชิญปัญหาเดียวกัน ญี่ปุ่นทยอยปลดพนักงาน และลดการผลิต รวมถึงหยุดการผลิตในบางบริษัท บริษัทชั้นนำของโลกอย่างโตโยต้าประกาศภาวะขาดทุน

 "ในฐานะประธานอาเซียน ผมจะทำทุกวิถีทางให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งเสรีภาพ รอยยิ้มและโอกาส จะดำเนินการทุกวิถีทางให้บรรลุวิสัยทัศน์และความใฝ่ฝันของผู้ก่อตั้งที่จะสร้างประชาคมอาเซียนขึ้นด้วยสังคมที่แบ่งปัน และมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน" คำกล่าวขอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยฉายซ้ำจนจำกันได้ขึ้นใจ แต่มันจะเป็นจริงได้อย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่าประเทศไทยและอาเซียนจะมีมาตรการใดออกมาเพื่อทำให้ไทยและอาเซียนได้บรรลุเจตนารมณ์ดังกล่าว

นอกเหนือจากภาวะชายขอบทางเศรษฐกิจ อาเซียนก็มีปัญหาในตัวของเองอยู่ในทุกประเทศ และยังมีปัญหาระหว่างกันอย่างไม่จบสิ้น มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ไทย กำลังเผชิญปัญหาคนตกงานเป็นปัญหาหลัก ขณะที่พม่าและ ลาว ยังถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ในด้านความสัมพันธ์ ด้วยภาวะ การเมืองภายในที่ร้อนระอุต่อเนื่องยาวนานของไทยกว่า 3 ปี ได้เปิดปมขัดแย้งใหม่ๆ กับกัมพูชา ว่าด้วยปัญหาเส้นเขตแดน ซึ่งขณะนี้ ประเด็นสำคัญอยู่ที่เขาพระวิหาร ซึ่งเคยเกือบจะเป็นพื้นที่การพัฒนาร่วม แต่ต้องปิดตัวลงและถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนาโดยเจ้าหน้าที่ทหารจากทั้ง 2 ประเทศ

มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ยังคงขัดแย้งกันเรื่องเส้นเขตแดน และการกำหนดว่าเกาะใดเป็นของใคร ทั้งนี้ ขึ้นกับทรัพยากรธรรมชาติที่ค้นพบเป็นสำคัญ

ขณะที่ปัญหาเศรษฐกิจโลกได้เพิ่มโจทย์ใหม่และยากมากขึ้น ประเทศอาเซียนก็ยังคงมีโจทย์เก่าที่ไม่คลี่คลาย ทั้งความไม่เป็นประชาธิปไตย การฉวยประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิทธิมนุษยชน และปัญหาการคอร์รัปชั่น ปัญหาที่ถูกรายงานซ้ำโดยหน่วยงานและองค์กรระดับนานาชาติ สะท้อนภาพว่า ชาติอาเซียนยังคงดิ้นรนต่อสู้อยู่ในวงวนเดิมๆ ของตนเอง

 

อ้างอิง

http://www.moc.go.th/opscenter/cr/asean.html

http://hdr.undp.org/en/climatechange/

http://www.freedomhouse.org/template.cfm?page=439

http://en.wikipedia.org/wiki/Corruption_Perceptions_Index

สุพจน์พลพากษ์ ทวนกรากกระแสชล: ขอแสดงความอาลัยต่อ "สุพจน์ ด่านตระกูล"

 ทีมข่าวการเมือง

 

 

 

"พฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ไม่อยู่ในขอบข่ายของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ จึงเป็นการใช้กฎหมู่ละเมิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง คือ เป็นราชาธิปไตยยิ่งกว่าองค์พระราชาธิบดี อันเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ยิ่งนัก ดังที่พวก Ultra Royalist ในฝรั่งเศสสมัยหนึ่งทำให้พระราชวงศ์บูร์บองล่มสลายมาแล้ว"

 สุพจน์ ด่านตระกูล
สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย)
มีนาคม
2549

 

1.

"ลุงสุพจน์" หรือ สุพจน์ ด่านตระกูล นักคิด นักเขียนวัย 86 ปี เสียชีวิตอย่างสงบ หลังล้มป่วยด้วยโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อคืนวันที่ 12 ก.พ. ที่ผ่านมา

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ นักประวัติศาสตร์ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวถึง สุพจน์ ด่านตระกูล ผ่านคำนำหนังสือ ปรีดีคิด ปรีดีเขียนฯ ซึ่งเป็นหนังสือที่สุพจน์ ด่านตระกูล เขียนขึ้นและพิมพ์ใน พ.ศ. 2546 เพื่อฉลอง 100 ปี ชาตกาล นายปรีดี พนมยงค์ โดยชาญวิทย์ เขียนถึงสุพจน์ ด่านตระกูลว่า

 

สุพจน์ ด่านตระกูล เป็นหนึ่งในบรรดานัก "ขุดแต่ง" (excavated) และนัก "ฟื้นฟูและบูรณะ" (restored and renovated) "ปรีดี พนมยงค์" น่าแปลกที่สุพจน์นั้นหาได้เป็นญาติมิตรสนิท หาได้เคยทำงานร่วม หรือแม้แต่จะเป็นลูกศิษย์ (มธก.) ของ ฯพณฯ ปรีดี แต่อย่างใดไม่ สุพจน์ "เรียนไม่จบระดับมัธยม" และจากคำบอกเล่าของสุพจน์เอง (5 เมษายน 2552) ก็บอกว่า

"ผมเกิดในครอบครัวของพ่อค้าย่อยในชนบท เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2466 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 14 ค่ำ เดือน 9 ปีกุน ณ บ้านปลายคลองหมู่ที่ 6 ตำบลเชียรเขา อำเภอปากพนัง (ต่อมาได้แยกเป็นอำเภอเชียรใหญ่และปัจจุบันได้แยกเป็นอำเภอเฉลิมพระเกียรติ) จังหวัดนครศรีธรรมราช"

สุพจน์เล่าต่อไปว่า

"เริ่มการศึกษา เบื้องต้นจากโรงเรียนประชาบาลใกล้บ้าน แล้วไปต่อชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนประจำจังหวัด และชั้นมัธยมปลายที่กรุงเทพมหานคร แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายประการ การศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียนก็ต้องยุติลงในปี พ.ศ. 2483 ขณะกำลังเรียนอยู่ในชั้นมัธยมปีที่ 6"

กล่าวได้ว่าหลังจากนั้นแล้วสุพจน์ก็เล่าเรียนจาก "มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต" ดังที่ได้เล่าให้ฟังต่อไปอีกว่า "ความรู้ที่ได้มาจากการศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียนจึงเพียงอ่านออก เขียนได้ และคิดเป็น และก็ได้อาศัยความรู้อ่านออกเขียนได้ และคิดเป็นที่ได้มาจากการศึกษาภายใต้ระบบโรงเรียน ศึกษาเรียนรู้โลกต่อมาทั้งโอกาสโลก สังขารโลก และสัตตโลก เพื่ออธิบายโลกและเปลี่ยนแปลงโลก"

"ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พรรคพวกได้ชักนำเข้าทำงานกับกองทัพญี่ปุ่นในฐานะเสมียนโกดัง ประจำอยู่ที่ท่าเรือเขาฝาซี อำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง อันเป็นท่าเรือที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นใหม่บนฝั่งแม่น้ำละอุ่น กม. 93 เพื่อบริการขนส่งยุทธสัมภาระและกำลังพลทางทะเล จากประเทศไทยสู่พม่าอีกเส้นทางหนึ่ง และในโอกาสนั้นได้เข้าร่วมกับพวกต่อต้านญี่ปุ่น (เสรีไทย) ทำหน้าที่รายงานความเคลื่อนไหวของกำลังพลและยุทธปัจจัยของฝ่ายญี่ปุ่นที่ ผ่านเข้าออกทางท่าเขาฝาซี"

ดูเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่แหละที่ทำให้สุพจน์ ด่านตระกูล เข้าไปสัมผัสกับปรีดี พนมยงค์โดยไม่รู้ตัว และก็เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรจากประสบการณ์ของความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวง ของโลกในกลางศตวรรษที่แล้ว และที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ "ภายหลังสงครามได้เข้าทำงานหนังสือพิมพ์ เริ่มจากเจ้าหน้าที่ตรวจปรู๊ฟ (พิสูจน์อักษร) ผู้สื่อข่าวโรงพัก (ข่าวอาชญากรรม) ผู้สื่อข่าวกระทรวง (ข่าวการเมืองและข่าวราชการ) และจากหน้าที่ผู้สื่อข่าวการเมือง จึงทำให้เกิดความสำนึกทางการเมืองและนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมือง

จนกระทั่งถูกจับกุมในคดี 10 พฤศจิกายน 2495 (หรือที่รู้จักกันในนามของกบฏสันติภาพ) ในข้อหากบฏภายในและภายนอกราชอาณาจักร ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 20 ปี แต่ลดเหลือ 13 ปี 4 เดือน แต่ติดคุกอยู่ประมาณ 5 ปีก็ได้รับนิรโทษกรรมในคราวฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ออกจากคุณมาประกอบอาชีพหนังสือพิมพ์อยู่ประมาณ 1 ปี ก็ถูกจับกุมอีกครั้งหนึ่งในปี 2501 ในยุคเผด็จการของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในข้อหากบฏภายในราชอาณาจักรและมีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกศาลทหารกรุงเทพพิพากษาลงโทษจำคุก 3 ปี ในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ และยกฟ้องข้อหามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์"

มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต (ในคุก) นั้น ทำให้สุพจน์กล่าวอย่างมั่นใจว่า "โดยที่มีความสำนึกทางการเมืองและสนใจการเมือง จึงได้ขวนขวายศึกษาหาความรู้เรื่องการเมืองจากท่านผู้รู้ ที่มีความคิดทางการเมือง ฝ่ายก้าวหน้า รวมทั้งแสวงหาหนังสือฝ่ายก้าวหน้ามาอ่าน และสนใจศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยภายหลัง 24 มิถุนายน 2475 อย่างรับผิดชอบ"

สุพจน์กล่าวเสริมอีกว่า

"รวมทั้งเจริญรอยตามบาทพระพุทธองค์ ศึกษาค้นคว้าเรื่องของโลกทั้งสามอย่างมนสิการ จึงได้สรุปความเข้าใจออกมาเป็นข้อเขียนจำนวนหนึ่ง มีต้นฉบับอยู่ประมาณ 70 เรื่อง ส่วนเขียนแถลงการณ์และสาส์นในโอกาสต่างๆ นั้นอีกจำนวนหนึ่ง"

ซึ่งรวมแล้วอาจจะมากกว่าผลงานของดุษฎีบัณฑิตหรือศาสตราจารย์ (ของรัฐ) ด้วยซ้ำไป

ในบรรดาผลงานนิพนธ์เหล่านั้น ก็มีสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น magnum opus คือ ชีวิตและงานของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ที่ตีพิมพ์ครั้งแรก 2514 (และตีพิมพ์ครั้งที่ 3 ปี 2543) รวมอยู่ด้วย

จากการค้นคว้างานชิ้น นี้ก็กลายเป็นฐานทางวิชาการอย่างสำคัญที่ทำให้สุพจน์ ด่านตระกูล สามารถ "ขุดแต่ง ฟื้นฟู และบูรณะ" ปรีดี พนมยงค์ ได้อย่างเข้มข้น รวมทั้งชุดย่อยๆ เล็กๆ ที่ออกมาเป็นครั้งคราว ราคาถูก ในช่วงทศวรรษ 2510 ก็ทำให้ประชามหาชนพอจะได้เปิดหู เปิดตาขึ้นบ้างต่อ "สัจจะและความเป็นจริง" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "หน้าประวัติศาสตร์อันดำมืดและบิดเบี้ยว" นั้นของ "ชนชาติไทย"...

 

2.

ภายหลังข่าวการจากไปของ "ลุงสุพจน์" ไม่ทันข้ามคืน ในกระดานข่าว "ฟ้าเดียวกัน" ปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นอกจากจะกล่าวแสดงความอาลัยต่อลุงสุพจน์แล้ว ปิยบุตรยังรวบรวมผลงานของลุงสุพจน์เท่าที่มีผู้เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต "เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ทราบความคิดและ "สัจจะ" ในประวัติศาสตร์ ที่ลุงสุพจน์พยายามเสนอมาตลอดชีวิต" ปิยบุตรกล่าวว่า

 

ผม ในฐานะผู้สนใจประวัติศาสตร์มือสมัครเล่น ไม่มีอะไรจะอุทิศให้กับลุงสุพจน์ ด่านตระกูล (ผู้ไม่มีปริญญาบัตร เพียงจบการศึกษาในระดับที่ "อ่านออก เขียนได้ และคิดเป็น" แต่กลับเขียนงานได้ดีกว่าผู้แบกปริญญาติดตัวเต็มไปหมด) นอกจากรวบรวมงานของลุงสุพจน์ ที่ปรากฏในโลกไซเบอร์ เพื่อให้อนุชนคนรุ่นหลังได้ทราบความคิดและ "สัจจะ" ในประวัติศาสตร์ ที่ลุงสุพจน์พยายามเสนอมาตลอดชีวิต

อนึ่ง ด้วยสถานการณ์ที่ผมอยู่ต่างประเทศ คงทำได้เพียงรวบรวมงานของลุงสุพจน์ในอินเตอร์เน็ตเท่านั้น เชื่อว่าอีกไม่กี่วัน สนพ.มิตรสหาย ลูกศิษย์ทางตัวอักษรของลุงสุพจน์ คงได้รวบรวมงานของลุงสุพจน์ (ซึ่งมีจำนวนมาก มากกว่า ศาสตราจารย์ ดร. หลายๆคน) ให้แพร่หลายต่อไป

ขอขอบคุณเว็บไซต์ที่รวบรวมงานของลุงสุพจน์ ด่านตระกูล โดยเฉพาะ เว็บไซต์ของบุคคลที่ใช้ชื่อ "แด่บรรพชนผู้อภิวัตน์ 2475"

ต่อไปนี้คือผลงานของสุพจน์ในโลกไซเบอร์ที่ปิยบุตรเป็นผู้รวบรวมที่ตั้งลิ้งของงานเขียนเหล่านั้น

แด่ สุพจน์ ด่านตระกูล (2466 - 2552)

ผู้อุทิศตนให้กับ "สัจจะ" ในประวัติศาสตร์ และความคิด "วิทยาศาสตร์สังคม"

1. ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เล่าเรื่องของ สุพจน์ ด่านตระกูล ใน คำนำหนังสือ "80 ปี สุพจน์ ด่านตระกูล" http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/02/blog-post_9892.html

2. ปาฐกถาของสุพจน์ ด่านตระกูล เนื่องใน 75 ปีอภิวัตน์ 2475
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_5305.html

3. ปรีดี พนมยงค์กับสถาบันกษัตริย์ และกรณีสวรรคตhttp://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=12&s_id=5&d_id=8

4. ตุลาแดงรำลึก เรียบเรียงจากหนังสือ ประวัติรัฐธรรมนูญ ของสุพจน์ ด่านตระกูล
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_8476.html
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_8748.html
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_9268.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_11.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_8212.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_2586.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_4857.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_6905.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_1348.html

 

5.สัจจะที่ถูกบิดเบือน เรียบเรียงจากหนังสือ ประวัติรัฐธรรมนูญ ของสุพจน์ ด่านตระกูล
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_08.html

6. วันชาติที่หายไป เรียบเรียงจากหนังสือ ประวัติรัฐธรรมนูญ ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/10/blog-post_6632.html

7. การต่อสู้ทางชนชั้น เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_317.html
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_8602.html

8. ต้องช่วงชิงอำนาจทางการเมืองเพื่อเข้าสู่อำนาจเศรษฐกิจและวัฒนธรรม เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_7607.html

9. ก้าวหน้า เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล
http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_06.html

10. ก้าวกระโดด เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_299.html

11. ขูดรีด เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_4360.html

12. ข้าราชการ เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_3384.html

13. ความคิดทางชนชั้น เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูลhttp://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_6013.html http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_5408.html

14. ชีวทรรศน์ เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_07.html

 

15. สังคมศักดินา เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_11.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_2515.html

 

16. ปฏิวัติ เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_10.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_490.html

 

17. ประวัติศาสตร์ เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_5435.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/09/blog-post_09.html

 

18.กฎุมพี เรียบเรียงจากปทานุกรมการเมือง ฉบับชาวบ้าน ของสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_29.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_709.html

 

19. ผู้กุมอำนาจเศรษฐกิจคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง จากหนังสือ ปฏิวัติประชาธิปไตย

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_28.html

 

20. การเปลี่ยนแปลงอำนาจมิอาจปราศจากอำนาจ จากหนังสือ ปฏิวัติประชาธิปไตย

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_27.html

 

21. อธิปไตยพระราชทาน จากหนังสือ "โต้ประมวล รุจนเสรี เรื่องพระราชอำนาจ"

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/07/blog-post_30.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/07/blog-post_4123.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_01.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_02.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_8511.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_06.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_89.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_9398.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/08/blog-post_4623.html

 

22. จดหมายจากสุพจน์ ด่านตระกูล โต้ระพี สาคริก

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/07/blog-post_21.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/07/blog-post_23.html

 

23. จดหมายจากปรีดี พนมยงค์ ถึงสุพจน์ ด่านตระกูล

http://socialitywisdom.blogspot.com/2007/02/blog-post_6415.html

 

24. รบทำไม และรบเพื่อใคร

http://socialitywisdom.blogspot.com/2008/10/blog-post.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2008/10/blog-post_29.html

http://socialitywisdom.blogspot.com/2008/10/blog-post_30.html

 

25. โต้กระแสทวนประวัติศาสตร์ ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 5(1) 2550 (สารบัญ)

http://www.sameskybooks.org/journal/magfah17/

 

26. อภิปราย องคมนตรี อำนาจเหนือการเมืองในระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆ

http://www.prachatai.com/05web/th/home/6912

 

27. สุพจน์ ด่านตระกูล รวมอภิปราย "เบื้องหลังการอภิวัตน์ 24 มิถุนายน 2475" เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. 2550 http://www.prachatai.com/05web/th/home/8610

 

28.ข่าวจากไทยอี นิวส์ มีพูดถึงความเห็นของสุพจน์ ด่านตระกูล เกี่ยวกับรัฐประหาร 19 กันยาhttp://thaienews.blogspot.com/2009/02/blog-post_13.html

 

29. รายงานของสารคดี มีความเห็นของสุพจน์ ด่านตระกูล เกี่ยวกับธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว 27 มิ.ย. 2475 http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=printpage&artid=737

 

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลงานสุพจน์ ด่านตระกูล ที่ปิยบุตร แสงกนกกุลรวบรวมไว้เท่านั้น ท่านที่สนใจงานเขียนของนายสุพจน์ ด่านตระกูล ยังสามารถหาอ่านหนังสือเหล่านี้ได้ และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของหนังสือของสุพจน์ที่รับการตีพิมพ์แล้ว คลิกที่นี่

 

3.

ไม่เพียงเท่านั้น สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการประวัติศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ยังกล่าวในกระดานข่าว "ฟ้าเดียวกัน" ถึงงานของ "ลุงสุพจน์" ที่ทำให้เขารู้สึกว่า "เป็น "หนี้" อย่างหนึ่งที่ผมติดค้างคุณสุพจน์" ความส่วนหนึ่งว่า (คำขีดเส้นใต้ เน้นโดยสมศักดิ์)

 

"...สืบเนื่องจากข่าวการถึงแก่กรรมของคุณสุพจน์ ด่านตระกูล จากกระทู้นี้

ในวันต่อๆ ไป ผมคงจะหาโอกาสเขียน ประเมิน ผลงานคุณสุพจน์ อีก ถ้ามีโอกาส
(งานเรื่องสวรรคตทีผมเขียน จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้งานของคุณสุพจน์)

แต่มีประเด็นหนึ่งที่ผมเสียใจ ที่ไม่ได้เขียนก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่ คิดอยู่นานว่า จะหาโอกาสเขียนถึง

เป็น"หนี้"อย่างหนึ่ง ที่ผมติดค้าง คุณสุพจน์

เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2549 เมื่อ สนธิ ก่อกระแสพันธมิตร เพื่อโค่นทักษิณนั้น

จุด ยืนของผมแต่ต้น ซึ่ง ดังที่รู้กัน ไม่ตรงกับเสียงที่เรียกได้ว่าเป็นเอกฉันท์ ของบรรดาปัญญาชน นักวิชาการ แอ๊กติวิสต์ คือ ผมเห็นว่า ต้องไม่เข้าร่วม ไม่ แม้แต่จะ "โหน" กระแสนั้นไปด้วย อันที่จริง ผมเห็นว่าถ้าขบวนการดังกล่าวของสนธิ ล้มเหลวได้ จะดี

ส่วนหนึ่ง ผมอาศัยการวิเคราะห์ที่มีรากมาจากการมองประวัติศาสตร์ ช่วง 2500 ซึ่งผมเป็น "หนี้" ข้อคิดส่วนหนึ่งจาก (irony อันนี้) อดีต "ซือแป๋" ของ คำนูญ สิทธิสมาน เอง คือ คุณอำนาจ ยุทธวิวัฒน์ (ผิน บัวอ่อน) ความเห็นของผิน คือ ขบวนการฝ่ายซ้าย ทำความผิดพลาด ที่สมัย 2500 ไปหนุนกระแสสฤษดิ์และประชาธิปัตย์ ร่วมโค่น พิบูล-เผ่า

ในปี 2549 ปัญญาชน ฯลฯ ดังที่รู้กัน ถ้าไม่ถึงกับกระโดดเข้าร่วมกับสนธิเต็มตัว ก็"โหน" กระแสตามไปด้วย โดยอ้างว่า "ไม่เอาทั้งพันธมิตร ไม่เอาทั้งทักษิณ" ซึ่งผมขนานนามให้ว่า "2 ไม่เอา"

ยิ่งสถานการณ์เข้มข้นขึ้น ผมยิ่งเห็นว่า ที่ถูกต้อง จะต้อง defend ทักษิณ ไม่ใช่ ร่วมกระแสโค่น ด้วยเหตุผลหลายประการ:

รัฐบาล นั้น ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ แต่เป็นรัฐบาลที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกมา - (ช่วงนี้ เราพูดถึงประเด็นใจ อึ๊งภากรณ์ ขออนุญาต ให้ผมพาดพิง หน่อยว่า ใช้เวลาเกือบ 2 ปี กว่าใจ จะยอมรับประเด็นนี้ ดูที่เขาเขียน defend รัฐบาลสมชาย ทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ 7 ตุลา ว่า แม้จะไม่เห็นด้วย หรือ ไม่ได้เลือก รบ.สมชาย แต่ก็เป็น รบ.ชอบธรรม ซึ่งที่จริง ก็เป็นเหตุผลที่ควรใช้กับ รบ.ตั้งแต่ทักษิณ หรือสมัคร ที่ใจเรียกร้องให้โค่นเหมือนกัน)

และการล้มทักษิณได้ ตาม"คณิตศาสตร์การเมือง" ขณะนั้น มีอยู่ทางเดียว ซึ่งพวกสนธิรู้ดี คือ ต้อง activate กำลังนอกรัฐธรรมนูญ - ทั้ง 2 ประเด็นนี้ ผมเชื่อว่า ได้รับการพิสูจน์ว่า ถูกต้องจากเหตุการณ์ที่ตามมา

ผมยอมรับว่า ในช่วงนั้น มีบางช่วงเวลา ที่ผมเศร้า เหนื่อยหน่าย และท้อมากๆ (ความจริงคิดย้อนหลังแล้วก็ยังรู้สึก นอกจากความโกรธที่มีอยู่เช่นกัน) เพราะเป็นหัวเดียวกระเทียมลีบ ทุกคน แม้แต่คนที่อ้างว่า เห็นภัย ของ "พลังนอก รธน." ล้วนแต่ "เฮโล" เอากับ กระแสสนธิหมด แม้จะอ้างว่า ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนออย่าง ม.7 ก็ตาม แต่ก็ยังเอาด้วย ในแง่กระแสจะโค่นทักษิณตอนนั้น มิใย ที่ตอบไม่ได้ว่า จะอาศัยอะไรมาโค่นทักษิณ ถ้าไมใช่ "กำลังนอก รธน." แล้วจะเอาใครมาแทน ถ้าไมใช่ พวกที่อิงอยู่กับกำลังดังกล่าว (เช่น ปชป.) ....

ไอเดีย เรื่องว่า ต้อง defend รบ.ทักษิณ นั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ..

แต่ ในช่วงนั้น มีเหตุการณ์ เล็กๆ อันนึง ที่ทำให้ผมมีความมั่นใจว่า ที่คิดนั้น ไม่ผิด (นอกจากพื้นฐานการวิเคราะห์ของตัวเอง ทั้งจากสถานการณ์ปัจจุบัน และจากกรณีเรียนรู้จาก 2500) คือ

ในบรรดา "แถลงการณ์" ที่มีการออกมาในขณะนั้น เป็นร้อยๆฉบับ ซึ่งเรียกว่า โดยเอกฉันท์ ล้วนเรียกร้องให้โค่นทักษิณ.. มีแถลงการณ์เล็กๆ ฉบับหนึ่ง ที่ออกมา แต่ขณะนั้น คงไม่มีใครสนใจนัก (ผมเชื่อว่า คนที่กำลังอ่านที่ผมเขียนนี้ ส่วนใหญ่ น่าจะไม่เคยเห็น) เพราะคนออก ก็ไม่ใช่ถึงกับ เป็นปัญญาชนนักวิชาการชื่อดังร่วมสมัยอะไร ไม่ได้มี ศ.ดร. หรือ อ.จ. หรือมี มหาล้ัย สังกัด ..

แถลงการณ์ที่ว่า คือ แถลงการณ์ของคุณ สุพจน์ ด่านตระกูล

ใน แถลงการณ์นั้น คุณสุพจน์ ได้เรียกร้องว่า (ผมเขียนจากความจำ เสียดาย ผมไม่มีต้นฉบับเก็บไว้เหมือนกัน) "เราขอเรียกร้องให้ปกป้องรัฐบาลปัจจุบันที่เป็นรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้ง มา..." อะไรทำนองนี้

แถลงการณ์นั้น ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้นอย่างมาก ว่า ข้อสรุปที่ตัวเองคิด ถูกต้อง
(ผมยังจำความรู้สึกตอนอ่านแถลงการณ์นั้นได้)


ผม สารภาพว่า ผมเอง ด้วยความที่พยายามจะ "สื่อสาร" กับ บรรดา แอ๊กติวิสต์ นักวิชาการ จึงพยายาม ที่จะไม่ใช้ภาษาในลักษณะตรงแบบคุณสุพจน์ ("รัฐบาลของประชาชน..") เพราะขณะนั้น แอ๊กติวิสต์ นักวิชาการ ล้วนแต่ "เลือดเข้าตา" เห็นทักษิณ เป็น Evil Number One ทั้งสิ้น คำว่า "ทักษิณ" กับ คำว่า "ประชาชน" เป็นอะไรบางอย่างที่ไม่อยู่คู่กันในใจพวกเขาเลย (irony ขนาดไหน ที่ท่านแอ๊กติวิสต์เหล่านี้ เมื่อมาถึงสมัย รบ.ทักษิณจำแลง เช่น สมัคร สมชาย จำเป็นต้องยอม ยืนยัน ความชอบธรรมว่า เป็นรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน!) อย่าว่าแต่คำว่า ต้อง defend ทักษิณ ผมก็ระวัง ที่จะไม่ใช้อย่างเข้มข้นมากไป

แต่ แน่นอน ดังที่รู้เช่นกัน ทั้งเสียงคุณสุพจน์ หรือเสียงของผม ก็เป็นเพียงเสียงเล็กๆ ที่ถูกกระแสใหญ่ของบรรดานักกิจกรรมและปัญญาชนทั้งหลาย กลบไปหมด .... ที่เหลือ เป็นอย่างไร ก็คงทราบกันดี

ผมคิดมาหลายครั้งว่า จะหาโอกาสเขียนเล่าเรื่องนี้ ไว้เป็น record ต่อสาธารณะ เพื่อ acknowledge "หนี้" ทางความคิดเล็กๆ ที่ผมได้จากคุณสุพจน์ ในช่วงเวลาสำคัญ


คนอื่นที่ไม่ได้แชร์ประสบการณ์หรือจุดยืนในช่วงวิกฤติร่วมกับผม อาจจะรู้สึกว่านี่ไม่สำคัญ แต่ผมเองรู้สึก

นี่เป็นการ record อะไรบางอย่างที่ personal สำหรับผม

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ไม่เคยได้เขียนเล่าเรื่องนี้เสียที
จนกระทั่ง มาได้ข่าว การถึงแก่กรรมของคุณสุพจน์ ในคืนนี้..."

(ดูความเห็นทั้งหมดของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลได้ที่กระดานข่าวฟ้าเดียวกัน)

 

4.

และนี่คือแถลงการณ์ของสุพจน์ ด่านตระกูล ที่สมศักดิ์ เจียมธีรสกุลกล่าวถึง ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 1334 วันที่ 10 มี.ค. 2549 โดยมีผู้คัดลอกไว้ในเว็บไซต์วิชาการด็อทคอม ความดังต่อไปนี้

 

....

 

พวกข้าพเจ้าผู้มีนามข้างท้ายนี้ ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยเลือกตั้งทั่วไป 6 กุมภาพันธ์ 2548 ให้กับผู้รับสมัครเลือกตั้งที่พรรคไทยรักไทยส่งลงสมัครรับเลือกตั้งในเขตที่ พวกข้าพเจ้ามีถิ่นที่อยู่ตามทะเบียนราษฎร์

จากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งนั้น ยังผลให้พรรคไทยรักไทยได้จัดตั้งรัฐบาล โดยมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี

ในการที่พวกข้าพเจ้าลงคะแนนเลือกพรรคไทยรักไทย ก็เพื่อให้พรรคไทยรักไทยได้มีโอกาสเข้าไปแก้ไขปัญหาของชาติซึ่งมีอยู่มากมาย และพรรคไทยรักไทยในฐานะรัฐบาลก็ได้ดำเนินการไปตามขีดความสามารถและศักยภาพ ของพรรค

แต่บัดนี้ได้มีปัญหาเฉพาะหน้าของชาติเกิดขึ้น โดยมีคนกลุ่มหนึ่งปลุกปั่น ยุยง ส่งเสริม ด้วยวิธีการต่างๆ ให้ประชาชนละเมิดรัฐธรรมนูญ รวมทั้งกฎหมายแพ่ง มีเป็นอาทิ

(1) ปลุกปั่นยุยงส่งเสริมให้มีการถวายพระราชอำนาจคืนแก่สถาบันกษัตริย์ อันหมายถึงการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

(2) ใช้กฎหมู่บีบบังคับขืนใจให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง

พฤติกรรม ตามข้อ 1-2 นั้น ถ้าเป็นการกระทำของปัจเจกชนโดยสุจริตใจไม่ได้นัดหมายจัดตั้ง ก็เป็นสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่พึงจะกระทำได้ แต่พฤติกรรมของคนกลุ่มหนึ่งที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้ ไม่อยู่ในขอบข่ายของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ

จึงเป็นการใช้กฎหมู่ละเมิดกฎหมายอย่างชัดแจ้ง

คือ เป็นราชาธิปไตยยิ่งกว่าองค์พระราชาธิบดี อันเป็นอันตรายต่อราชบัลลังก์ยิ่งนัก ดังที่พวก Ultra Royalist ในฝรั่งเศสสมัยหนึ่งทำให้พระราชวงศ์บูร์บองล่มสลายมาแล้ว

พวกข้าพเจ้าจึงขอเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยึดถือและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้อยู่ในเวลานี้อย่างเคร่งครัด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ดังนั้น การออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

เช่นเดียวกัน

ธัมโม หท รักขติ ธัมมจารี ธรรมย่อมคุ้มครองผู้ประพฤติธรรม

 

สุพจน์ ด่านตระกูล
สถาบันวิทยาศาสตร์สังคม (ประเทศไทย)

 

000

หมายเหตุ:

ชื่อบทรายงาน "สุพจน์ พลพากษ์ ทวนกรากกระแสชล" นำมาจากบทกาพย์ยานี 11 ที่คุณมังกรดำประพันธ์เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2552 ที่ประชาไทเว็บบอร์ด ระบุว่า "ด้วยเจตนา รจนาคำแทนธูป เพื่อคารวะดวงวิญญาณสุพจน์ ด่านตระกูล บุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของแผ่นดินท่านนี้" โดยบทประพันธ์มีดังนี้

บรรพ ๑

-------

0 สะบัด ธงทิวราย แจ้งหมาย สัจธรรม
สัญญาณ เพื่อรุกนำ อิสระ เสรีผล

0 สุพจน์ พลพากษ์ ทวนกรากกระแสชล
ความจริง เพื่อขุดค้น ให้ข้อคิด แห่งความจริง

0 ธงทิว พริ้วสะบัด เพื่อชี้ชัด ใช้อ้างอิง
ต่อนี้ ใครจะติง เมื่อผืนธง ละลิ่วลา

-------

 

บรรพ ๒

0 เมื่อมือ ซึ่งถือธง ทรุดร่างลง สยบพื้น
ที่เหลือ ก็หยัดยืน และยื่นมือ รับช่วงธง

0 ร้อยแสน พันหมื่นมือ ปักธงถืออย่างมั่นคง
แน่วแน่ แม้ชีพปลง ส่งช่วงธง มือต่อมือ

จาก 'กษิต' ถึง 'ฮุน เซน' (และเรื่องสองมาตรฐานของรัฐบาล 'อภิสิทธิ์')

[บันทึกคำปราศรัย 'กษิต ภิรมย์' ถึง 'ฮุน เซน' ในการชุมนุมพันธมิตรฯ เมื่อ 15 ต.ค. และ 27 ต.ค. 2551 โปรดอ่านเพื่อให้เห็น วิสัยทัศน์' และ ท่าที' ต่อประเทศเพื่อนบ้านของรัฐมนตรีผู้ซึ่ง อภิสิทธิ์ ลงทุน 'อุ้ม']

 

โดย ทีมข่าวการเมือง ประชาไท

 

 

กษิต ภิรมย์ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อ 22 ธันวาคม 2551 (ที่มา: Daylife.com/Reuters)

 

เส้นไหน โควตาใคร

กษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กลายเป็นสายล่อฟ้า รัฐบาล มาร์ค 1' เพราะข้อครหาว่าเป็นรัฐมนตรีโควตา พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย' จากบทบาทปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาธิปไตยอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่ เฟส 1 - 2549' และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เฟส 2 - 2551'

โดยพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ ซูฮกว่าอภิสิทธิ์ "แสดงความกล้าหาญอย่างหนึ่ง" ในการตั้งกษิตเป็นรัฐมนตรีเพราะ "นายกษิตกล้าที่จะแสดงถึงความถูกต้องอย่างชัดเจนที่จะปกป้องบ้านเมือง และยังเป็นทูตที่ประเทศต่างๆ ให้การยอมรับ"

พิภพยืนยันว่านี่ไม่ใช่โควตาพันธมิตรฯ "การที่คุณกษิตได้เป็นรัฐมนตรีนั้นอย่าคิดว่าพันธมิตรฯ ส่งไป คุณกษิตไม่ได้มีแผลอย่างคนในรัฐบาลบางคน ซึ่งเป็นการดีที่คุณกษิตเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และจะได้ไปชี้แจงกับต่างชาติว่า คุณทักษิณทำอะไรไว้กับประเทศไทยบ้าง ถ้าประชาธิปัตย์ตั้งคนดีเข้ามาบริหารประเทศ เราก็สนับสนุน แต่ถ้าไม่ดีเราก็ต้องคัดค้านแน่นอน"

เช่นเดียวกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ' รองนายกรัฐมนตรี และผู้จัดการรัฐบาลก็ยืนยันว่าต้องแยกกัน กลุ่มพันธมิตรจริงคงไม่ใช่ แต่อาจจะเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเคยไปทำกิจกรรมทางการเมืองในเวทีของพันธมิตร

โดยเส้นทางของกษิตหลังเกษียณอายุราชการในปี 2547 ได้มาช่วยงานพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเงา ในเดือนสิงหาคมปี 2549 ได้เลื่อนการบรรจุชื่อเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ สำหรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในกลางเดือนตุลาคม แต่เกิดรัฐประหารเสียก่อน

อดีตของกษิต เคยเป็นเอกอัครราชทูตประจำอินโดนีเซีย เยอรมนี ญี่ปุ่น ก่อนเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเคยเผยว่าในปี 2544 เคยช่วยงานรัฐบาลไทยรักไทยที่โอนเขามาทำงานในสำนักนายกรัฐมนตรี เคยชื่นชมทักษิณ ก่อนที่จะปวารณาตัวว่าต้องโค่นล้มทักษิณให้ได้ และเข้าร่วมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยตลอด

 

ทัศนคติที่เป็นอันตราย

กษิตถูกวิจารณ์ว่ามี ทัศนคติที่เป็นอันตราย' จากกรณีการแสดงความเห็นเรื่องพันธมิตรฯ ปิดสนามบินสุวรรณภูมิ ต่อผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เมื่อ 19 ธ.ค. 51 ซึ่งเรื่องนี้หลายฝ่ายทั้งในไทยและต่างประเทศเห็นว่าเป็นความผิดเทียบชั้นการก่อการร้ายสากล แต่นักการทูตอย่างกษิตเห็นเป็นเรื่องสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะ ทำให้ภายหลังเจ้าตัวออกมาปฏิเสธและว่าสื่อมวลชนต่างประเทศตีความหมายผิดและมีเจตนาที่ไม่ดี

นอกจากนี้ เป็นที่เกรงกันว่าบุคลิกและภาพลักษณ์ของกษิตจะทำให้ไทยมีปัญหากับเพื่อนบ้านโดยเฉพาะกับกัมพูชา เพราะช่วงที่มีการชุมนุมของพันธมิตรฯ มีการพิพาทดินแดนไทย-กัมพูชาด้านปราสาทพระวิหารอยู่หลายหน แน่นอน กษิต บนเวทีปราศรัยย่อมไม่พลาดที่จะพาดพิงถึงกัมพูชา และสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ด้วยถ้อยคำเรียกขานอย่างรุนแรง ทั้ง "เด็กเมื่อวานซืน" "นักเลงข้างรั้วประเทศไทย" "มึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน" หรือ "คนบ้าๆ บอๆ" และ "กุ๊ยแบบฮุน เซน" ซึ่งพลั้งปากออกมาสมัยออกรายการคมชัดลึก ช่องเนชั่นชาแนลเมื่อ 14 ต.ค. 51

แต่เมื่อเขารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ และไปเยือนกรุงพนมเปญ เมื่อ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา เขาก็ยกย่องฮุน เซนเป็น "ผู้หลักผู้ใหญ่" เป็น "ผู้อาวุโส" ในอาเซียน! จับไม้จับมือกับคนที่ตัวเองเคยหยามว่าเป็นกุ๊ย เป็นนักเลงข้างรั้วประเทศไทยได้

"ผมคิดว่าท่านฮุนเซน ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ครับ และท่านได้พูดกับผมประโยคแรกว่า เราเคยรู้จักกันเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่พอ แล้วก็เป็นสุภาพบุรุษ เป็นผู้อาวุโสสูงสุดในแวดวงการเมืองของอาเซียน คิดว่าท่าน (สมเด็จฮุนเซน) ก็คงจะมองไปข้างหน้าในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน ผมคิดว่าท่านไม่ใช่เป็นเด็กตอแย และผมคิดว่าพวกเรา (ผู้สื่อข่าว) ก็อย่าทำหน้าที่หรือพูดตอแยนะครับ เราควรจะรุดหน้าและช่วยกันสร้างสรรค์ ให้ความสัมพันธ์เดินไปข้างหน้าได้"

 

นายกฯ สองมาตรฐาน

แม้พฤติกรรมของกษิตเข้าข่ายมี ทัศนคติที่อันตราย' และอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีเองก็ให้แนวทางการทำงานของรัฐมนตรีไว้ 9 ข้อ ในหลายๆ ข้อนั้นให้รัฐมนตรีปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ไม่อยากให้มีเหตุการณ์นำไปสู่ความไม่เชื่อมั่นไม่ศรัทธา รัฐมนตรีไม่มีสิทธิเหนือประชาชนในแง่ของการปฏิบัติตามกฎหมาย และความรับผิดชอบทางการเมืองมีมาตรฐานสูงกว่ากฎหมาย

ที่สำคัญอภิสิทธิ์ยังบอกด้วยว่าหากการดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีเป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาของบ้านเมือง แม้ว่าจะไม่ผิดกฎหมาย หรือจะไม่ได้กระทำความผิดก็ขอให้รัฐมนตรีทุกคนรวมทั้งนายกรัฐมนตรีต้องยึดถือว่าประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ของรัฐบาล

แต่อภิสิทธิ์ก็ทำลายมาตรฐานที่เขาตั้งไว้เอง โดยเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 51 เขาบอกว่าการให้สัมภาษณ์ของนายกษิตที่ปรากฏออกไปและอ้างว่าเป็นปัญหากันอยู่นั้นก็เกิดก่อนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี หลังจากนี้ไปจุดยืนของรัฐบาลและรัฐมนตรีก็จะเป็นไปตามที่ตนได้ประกาศไป และไม่มีแนวทางอื่น

ดังนั้น อภิสิทธิ์จึงเลี่ยงไม่พ้นข้อครหาเรื่องเลือกปฏิบัติ-สองมาตรฐาน โดยก่อนหน้านี้อภิสิทธิ์เองก็เล่นงานจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลพลังประชาชนด้วยข้อหามี "ทัศนคติที่เป็นอันตราย"

โดยจักรภพถูกอภิสิทธิ์เรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบกับเนื้อหาและถ้อยคำที่จักรภพไปบรรยายทางวิชาการ ซึ่งมีเนื้อหาย้อนไปไกลถึงสมัยสุโขทัยและอยุธยาเปรียบเทียบกับสภาพสังคมปัจจุบันไม่ต่างจากคำบรรยายของนักวิชาการทางประวัติศาสตร์ในชั้นเรียนสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งเรื่องนี้อภิสิทธิ์ให้ ศิริโชค โสภา กรรมการบริหารพรรค ลงทุนแปลคำบรรยายของจักรภพ นอกจากนี้ยังได้แรงกระเพื่อมจากการปั่นของพันธมิตรฯ จนจักรภพตัดสินใจพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี

ขณะที่กษิตทำความผิดซึ่งหน้า มีส่วนร่วมและรู้เห็นในการชุมนุมของพันธมิตรฯ ไปร่วมปราศรัยในพื้นที่ที่ยึดมาจากราชการ ทั้งในทำเนียบรัฐบาลและที่สนามบินสุวรรณภูมิ มีการปราศรัยยั่วยุประเทศเพื่อนบ้านมาโดยตลอด แถมยังให้การรับสารภาพ เพราะให้สัมภาษณ์อย่างภาคภูมิใจในวีรกรรมปิดสนามบินสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะของตน! กษิตได้รับการยกเว้นและได้รับโอกาสในการทำงานจากอภิสิทธิ์

ทั้งสองรายเหตุการณ์เกิดขึ้นก่อนการรับตำแหน่งเหมือนกัน รายหนึ่งอภิสิทธิ์กดดันให้ลาออก ส่วนอีกคนหนึ่งไม่ถือเป็นความรับผิดชอบ อภิสิทธิ์จึงใช้ไม้บรรทัดกับกษิตอย่างหนึ่ง ใช้กับจักรภพอีกอย่างหนึ่ง

 

ผู้ตัดสินชื่อ เวลา'

กษิตยังยืนยันการที่เขาไปร่วมเคลื่อนไหวกับพันธมิตรฯ เป็นสิ่งถูกต้อง เขากล่าวว่า "พันธมิตรฯ ได้ทำผิดอะไรเหรอครับ หมายความว่าไม่ได้เป็นองค์การโจรหรืออะไรทำนองนั้น แต่เป็นการแสดงออกซึ่งการเป็นประชาธิปไตย เพราะเป็นประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งมีแม่บ้านถึงหกสิบ-เจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ ที่ออกมาเรียกร้องความยุติธรรม เรียกร้องธรรมาภิบาลในสังคม ต่อต้านคอรัปชั่น" ... "ผมคิดว่าการที่จะไปข้องแวะกับพันธมิตรฯ ไม่ใช่เป็นเรื่องบาป"

ทั้งหมดนี้คงหนีไม่พ้นที่จะให้ กาลเวลา' เป็นผู้ตัดสิน

และนี่เป็นส่วนหนึ่งของบทบันทึกเพื่อรอการตัดสินนั้น โดยเป็นบันทึกการปราศรัยของ กษิต ภิรมย์' ถึง ฮุน เซน' เป็นการปราศรัยต่อผู้ชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่เวทีทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 15 ต.ค. และ 27 ต.ค. 2551 โปรดอ่านเพื่อให้เห็น วิสัยทัศน์' และนโยบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ท่าที' ต่อประเทศเพื่อนบ้านของรัฐมนตรี กษิต ภิรมย์' ผู้นี้ ซึ่ง อภิสิทธิ์' แสดงความ ตาถึง' รับมานั่งแท่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และลืมมาตรฐานที่ตนตั้งไว้เสียสิ้น เพื่ออุ้ม กษิต' ทำงานต่อ...

 

000

 

(1)

15 ตุลาคม 2551
กษิต ภิรมย์
ปราศรัยที่เวทีพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล
(ที่มา
: mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_151008_H.wmv)

 

"อดคิดไม่ได้ว่า ความผิดพลาดของผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายการเมือง หรือนายพล ผลกระทบก็คือศักดิ์ศรีของประเทศไทยที่ปล่อยให้ฮุน เซน เด็กเมื่อวานซืน นักเลงข้างรั้วประเทศไทย สามารถที่จะมายื่นคำขาดให้กับประเทศไทยได้ ต้องถามว่ามึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน"

 

สวัสดีครับท่านด็อกเตอร์นักรบกู้ชาติทั้งหลาย

วันนี้ไม่พูดเรื่องเขมรคงจะเชยมากๆ และเป็นการที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ก่อนอื่นขอต่างจากคุณวีระ (นายวีระ สมความคิด) ก็ขอชมกองทัพบกเมื่อวานนี้ ที่ได้มีการประชุมกันและประกาศอย่างแน่ชัดให้พวกเราสบายใจว่า ยึดมั่นใจพื้นที่ของแผ่นดินไทย ไม่ถอย และพร้อมที่จะปกป้องแผ่นดินไทย และ ณ วันนี้ กองทัพภาคที่ 2 ก็ได้แสดงฝีมือให้เห็นว่าปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างแน่นอน ขอให้ช่วยกันปรบมือให้กับกองทัพสักนิดหนึ่ง

แต่อดคิดไม่ได้ว่า ความผิดพลาดของผู้หลักผู้ใหญ่ฝ่ายการเมือง หรือนายพล ผลกระทบก็คือศักดิ์ศรีของประเทศไทยที่ปล่อยให้ฮุน เซน เด็กเมื่อวานซืน นักเลงข้างรั้วประเทศไทย สามารถที่จะมายื่นคำขาดให้กับประเทศไทยได้ ต้องถามว่ามึงเป็นใคร ไอ้ฮุน เซน

แล้วก็ ผลอีกอันหนึ่งก็คือว่า จะเป็นตำรวจที่หน้ารัฐสภาก็ดี แล้วจะเป็นที่ชายแดนไทยกับกัมพูชาก็ดี หรือประชาชนโดยทั่วๆ ไป เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ตัดสินใจที่ผิดแล้ว ชั้นผู้น้อย คนยากคนจน คนเดินบนท้องถนน ข้าราชการตำรวจทหารชั้นผู้น้อยเท่านั้นที่จะเป็นคนที่สูญเสียชีวิต นี่ก็เป็นอุทาหรณ์เพื่อให้นักการเมืองที่มีอำนาจทำอะไรไปคิดแต่ประโยชน์ส่วนตัว ความยิ่งใหญ่ ความโลภของตัวเอง และไม่ได้คิดถึงชั้นผู้น้อย ข้าราชการชั้นผู้น้อยที่น่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้นก็มีจำเป็นที่จะต้องมีสังคมใหม่ที่มันโปร่งใส เราจะไม่มีนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี หรือแม่ทัพนายกอง ไปทำอะไร ไปตกลงกับต่างประเทศ แล้วก็ผลก็ออกมาเหมือนกับว่าเราได้ขายดินแดน ได้ขายประเทศชาติ

นี่เป็นสิ่งที่เราจะต้องยึดมั่นและต้องต่อสู้กันต่อไปว่า ไอ้ความเฮงซวยของผู้นำประเทศที่ในอดีตที่ผ่านมาจะต้องไม่เกิดขึ้นในสังคมไทยอีกต่อไปนะครับ

ผมอยากจะมาคุยว่า แล้วทำไมฮุน เซนเขาถึงสามารถที่จะท้าทาย ก้าวร้าว และก็หยาบคาย แล้วก็หยามสังคมไทยได้ มันคงจะมี 6-7-8 เหตุผลด้วยกัน

ผมคิดว่าอันแรกเลยก็ฮุน เซนก็รบกับเรามา 20 - 30 ปี ตั้งแต่เขาเป็นเขมรแดง ตั้งแต่เขาเอาตัวเข้าไปอยู่กับเวียดนาม แล้วก็มารบราฆ่าฟันกับเรา แล้วเขาก็ไม่เป็นมิตรกับเรามาโดยตลอดเวลา อันนี้อาจจะเป็นความรู้สึกส่วนตัวที่มันฝังอยู่เลือดเขา มันก็เป็นสิ่งที่ช่วยไม่ได้เพราะเขาเกิดมาต้องรบราฆ่าฟันกับฝ่ายไทย แล้วก็ไม่รักไม่ชอบ เพราะฉะนั้นเมื่อมีเหตุผลอันหนึ่งอันใดที่สามารถจะทำอะไรให้ไทยขายหน้าได้ เขาก็จะกระทำ อาจจะเป็นเหตุผลอันหนึ่ง

ส่วนอันที่สอง อาจจะมีความบ้าๆ บอๆ เป็นขุนพลของกัมพูชาที่ไม่รู้จักคำว่าสันติภาพ ไม่รู้ว่าเจรจาคืออะไร จะต้องได้อย่างเดียวคืออยู่บนท่ามกลามความขัดแย้ง ก็อาจต้องแนะนำให้สหประชาชาติส่งหมอจิตแพทย์ไปรักษาฮุน เซน

แต่ว่าประเด็นที่สามที่มันน่าเป็นห่วงคือทำไมเขาถึงได้ทำเช่นนั้น เพราะว่าเขาอยากจะทวงสนธิสัญญา สิ่งที่ได้ตกลงกับคุณทักษิณกับคุณสมัคร คุณนพดล รวมทั้งคุณสมชายเพราะช่วงนั้นแกเป็นรองนายกรัฐมนตรีใน ครม. ด้วย รวมทั้งคุณสมพงษ์ รัฐมนตรีต่างประเทศแต่ก็อยู่ใน ครม.ชุดที่แล้ว

แล้วเมื่อเราได้ไปทำ Joint Communiqué แถลงการณ์ร่วมไปแล้วเกิดถูกบีบคั้นภายในประเทศ ก็อยากไปเลิกสัญญา ฮุน เซนก็คงเจ็บแค้นว่า เอ๊ะ ทำไมไม่ส่งมอบสิ่งที่ได้ตกลงกันไหว ไหนจะให้ดินแดนที่ติดกับปราสาทเขาพระวิหารประมาณ 4.5 ตารางกิโลเมตร แล้วไหนบอกว่าวันนี้ไม่มีพื้นที่ทับซ้อนแล้ว ทำไมถึงจะมาบอกว่าเป็นดินแดนของไทย แต่ว่าตอนพูดกับสมัครก็ดี ตอนพูดกับทักษิณก็ดี ตอนพูดกับฮุน เซนหรือสมชายก็ดีในไม่กี่เดือนนี้ ก็บอกว่าส่วนนี้เป็นพื้นที่ทับซ้อนหรืออาจเป็นของเขมร เพราะมีแผนที่แนบไปด้วยกับ Joint Communiqué เพราะฉะนั้นเขาคงจะเจ็บแค้นและคงอยากจะทวงหนี้

คราวนี้มันจะมาทวงหนี้กับประเทศไทยไม่ได้ ใช่ไหมครับ เพราะนี่มันเป็นสมบัติของไทย

แต่ว่าเราจะต้องดำเนินการอย่างไม่ลดละ กับผู้ที่ได้ขายชาตินะครับ ทักษิณและสหายแล้วก็ลูกน้องทั้งหลาย อันนี้เราต้องไม่ลืม แล้วจะต้องดำเนินการอย่างลดละ และเราต้องช่วยกันให้ความสนับสนุนกับขบวนการยุติธรรมให้เขาเร่งทำงานและทำงานด้วยดี แล้วเอาพวกขายชาติไปติดคุกติดตารางให้ได้

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งอาจจะเป็นเหตุผลข้อที่ 5 ว่าทำไมฮุน เซนถึงเป็นอย่างนี้ อันนี้ไม่อยากจะคิดร้ายนะฮะ แต่ก็เป็นข้อคิดอีกอันหนึ่งว่า เขาก็เป็นลูกน้องของเวียดนาม พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม และอาจจะได้มีลูกพี่บอกว่าให้มีเรื่องยุ่งกับประเทศไทยไปเรื่อยๆ เงินลงทุนของต่างประเทศจะได้ไหลมาเทมาไปลงที่เวียดนาม แล้วก็ไม่ได้ลงที่ประเทศไทย ก็อาจจะเป็นสาเหตุอันหนึ่ง อันนี้อาจจะคิดไม่ดีกับเวียดนาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าอันนี้อาจจะเป็นหนึ่งในห้าหกประเด็นว่าทำไม ณ วันนี้ ฮุน เซนถึงเป็นอย่างนี้

อย่างไรก็ตาม วันนี้กองทัพภาคที่สองได้พิสูจน์ฝีมือแล้วว่า อธิปไตยของไทยนั้นเข้ามาไม่ได้ แล้วพื้นที่ 4.5 ตารางกิโลเมตร ทางด้านตะวันออกของปราสาทพระวิหารนั้นเป็นของประเทศไทยร้อยเปอร์เซ็นต์นะครับ

คราวนี้ทางออกจะทำอย่างไร มันไม่ใช่ว่าจะมีแค่ทางตัน ถ้าเผื่อฮุน เซนยังมีสติ และคุณสมชายมีความกล้าหาญ มันก็สามารถที่จะโทรศัพท์กันได้ที่เรียกว่า Hot Line ก็บอกว่าวันนี้ก็รบกันไปแล้ว บาดเจ็บกันไปแล้ว เลิกรากันซะน่ะ มาเจรจากันดีกว่า อันนี้ก็สามารถกระทำได้นะครับ เราก็มีสนธิสัญญาปี 2447 ร้อยกว่าปีมาแล้ว เรามีข้อตกลงบันทึกช่วยจำสมัยรัฐบาลชวนเมื่อปี 2543 มีการจัดตั้งคณะกรรมาธิการชายแดนร่วม มีกลไกต่างๆ นอกจากนั้นแล้ว ในยุคสมัยนี้เทคโนโลยีนี้มันก็มีมากมาย เราสามารถที่จะทำแผนที่โดยมีดาวเทียม กล้องที่อยู่ที่ดาวเทียมในอวกาศนั้นสามารถเป็นเครื่องมืออย่างดีในการเจรจาแล้วก็ปักปันเขตแดนได้ ถ้าเผื่อฮุน เซน และนายกฯ ของเราไม่หงอ มันก็เจรจากันที่โต๊ะเจรจาได้ มีทั้งตัวบทกฎหมาย มีทั้งเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แล้วมีคนที่มีสติปัญญาทั้งฝ่าย เพราะฉะนั้นสันติภาพมันกลับมาได้ แต่สันติภาพอันนี้จะกลับมาได้หมายความผู้นำทั้งสองประเทศต้องทำงานเพื่อประเทศชาติ เพื่อคนไทยเพื่อคนกัมพูชา แต่ไม่ใช่ว่าเป็นการฮั้วกันระหว่างสองตระกูลของทั้งสองประเทศ เพื่อจะรับประทานไทยกับกัมพูชาเสมือนว่าเป็นอาหารส่วนตัว

 

000

 

(2)

27 ตุลาคม 2551
กษิต ภิรมย์
ปราศรัยที่เวทีพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย ในทำเนียบรัฐบาล,
(ที่มา: mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_271008_H.wmv)

 

"ผมเดาเอาว่าทางฝ่ายกระบวนการทักษิณมีแผนการที่จะมอบ 4.5 ตารางกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหารให้ไปกับทางฮุน เซนประมาณ 2,000 กว่าไร่ แลกกับสัมปทานที่ให้กับขบวนการทักษิณที่เกาะกง แลกกับโอกาสในการสำรวจทางทะเลสำหรับแก๊สกับน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน

แต่ฮุน เซนก็ไม่หยั่งรู้ซึ่งพันธมิตรฯ ที่นั่งอยู่ที่นี่ว่า กูไม่ให้มึงทั้ง 4.5 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่ในทะเลก็ไม่ให้เหมือนกัน ส่วนเรื่องเอ็งเสียรู้ทักษิณ เรื่องให้สัมปทานเกาะกงก็เรื่องของมึง"

 

สวัสดีครับ ท่านนิสิตนักศึกษา นักรบแห่งประเทศไทย มี 2-3 เรื่องวันนี้ มีเวลาสิบกว่านาที

เรื่องแรกขอคุยเรื่องเขมร ฮุน เซน เพื่อนรักของเราสักนิดหนึ่งนะครับ ว่าเขาได้เพียรพยายามจะเอาเรื่องปราสาทพระวิหารไปสหประชาชาติ ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็มาขู่เราว่าจะไปศาลโลก ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็บอกว่าจะเอาเรื่องนี้ไปแฉในวงการอาเซียน ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เขาก็เคลื่อนทัพมายิงกับเราไป 1 วัน ก็ทำอะไรเราไม่ได้ นะครับ

เขาก็พยายามตอแยเราไปเรื่อยๆ แต่เขารู้แล้วว่าเขาถึงทางตันแล้ว เพราะว่า ประชาคมโลกไม่เล่นกับฮุน เซน ประชาคมอาเซียนไม่เล่นกับฮุน เซน เขาค่อนข้างจะ ภาษาอังกฤษต้องใช้คำว่า frustrated อึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ต้องพยายามทำอะไรก็ได้ เพื่อหยามไทย หยามรัฐบาลนี้ บีบไปเรื่อยๆ ถ่มน้ำลายรดเข้ามาทุกวันๆ

ทำไมเขาต้องการทำเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาคงจะเริ่มคิดแล้วว่าเขาถูกทักษิณหลอก ถูกสมัคร ถูกนพดล ถูกสมชายหลอก

หลอกในเรื่องอะไรครับ ผมเดาเอาว่าทางฝ่ายกระบวนการทักษิณมีแผนการที่จะมอบ 4.5 ตารางกิโลเมตรทางด้านตะวันตกของปราสาทพระวิหารให้ไปกับทางฮุน เซนประมาณ 2,000 กว่าไร่ แลกกับสัมปทานที่ให้กับขบวนการทักษิณที่เกาะกง แลกกับโอกาสในการสำรวจทางทะเลสำหรับแก๊สกับน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อน

แต่ฮุน เซนก็ไม่หยั่งรู้ซึ่งพันธมิตรฯ ที่นั่งอยู่ที่นี่ว่า กูไม่ให้มึงทั้ง 4.5 ตารางกิโลเมตรและพื้นที่ในทะเลก็ไม่ให้เหมือนกัน ส่วนเรื่องเอ็งเสียรู้ทักษิณ เรื่องให้สัมปทานเกาะกงก็เรื่องของมึง ขอพูดคำหยาบนิดหนึ่ง

คราวนี้เขาก็โกรธมาก เขาก็พยายามที่จะบีบรัฐบาลสมชายไปเรื่อยๆ หาเรื่องมาต่างๆ เหล่านี้ พบกับคุณสมพงษ์ (อมรวิวัฒน์) รัฐมนตรีต่างประเทศ แป๊บเดียวก็เคลื่อนทัพมายิงกันตูมตาม เพิ่งพบกับคุณสมชายที่ปักกิ่งช่วงประชุมอาเซียน กลับมาปั๊บก็ฟ้องแล้วว่าทหารไทยใช้ระเบิดไปยิงโบราณสถาน วัตถุโบราณ ทำอย่างนี้คือแสดงออกซึ่งความอึดอัดใจว่าได้เสียรู้ทักษิณไปเสียแล้วโดยปริยาย ทั้งๆ ที่ทักษิณไม่อยากจะหลอกอะไรหรอก แต่ทักษิณคิดว่าอำนาจของตัวเอง สามารถจะสั่งสมัคร จะสั่งนพดล สั่งสมชายได้ และคิดว่าคนไทยทั้งประเทศมันแสนจะโง่ พูดอะไรมาก็เชื่อทั้งนั้น

แต่ว่าได้เจอของจริงคือพันธมิตรฯ เจอของจริงที่ยังมีนายทหารรักชาติ ยังมีคนที่สุรินทร์ ศรีษะเกษยังรักชาติและหวงดินแดนอยู่ และที่สำคัญที่สุดคือศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญของเรา ยังสถิตไว้ซึ่งความยุติธรรมและศักดิศรีของความเป็นนักกฎหมายที่ดีครับ

เพราะฉะนั้นระหว่างคุณทักษิณกับฮุน เซน ก็นั่งกันหน้าแห้งต่อไป ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะหาทางออกไม่ได้ เอ็งไม่มีทางได้ที่ดิน 2,000 กว่าไล่รอบๆ ปราสาทพระวิหารในชาตินี้และในชาติหน้า

เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะต้องช่วยกันบ่งบอกก็คือว่า คุณสมชายอย่าได้ขยับอะไรในเรื่องปราสาทพระวิหารอีกเป็นอันขาด สิ่งเดียวที่คุณจะทำได้คือให้คณะกรรมาธิการร่วมชายแดนไทย-กัมพูชา เจรจากันไปเรื่อยๆ เสร็จเมื่อไหร่แล้วมาพูดกันในเรื่องปราสาทพระวิหาร หลังจากที่ปักปันเขตแดนกันเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องไปเต้นแร้งเต้นกากับฮุน เซน ไม่ต้องแคร์ว่ายูเนสโกจะว่าอย่างไร คณะกรรมการมรดกโลกเป็นอย่างไร แผ่นดินของไทย ข้าพเจ้าขอนั่งทับไว้อย่างนี้ ใครจะทำอะไร แม้กระทั่งสหประชาชาติก็ทำอะไรเราไม่ได้

เรื่องที่สอง ก็ขอพูดเรื่องผมกับคุณทักษิณ สักนิดหนึ่ง ก็รู้จักกันมาตั้งแต่ปี 2537 ผมเคยไปช่วยงานทั้งที่พลังประชาชน ไทยรักไทย เคยไปเป็นที่ปรึกษาในช่วงปี 2544 ที่ทำเนียบ ยืมตัวจากกระทรวงต่างประเทศไปนั่งอยู่ที่ทำเนียบทำงานกับคุณทักษิณเป็นปีแรก แล้วก็ได้เห็นอะไรต่างๆ เหล่านี้

ผมก็นั่งคิดตลอดเวลา เพราะว่าได้เริ่มต้นก็เหมือนพวกเราทั่วๆ ไปว่าชื่นชมคุณทักษิณที่ได้ประสบความสำเร็จอย่างสูงในเรื่องธุรกิจ มาเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ มาเป็นหัวหน้าพรรคพลังธรรม ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย แล้วก็มาเป็นนายกรัฐมนตรีที่สุด ผมคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเข้าไปแทรกแซงระบบราชการ ทำไมเข้าไปยุ่งกับกระบวนการศาล อะไรต่างๆ นานาเหล่านี้ แล้วทำไมมันดูไม่ชอบมาพากล ผมนั่งครุ่นคิดอยู่เป็นปีที่กรุงโตเกียว

จนกระทั่งปลายปี 2546 มันก็เกิดความใสสว่างขึ้นมาในสมอง ในจิตสำนึกว่า ที่คุณทักษิณเป็นอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว เป็นอภิมหาเศรษฐีระดับโลกแล้ว เหตุที่เขายังเป็นอย่างนี้อยู่ เพราะเขาอยากจะเป็นจักรพรรดิแห่งประเทศไทย

และเมื่อปลายปี 2546 ผมถึงได้พูดกับตัวเองและได้ปวารณาตัวว่า กูจะต้องล้มมึงให้ได้ไอ้ทักษิณ ขอพูดคำหยาบนะฮะ

ทั้งๆ ที่ผมยังเป็นเอกอัครราชทูต ยังเป็นข้าราชการประจำ ผมก็เหมือนกับมนุษย์ที่มีสองภาค งานหนึ่งต้องทำไปในฐานะข้าราชการประจำ รัฐบาลมีนโยบายเรื่อง เอฟทีเอ โอท็อป อะไรต่างๆ ก็ดำเนินการอย่างเต็มที่ แต่ในใจครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่าเรามีมารร้ายเป็นนายกรัฐมนตรี เขาต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย เพื่อให้เขาเป็นผู้นำแต่คนเดียว

เพราะฉะนั้นความคิดของผมว่า คุณทักษิณหรือขบวนการทักษิณนี้พร้อมที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์หรือศาสนานี้ ไม่มีความสงสัยในตัวผมตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้วนะครับ

เพราะฉะนั้น จึงจะได้อธิบายว่าอยู่ดีๆ ผมเป็นข้าราชการอะไรต่างๆ ทำไมถึงมาเข้าร่วมกับพันธมิตรฯ ทำไมไปเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่แรกเลย ก็ด้วยความมุ่งมั่นอันนี้ว่าหนึ่งเข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองที่จะสู้กับทักษิณในระบอบรัฐสภา มาอยู่เวทีพันธมิตรเพื่อจะได้ร่วมทำงานกับทางภาคประชาสังคมและประชาชน แล้วชนกับแม่งมึงให้ได้ ขอหยาบอีกคำนะฮะ

แต่ในช่วงปลายปี 2546 หรือ 2547 ผมจะไปเล่าให้ชาวบ้านฟังว่าทักษิณต้องการล้มทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทยนี้ เขาคงคิดว่าผมบ้า เพราะฉะนั้นคนที่เห็นผมไม่ค่อยจะบ้า คือภรรยาผม ลูกสาวผม และพี่น้องของผมที่ได้เล่าให้ฟังมาตั้งแต่ต้น แต่วันนี้และในช่วงหลายสัปดาห์หลายเดือนที่ผ่านมา มันได้พิสูจน์เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า สิ่งที่ผมได้ตัดสินใจไปแล้วว่าผมต้องต่อสู้กับทักษิณ มันเป็นจริง เพราะเขาต้องการจะล้มทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย

แล้วผมก็แน่ใจ ญาติพี่น้อง นิสิตนักศึกษาที่นั่งที่นี่ ณ บัดนี้เรามีความมั่นใจ 1,000% ว่าทักษิณต้องการจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในสังคมไทย แล้วมันก็ไม่ใช่แค่ทักษิณเท่านั้น ลิ่วล้อ ไอ้เวรตะไลทั้งหลายของเขา รวมทั้งอดีต พล.ต.อ. ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติล่าสุดด้วยนะครับ

เพราะฉะนั้นวันนี้ในสังคมไทย ที่จะเป็นท่านจำลองก็ดี คุณสนธิ คุณพิภพเลยก็พูดว่า มันเป็นสีขาว สีดำ มันจะเอาแดงเผด็จการ หรือมันจะเอาสีเหลืองแห่งธรรมะ ศีลธรรม เป็นที่ตั้ง มันก็มีทางเลือกกันแค่นี้ว่ามันไม่มีตรงกลาง ไม่มีความสมานฉันท์ มันเป็นเรื่องแพ้ชนะ ข้าอยู่ เอ็งต้องไป เท่านั้นเอง ไม่ใช่เอ็งอยู่แล้วข้าไป ไม่มีครับ มีแต่ ข้าอยู่และเอ็งไป เท่านั้น ทั้งขบวนการทักษิณ คุณทักษิณ และลิ่วล้อ สงครามเปิดขึ้นแล้วและในวงกว้าง

ประเด็นที่จะถามคือว่า ท่านแม่ทัพ นายกอง ท่านปลัดกระทวง ท่านเลขาธิการ ท่านผู้อำนวยการ ท่านซีอีโอ เจ้าของบริษัท ท่านคิดอย่างไร ท่านไม่ต้องคิดมากหรอกครับ

ท่านต้องการให้สังคมไทยมีระบอบประชาธิปไตย มีรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์ มีประชาชนที่จะสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร มีประชาชนที่จะเป็นเจ้าของอำนาจ ที่สามารถร่วมในกระบวนการตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเอง ของสังคมไทย หรืออยากจะมีท่านจักรพรรดิฮิตเลอร์ทักษิณ เรื่องมันมีแค่นี้เองนะครับ

และมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะวิงวอนกับเพื่อนสื่อมวลชนทั้งหลาย พวกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ทุกๆ ฉบับ เจ้าของหนังสือพิมพ์ทุกๆ ฉบับว่า ถ้าเผื่อระบอบทักษิณ 2 กลับมาสู่ประเทศไทย ท่านทั้งหลายไม่มีสิทธิ เสรีภาพใดๆ จะเหลือเลย ท่านจะไม่ได้อ้าปาก ท่านจะไม่ได้มีแม้กระทั่งที่จะคิดได้ เพราะระบอบทักษิณสองไม่ยอมให้ท่านมีความคิด มีสิทธิเสรีภาพใดๆ เลยทั้งสิ้นนะครับ

ส่วนอีกประเด็นหนึ่ง ก็ต้องวิ่งวอนญาติพี่น้องที่เป็นเกษตรกรเป็นกระดูกสันหลังของชาติ ในระบอบทักษิณถ้าเผื่อเขาจะกลับมาอีก เขาจะไม่ให้ท่านทั้งหลายมีที่ทำกินของตนเอง เขาจะแปลงสภาพเกษตรกรของเราให้เป็นแรงงานเกษตรกร 8 โมงเช้า หรือ 6 โมงเช้าเอ็งไปไถนา ตอนเย็นเอ็งกลับมาข้ามีข้าวให้กิน แต่อย่าได้คิดว่าจะเป็นเจ้าของที่ดิน กำหนดชีวิตตัวเอง ไม่มีทางครับในระบอบทักษิณ

ผมพูดอันนี้ ไม่ใช่มาพูดเล่น เพื่อมาเล่นตบมือกันสนุกสนาน อันนี้พูดมาจากที่ได้วิเคราะห์ไตร่ตรองมาเป็นเวลาหลายปี และได้มีข้อยุติแล้วว่าเราปล่อยให้คุณทักษิณมาเดินลอยชายอยู่ในสังคมไทยไม่ได้ เราปล่อยให้ลิ่วล้อทักษิณออกมาพูดอะไรคลุมเครือตลอดเวลาเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องร่วมกันดำเนินการ

และถ้าเผื่อนายพลก็ดี นายตำรวจก็ดี ปลัดก็ดี ซีอีโอทั้งหลาย ถ้าเผื่อพวกนี้ไม่ทำอะไรเลย เท่ากับว่าพวกท่านเหล่านั้น เห็นชอบกับระบอบฮิตเลอร์ของประเทศไทยภายใต้คนที่ชื่อทักษิณ เราจะยอมให้สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายที่อยู่อำนาจในวันนี้ โดยเฉพาะที่อยู่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปลี่ยนใจซะวันนี้ ไม่อย่างนั้นแล้วท่านเป็นศัตรูของเรา เป็นศัตรูต่อสิ่งดีงามของสังคมไทย อย่างแน่นอน อย่าได้คิดลังเล อย่าได้มาเล่นลิ้นแปรธาตุ และทำตนเลี่ยงคัมภีร์ ทำตนเป็นศรีธนญชัยแต่ปล่อยให้ระบอบทักษิณอันสามานย์สกปรกแล้วก็โหดร้ายทารุณนั้นมาทำร้ายสังคมได้แม้กระทั่งอีกนิ้วหนึ่ง

 

อ้างอิง

หนังสือพิมพ์

"จักรภพ"ปัดดึงเบื้องสูง-"มาร์ค"ส่งบทแปล (เดลินิวส์) ใน ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 16 พ.ค. 2551, ประชาไท, 16 พ.ค. 2551 http://www.prachatai.com/05web/th/home/12170

"อภิสิทธิ์"แถลงโต้กรณี"จักรภพ", ข่าวสดรายวัน, 28 พ.ค. 51, หน้า 6
http://www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROd2Iyd3dNVEk0TURVMU1RPT0

"กษิต" ว่าที่ รมว.ต่างประเทศ ชี้ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ผิดตรงไหน ย้ำเป็นข้าราชการ 37 ปี ไม่มีด่างพร้อย, ประชาไท, 20 ธ.ค. 51 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14928

กษิต ภิรมย์: ยึดสนามบินสนุก อาหารดี ดนตรีไพเราะ, ประชาไท, 23 ธ.ค. 51 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14969

"สุเทพ"ปัด ตอบแทนตำแหน่งที่ปรึกษา เลขาฯ รมต. ให้ พธม. ลั่น หาก "กษิต" ผิดจริง จะปลดด้วยตัวเอง, แนวหน้า, 13 ม.ค. 2552, http://www.naewna.com/news.asp?ID=142888

มาร์ค' ป้อง กษิต' ยันไม่ปลดจากเก้าอี้บัวแก้ว, ประชาไท, 25 ม.ค. 52 http://www.prachatai.com/05web/th/home/14985

"กษิต" เปลี่ยนไป๋ ยกย่องสมเด็จฮุน เซน จาก "กุ๊ย" กลายเป็น "ผู้หลักผู้ใหญ่", ประชาไท, 26 ม.ค. 52 http://www.prachatai.com/05web/th/home/15351

"พิภพ"ชม "มาร์ค"กล้าหาญตั้ง"กษิต"-แนะเพิ่มความกล้าจัดการกลุ่มเนวิน, ASTVผู้จัดการออนไลน์, 31 ม.ค. 52 http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9520000011519

 

มัลติมีเดีย

คลิปกษิต ภิรมย์ รายการคมชัดลึก เนชั่นชาแนล, 14 ต.ค. 51 http://www.youtube.com/watch?v=_UCi-mgmIDs

กษิต ภิรมย์ปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 15 ต.ค. 51, ASTVผู้จัดการออนไลน์ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_151008_H.wmv

กษิต ภิรมย์ปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อ 27 ต.ค. 51, ASTVผู้จัดการออนไลน์ mms://tv.manager.co.th/videoclip/11News1/Footage/Kasit_271008_H.wmv

Pages

Subscribe to RSS - บล็อกของ headline