โดย ทีมข่าวการเมือง
000
“ติดใจทฤษฎีแมลงสาบ กลัวว่าพรรคคู่แข่งจะว่า แต่ดูแล้วตอนนี้รัฐบาลชุดนี้ทำตัวเหมือนแมลงสาบเหมือนกัน ในแง่ชอบความสกปรก ความมืด ที่สำคัญคือขยายตัวได้เร็วมาก ปีกว่าๆ ก็แพร่พันธุ์ได้มากมาย ตนคิดว่าหลักการปฏิรูปที่แท้จริงคือทุกคนต้องเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ หากนักการเมืองคิดถึงแต่อำนาจก็ไม่มีทางปฏิรูปได้สำเร็จ เพราะการปฏิรูปต้องผ่องถ่ายอำนาจ ไม่ใช่ใช้อำนาจได้ตามใจและกลัวว่าจะมีการตรวจสอบได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด”
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
7 เมษายน 2545
000
“เราได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ให้ถือกระป๋องไบกอนเขียวปราบแมลงสาบที่ชอบทำอะไรในมุมมืด ให้แตกออกจากรัง ประชาชนจะได้เห็นว่าทุกมุมมืดมีสิ่งที่ไม่ดี รัฐบาลได้เข้าไปรื้อเพื่อสกัดไม่ให้สัตว์พวกนี้มาเกาะกินประเทศ ในทางกลับกันแมลงสาบเท่านั้นถึงจะเข้าใจพวกสัตว์ ที่เป็นแมลงสาบด้วยกันดี และรู้ว่ามีพฤติกรรมอย่างไรและชอบอยู่แบบไหน ฝ่ายค้านในปัจจุบันเหมือนแมลงสาบที่กำลังแตกรัง เนื่องจากถูกไล่ฆ่า จะเห็นได้ว่าข้อวิจารณ์ต่างๆ ไม่มีข้อเสนอแนะ หรือนโยบายใหม่ๆ ให้ประชาชน”
สุรนันท์ เวชชาชีวะ, โฆษกพรรคไทยรักไทย
8 เมษายน 2545
(ภาพซ้าย) ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน (คนซ้าย) ร่วมกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และทีมงานพรรคฯหาเสียงเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2550 ณ สวนเบญจสิริ กรุงเทพฯ ที่มา: http://www.drkanok.net (ภาพขวา) นายสุรนันท์ เวชชาชีวะ อดีตโฆษกพรรคไทยรักไทย ที่มา: วิกิพีเดีย
ฉายา “พรรคแมลงสาบ” เป็นฉายาที่มีตำนานและไม่ได้ถูกจับจองไว้ใช้กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น หากแต่มันเคยเป็นวิวาทะที่แลกเปลี่ยนกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมันระหว่างประชาธิปัตย์และไทยรักไทยด้วยการมุ่งเน้นไปที่ ‘คุณลักษณะ’ ที่แตกต่างกัน
แน่นอนว่าในสภาวะหนึ่ง การใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะหนึ่งย่อมได้ผลกว่าอีกคุณลักษณะหนึ่ง และวิวาทะว่าด้วยสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ ที่สามารถสืบต่อเผ่าพันธุ์มาได้ยืนยาวกว่าไดโนเสาร์ ก็สามารถเป็นเงาสะท้อนของการเมืองไทยในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่นกัน
000
1.ประชุมสามัญ ‘ประชาธิปัตย์’ ฉะ ‘ไทยรักไทย’ ยับ
วันที่ 7 เมษายน 2545 เวลา 09.30 น. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์
มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2544 ของพรรคประชาธิปัตย์ มีนายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นเป็นประธาน โดยมีแกนนำพรรค ส.ส. ประธานสาขา กรรมการบริหารสาขาและสมาชิกพรรคทั่วประเทศ กว่า 1,000 คนเข้าประชุมอย่างพร้อมเพรียงกัน
‘เทพเทือก’ หรือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองหัวหน้าพรรค ในฐานะประธานในการจัดงาน กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงานว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองของประชาชนจึงให้ความสำคัญกับสาขาเท่าเทียมกับส.ส.และกรรมการบริหารพรรคและจะมีการรายงานถึงผลปฏิบัติงานครบรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ฐานะทางการเมือง งบดุลของพรรค รวมทั้งเรื่องสำคัญที่ต้องหารือกันคือการแก้ไขข้อบังคับพรรคให้เป็นไปตามแนวทางการปรับปรุงโครงสร้างพรรคที่กำหนดใหม่ เพื่อความมั่นคงมีประสิทธิภาพและสอดรับกับภารกิจทั้งปัจจุบันและอนาคต
‘เทพเทือก’ เย้ยถ้าใช้วิธีหาสมาชิกแบบเหมาเข่งไม่กี่เดือนก็ได้ 20 ล้านคน
นายสุเทพ กล่าวต่อว่า โครงสร้างพรรคที่ได้กำหนดใหม่นี้จะเน้นการทำหน้าที่ของพรรคในฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ยืนหยัดต่อสู้เคียงข้างประชาชนมายาวนานถึง 50 กว่าปีแล้วและจะต้องก้าวต่อไปเพื่อความมั่นคงและมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้โครงสร้างและองค์กรต่างๆ ของพรรค จะต้องสอดรับกับภารกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคตมีรูปแบบการบริหารที่ทันสมัย เปิดกว้างกับประชาชนทุกระดับ ทุกเพศ ทุกวัย ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานของพรรคได้ จากนั้นเป็นพิธีมอบรางวัลสาขาพรรคดีเด่นประจำปี 2544 จากสาขาพรรคทั่วประเทศ 183 สาขา มีสาขาที่มีผลงานดีเด่น 47 สาขา
นอกจากการกล่าวรายงานของเขาแล้ว สุเทพก็ไม่ลืมที่จะเปรียบเทียบจำนวนสมาชิกของพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคคู่แข่งคือพรรคไทยรักไทยที่มีสมาชิกขึ้นหลักสิบล้านคนทั้งๆ ที่ตั้งมาไม่กี่ปี โดยสุเทพ เทือกสุบรรณบอกว่าที่สมาชิกประชาธิปัตย์น้อยเพราะไม่ได้เอาใครที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มาสมัคร ถ้าใช้วิธีสมัครแบบเหมาเข่งไม่กี่เดือนก็หาได้เป็น 20 ล้านคนก็ทำได้
ขณะนี้พรรคมีสมาชิกทั้งหมด 3.7 ล้านคน ทั้งที่ก่อตั้งมา 56 ปี แต่มีสมาชิกเพียงแค่นี้เพราะกระบวนการรับสมัครสมาชิกไม่เหมือนกับพรรคอื่นผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะต้องสมาชิกสามัญรับรอง 2 คน และมีการถ่ายรูปทำบัตร ฉะนั้นคนที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคไม่ใช่ใครก็ได้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องเป็นคนที่ตั้งใจมาสมัครจริงๆ บางพรรคเขาไม่ได้หาสมาชิกแบบเราเขาใช้วิธีไม่ต้องยื่นใบสมัครเพียงเอาทะเบียนบ้านมาไม่ต้องมีรูปถ่ายมีแต่รูปถ่ายหัวหน้าพรรคเท่านั้นผู้ที่เป็นสมาชิกไม่ต้องแสดงเจตจำนงและไม่รู้ตัวด้วยทั้งนี้มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาร้องเรียนว่าอยู่ดีทำไมเขาไปเป็นสมาชิกของพรรคอื่นเหตุผลก็คือพรรคเหล่านั้นใช้วิธีเหมาเข่งซึ่งหากจะทำเช่นนี้จะหาเท่าไรเราก็ทำได้ถ้าทำอย่างนี้จะหาสมาชิกสัก 20 ล้านในช่วงระยะไม่กี่เดือนเราก็ทำได้
ชวนกรีดด้วย พรรคตรงข้ามหาสมาชิกเหมาเข่งเบียดเบียนเงิน กกต.
นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคฯ ได้กล่าวปราศรัยกับสมาชิกพรรคซึ่งมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 โดยนายชวนได้ชี้แจงถึงอาการผ่าตัดลิ้นหัวใจรั่วที่ผ่านมาและไม่ต้องเป็นห่วงและการประชุมใหญ่สามัญประจำครั้งนี้เพื่อเป็นประโยชน์ของพรรคให้สอดรับกับภารกิจไม่ว่าฝ่ายค้านและรัฐบาลในวันข้างหน้าการที่ปรับตัวตลอดเวลา ให้เป็นไปตามกระแสและทันเหตุการณ์โลก พรรคจึงยืนหยัดมาได้ถึง 56 ปี ฉะนั้นจึงหวังว่าการแก้ไขปรับปรุงโครงสร้างและข้อบังคับพรรคจะเป็นประโยชน์ในอนาคต โดยเฉพาะคณะกรรมการบริหารพรรค เพราะกรรมการชุดเก่ายังอยู่อีก 1 ปี ซึ่งตนก็เป็นหัวหน้าพรรคอีก 1 ปี ถ้าไม่ออกเสียก่อน เพราะวาระหัวหน้าพรรคคือ 4 ปี ซึ่งจะครบวาระในปี 2546
นายชวน กล่าวต่อว่า ตนคิดว่าทุกคนยินดีที่เรามีการเพิ่มทั้งด้านปริมาณและคุณภาพในพรรคขณะนี้พรรคมีสมาชิกทั้งหมด 3.7 ล้านคน ทั้งที่ก่อตั้งมา 56 ปี แต่มีสมาชิกเพียงแค่นี้เพราะกระบวนการรับสมัครสมาชิกไม่เหมือนกับพรรคอื่นผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะต้องสมาชิกสามัญรับรอง 2 คน และมีการถ่ายรูปทำบัตร ฉะนั้นคนที่จะมาเป็นสมาชิกพรรคไม่ใช่ใครก็ได้ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ต้องเป็นคนที่ตั้งใจมาสมัครจริงๆ บางพรรคเขาไม่ได้หาสมาชิกแบบเราเขาใช้วิธีไม่ต้องยื่นใบสมัครเพียงเอาทะเบียนบ้านมาไม่ต้องมีรูปถ่ายมีแต่รูปถ่ายหัวหน้าพรรคเท่านั้นผู้ที่เป็นสมาชิกไม่ต้องแสดงเจตจำนงและไม่รู้ตัวด้วยทั้งนี้มีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์มาร้องเรียนว่าอยู่ดีทำไมเขาไปเป็นสมาชิกของพรรคอื่นเหตุผลก็คือพรรคเหล่านั้นใช้วิธีเหมาเข่งซึ่งหากจะทำเช่นนี้จะหาเท่าไรเราก็ทำได้ถ้าทำอย่างนี้จะหาสมาชิกสัก 20 ล้านในช่วงระยะไม่กี่เดือนเราก็ทำได้ แต่ถือว่าไม่ถูกต้องเพราะในที่สุดก็จะกลายเป็นสมาชิกซ้ำซ้อนกับพรรคอื่นบางคนตายไปนานแล้วยังปรากฏชื่ออยู่วิธีการนี้นอกจากจะไม่ถูกต้องแล้วยังเป็นการเบียดเบียนเงินสนับสนุนจาก กกต. อีกด้วย
นายชวน ยังกล่าวว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากมายพรรคการเมืองในสภาเมื่อครั้งมีการเลือกตั้งใหม่มีถึง 9 พรรค แต่ก็ยุบไปรวมกับพรรครัฐบาล จนเหลือ 6 พรรคแล้ว การที่พรรคการเมืองเหลือน้อยไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องดีที่พรรคการเมืองมีไม่มากเกินไปแต่ใครที่คิดว่าจะให้มีพรรคการเมืองเพียง 2 พรรค ก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเสมอไป เวลานี้ฝ่ายค้านก็เหลือเพียง 131 คนเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถที่จะอภิปรายนายกฯได้ทำได้เพียงอภิปรายรัฐมนตรีเท่านั้น จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์จะไม่อภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่จำเป็นไม่ใช่เรื่องของฤดูกาลหรือกระแส เพราะหากรัฐบาลทำดีก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจถึงจะอยู่ 3-4 ปีก็ไม่จำเป็น
เชื่ออยู่ได้ 8-12 ปี อยู่ไม่ได้ตลอด ชี้ ปชป.ทำเงินให้รัฐบาลใช้สนุกมือ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวด้วยว่า แนวทางของรัฐบาลชุดนี้วันข้างหน้าก็คงไม่อยู่ตลอด อาจจะครบ 8 ปีหรือ 12 ปี ก็อาจจะพ้นไปไม่ได้อยู่ตลอด วันหนึ่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ต้องกลับเข้ามาซึ่งเราก็ต้องเตรียมตัวไว้ เราจึงต้องติดตามการทำงานของรัฐบาลและไม่ประสงค์ให้รัฐบาลพ้นไปในระยะเวลาสั้นๆ เพราะมันจะไม่พิสูจน์อะไรถ้าจบลงไปในเวลาอันสั้น แต่ต้องพิสูจน์ว่านโยบายของรัฐบาลประสบความสำเร็จหรือไม่ อย่างนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคดีจริงหรือไม่ กับแนวทางที่ประชาธิปัตย์ทำมาคือถ้าเป็นคนจนไม่เก็บเลยแม้แต่บาทเดียวแต่ถ้าเป็นคนรวยต้องจ่าย เพราะสังคมไทยต้องเกื้อกูลกัน คนมีต้องช่วยคนจนเพราะว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นรัฐบาลเศรษฐีหรือร่ำรวยอะไร แต่ถ้านโยบายดังกล่าวทำให้ 80 เปอร์เซ็นต์ที่ทำมาไว้ดีแล้วเสียหายก็ต้องทบทวนและอย่าทำให้ประสิทธิภาพการแพทย์ไทยที่ดีอยู่นั้นต้องตกต่ำไปเป็นอันขาด
นายชวน กล่าวถึงเรื่องเศรษฐกิจ ว่า พรรคคาดหวังว่ารัฐบาลชุดนี้เข้ามาเศรษฐกิจจะดีขึ้นแต่ปรากฏว่าปี 44 อัตราการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเพียงแค่ร้อยละ 1.8 ซึ่งเราก็เสียดายเพราะไม่อยากให้รัฐบาลล้มเหลว เนื่องจากเราเคยได้บทเรียนมาแล้วตอนปี 40 เพราะวันนึ่งพรรคก็ต้องเข้ามา ถ้าหากเศรษฐกิจเป็นเหมือนปี 40 ที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ออกไปแล้วเราต้องมารับวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง ชอบพูดบ่อยๆ ว่า 3 ปีที่แล้วไม่ได้ทำอะไรมา ถ้านายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และนายศุภชัย พานิชยภักดิ์ ไม่ได้ทำอะไรแล้วจะมีเงินให้ท่านใช้กันสนุกสนานอย่างนี้หรือ
เย้ย ครม.สัญจรไม่มีประโยชน์ มีการดักฟังหมาคุยกัน
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง ครม.สัญจร ว่า ในสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลไม่มี เพราะเคยหารือกับเลขาธิการ ครม.แล้วจะสิ้นเปลืองงบประมาณมากและตนไม่เชื่อว่าการไปประชุม ครม.ในต่างจังหวัดจะรู้ปัญหาทุกปัญหาในจังหวัดนั้นจริง แต่การที่ ครม.ไปประชุมที่ภาคใต้ที่ผ่านมาได้ไปสร้างภาพที่เลวร้ายให้กับจังหวัดบริเวณนั้น และเกรงว่าจะกระทบต่อการท่องเที่ยวและชีวิตที่ดำรงอยู่ ดังนั้นต้องวิเคราะห์ปัญหาด้วยเหตุผลมิฉะนั้นจะสับสน
“ผมได้คุยกับเจ้าอาวาสวัดชลธาราสิงเห จ.นราธิวาส ท่านบอกว่าตั้งแต่ปี 2458มีผู้ใหญ่เคยเสด็จไปเยี่ยมวัดแต่ไม่เคยมีถึงขนาดไปยิงลูกดอกยาสลบหมา แต่หมาไม่ตายพอนายกฯ กลับไปหมาก็ฟื้น ถือเป็นความวิตกกังวลของเจ้าหน้าที่เกินไป แต่มีคนเตือนผมว่าไม่แน่อาจมีคนจ้างหมาให้กัดนายกฯ ก็ได้เหมือนแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ซึ่งอันนี้เราไม่ทราบต้องไปถาม พล.อ.ธรรมรักษ์ (อิศรางกูร ณ อยุธยา) เพราะไม่แน่อาจมีการดักฟังโทรศัพท์เพราะรู้ว่าหมาคุยกันว่าจะมาดักกัดนายกฯ” นายชวนกล่าวและว่า ตนไม่เชื่อว่าวใครจะจ้างคนไปเกลี่ยกล่อมให้ร้ายให้แท็กซี่เชื่อ ซึ่งคนบางกลุ่มชอบทำอย่างนั้น ทำแม้กระทั่งโทรศัพท์เข้ารายการวิทยุด่าคนอื่น ซึ่งพวกเราไม่ทำ เพราะแท็กซี่ไม่ใช่คนโง่
นายชวน กล่าวต่อว่า รัฐบาลอย่าไปประเมินว่าประชาชนไม่รู้หรือคิดว่าจะมีคนล้มรัฐบาลหรือล้มระบบรัฐสภาอย่างนั้นมันเป็นยุคเผด็จการเป็นยุคปฏิวัติ ซึ่งตนขอยืนยันว่าที่นายบัญญัติ บรรทัดฐาน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดเรื่องการปฏิวัติไม่ได้เป็นการสนับสนุนการปฏิวัติเพียงแต่วิเคราะห์ว่าการโยกย้ายข้าราชการทุกวันนี้หากเป็นสมัยก่อนก็ปฏิวัติไปแล้ว
000
2.ภาควิชาการ ปชป. สวดรัฐบาลยับ
นักวิชาการ ปชป. สวดรัฐบาลยับเยิน
มาถึงช่วงสำคัญของการกำเนิดทฤษฎี ‘พรรคแมลงสาบ’ ซึ่งมาจากการเสนอในการอภิปรายของพรรค
โดยบ่ายวันเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ได้จัดอภิปรายในหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศไทย ทำไม? ทำอย่างไร?” โดยมีวิทยากรประกอบไปด้วย ศ.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน อดีตรองปลัดทบวงมหาวิทยาลัย นายสมเกียรติ โอสถสภา ประธานบริหารสถาบันนโยบายสังคมและเศรษฐกิจ (ISEP) ผศ.พรชัย ตระกูลวรานนท์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคดำเนินการอภิปรายโดย ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์
นายสมเกียรติ โอสถสภากล่าวว่า เคยทำนายตัวเลขทางเศรษฐกิจ คือตัวเลขการส่งออกในปี 2544 จะติดลบ 5 % แต่รัฐบาลไม่ยอมรับ ซึ่งวันนี้รัฐบาลทำติดลบ 7-8 % และตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ จะอยู่ที่ 1% แต่รัฐบาลบอกว่าจะอยู่ที่ 4-5 % ซึ่งแน่นอนแล้วว่าไม่เป็นไปตามเป้า ทำได้แค่ 1.5% เท่านั้นซึ่งรัฐบาลบอกว่าหากทายผิดให้ทายใหม่ ตนไม่ทราบจะทำนายอย่างไร เพราะดูเหมือนว่าปีนี้จะติดลบมากกว่าที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าอีกตนจึงไม่แปลกใจว่าทำไมนายกรัฐมนตรีถึงปวดหู
นายสมเกียรติ กล่าวว่า เป็นห่วงว่าเศรษฐกิจในปี 2545 จะกระจุกตัวอยู่เฉพาะบางส่วนเพราะมีการเร่งใช้งบประมาณในช่วงต้นปีกว่า 4-5 แสนล้านบาท ซึ่งในช่วงปลายปีจะไม่มีแรงเพียงพอ แต่รัฐบาลมาบอกว่า รถยนต์ และวัสดุก่อสร้างดีขึ้นซึ่งเป็นเพราะมาตรการกระตุ้นของรัฐบาลในช่วงต้นปีโดยรถยนต์มีการให้วางเงินดาวน์จากเดิม 30%เป็น 15 % ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์มีนโยบายช่วยทางการเงินออกมากระตุ้น แต่จะพบว่า กำลังการผลิตปูนไม่ได้เพิ่มขึ้นแต่มีการขึ้นราคาอย่างมากมาย ซึ่งเป็นตัวเลขลวงเท่านั้นดังนั้นจะส่งผลกระทบต่อเป็นการหนี้ระยะยาวออกไปเท่านั้นไม่ได้แสดงให้เห็นถึงรายได้เพิ่มขึ้น
แฉมือถือผูกขาดแสนล้านบาทเดือน
“ปัจจุบันรายได้และทรัพย์สินดีขึ้นเฉพาะคนกลุ่มเดียวเท่านั้นคนส่วนใหญ่ไม่ได้ดีขึ้นด้วยประเทศไทยมีการผูดขาดทางธุรกิจมากมีบริษัทมือถือแห่งหนึ่งประเมินมาแล้วว่าการขยายตัวธุรกิจมือถือต่อไปจะสูงถึง 20 ล้านเครื่อง และจะทำเงินให้บริษัทถึง 1 แสนล้านบาทต่อเดือน ณ.สัดส่วน 70 % ตลาดมือถือ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขสัดส่วนที่สูงมาก ทางสหประชาชาติ สำรวจมาแล้วว่า 60% ของความมั่งคั่งอยู่ที่คนเพียง 20 ตระกูล ครอบครัว เท่านั้นเพราะฉะนั้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้อะไรหากสถาการณ์อย่างนี้ถ้าเป็นประเทศอื่น ๆ เช่นมาเลย์เซีย เขาจะแบ่งหุ้น 10-15 % ให้กับโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยากจน หรือสหกรณ์การเกษตร หมู่บ้านที่ยากจนเพื่อเป็นการกระจายรายได้หรือเป็นทางหนึ่งในการสร้างรายได้ให้กับหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ” นายสมเกียรติ กล่าว
ระบุเงินกองทุนหมู่บ้านล่องหน
นายสมเกียรติ กล่าวว่า โครงการกองทุนหมู่บ้าน ของรัฐบาล ทำไปแล้วไม่ทราบว่าคนจน 10 ล้านคนจริงๆ นั้น อยู่ที่ไหน เพราะเงินที่ให้ลงไปนั้นไปตกกับคนที่ไม่ได้จนจริงๆดังนั้น ควรจะหาโครงการเข้าไปหา 4-5 อำเภอต่อโครงการ ให้เป็นโครงการอิสระ จะดีกว่าแล้วนะเงินที่ได้จากความมั่งคั่งของคนบางกลุ่มมาช่วยเหลือโครงการเหล่านี้
"ผมคิดว่าทุกประเทศเขาทำกัน เพราะเป็นห่วงว่าเมื่อเราเริ่มเข้าสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 1-2 ขาแล้ว เราเกิดการกระจุกตัวมันเคยเกิดที่ประเทศปากีสถาน ที่มีคนจน 60-70 % มีเพียง 20 ตระกูลที่ร่ำรวยควรจะกระจายความมั่งคั่งที่เกินความจำเป็นไปช่วยเหลือคนยากจนเหมือนอย่างประเทศอื่นๆ ที่เขาทำกันถ้าเศรษฐกิจกระจุกตัวอยู่แบบนี้ ในอนาคตจะเกิดอันตรายได้ในที่สุดจะนำไปเกิดกลียุคทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคมดังนั้นเราจะทำอย่างไรให้ลดช่องว่างเหล่านี้ลงไป" นายสมเกียรติกล่าว
นายสมเกียรติ กล่าวว่า จะต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ ที่สำคัญสูงสุดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งเพื่อให้เกิดความรู้สึกมั่นใจ เพราะตรงนี้คือจุดแข็งของประเทศไทยอย่างไรก็ตามหากยังแก้ไขช่องว่างของความร่ำรวย กับความยากจนไม่ได้สุดท้ายคนก็จะถามว่า แล้วจะพวกเราไปสู้กันเพื่อใคร เพื่อคน 20 ตระกูลเหล่านี้หรือดังนั้นต้องทำให้ทุกคนรู้สึกมีโอกาสเท่ากันนอกจากนี้การคิดว่าการเมือง 2 ขั้วถือเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเพราะคนไทยไม่ควรมีขั้วใดขั้วหนึ่ง แต่เป็นขั้วเดียว เราอย่าแบ่งขั้ว อย่าให้คนว่างงานรู้สึกว่า เขาเข้าไม่ถึงวงใน จึงไม่ได้งานทำเพราะตรงนี้จะทำให้เกิดความโกลาหลได้
นายสมเกียรติ ยังเสนอให้มีการแบ่งภาคเศรษฐกิจ ออกเป็น 6 ภาค คือ การลงทุนต่างประเทศการลงทุนภาคเอกชนในประเทศ ภาครัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ ภาคชุมชนหมู่บ้านภาคเศรษฐกิจไม่เป็นทางการเช่นหาบเร่แผงลอย และ ภาคธุรกิจผิดกฎหมายซึ่งควรจะจัดความสัมพันธ์วางแผนให้ดีจะสามารถทำให้อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นได้ 1-2 %
000
3.วิวาทะ ‘แมลงสาบ’
นักวิชาการแนะประชาธิปัตย์ใช้ทฤษฎีแมลงสาบปฏิรูปการเมือง
และมาถึงช่วงสำคัญคือผู้เสนอทฤษฎี ‘แมลงสาบ’
เสนอโดย ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน อดีตรองปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ที่แนะนำให้ปรับตัวแบบ ‘แมลงสาบ’ อย่าเป็น ‘ไดโนเสาร์’ ที่รอวันสูญพันธุ์
ศ.ดร.กนก กล่าวว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมาชนะได้ด้วยการขายฝันขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งหน้าประชาชนจะดูว่าใครคนไหนที่สามารถเข้ามาแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริงโดยประชาชนจะดูว่ามีประวัติเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงด้วย อย่างไรก็ตามทรัพยากรมนุษย์จะมีความความสำคัญในการแข่งขันกับประเทศต่างๆ จึงต้องมีการพัฒนา โดยเฉพาะการปฏิรูปการศึกษาที่จะต้องเร่งทำไม่ใช่มาทะเลาะกันอยู่แบบนี้
“การปฏิรูปการเมืองควรใช้ทฤษฎีแมลงสาบ ที่วิเคราะห์มาจากพฤติกรรมของแมลงสาบ คือ ปรับตัวเองได้ดี มีเรดาห์คือหนวดในการตรวจสอบสิ่งต่างๆ มีสมอง และประสาท ไว้คอยประสานงานกับส่วนต่างๆ มีขา 6 ขาไว้เดินมีปีก 2 คู่เอาไว้บินเวลาคับขัน เวลาวิ่งจะวิ่งเร็วแต่วิ่งระยะสั้นๆ วิ่งไปแล้วหยุดแล้ววิ่งต่อ นอกจากนี้ยังมีจุดเด่นคือการแพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก จึงทำให้แมลงสาบอยู่มาได้เป็นพันล้านปี ไม่สูญพันธุ์ ซึ่งนำมาประยุกต์ใช้กับการปฏิรูปการเมืองได้ 4 ประการ คือ 1.รู้จักฟัง แต่ถ้าฟังแล้วโมโหก็ถือเป็นเรื่องน่าเกลียด 2.รู้จักคิด 3.รู้จักจัดการ คือรู้ว่าจะแก้ ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างไร และ 4.รู้จักทำ คือนำข้อมูลที่ได้มาปฏิบัติให้ถูกทาง นี่คือบทเรียนที่แมลงสาปใช้ซึ่งหากเปรียบเทียบกับไดโนเสาร์ ที่ปรับตัวไม่ได้ก็สูญพันธ์การเมืองในยุคปฏิรูปก็เหมือนกัน” ศ.ดร.กนกกล่าว
‘อธิสิทธิ์’ รับลูก ชี้ไทยรักไทยเหมือน ‘แมลงสาบ’ ชอบสกปรก ขยายพันธุ์เร็ว
หลังจาก ศ.ดร.กนก และ ดร.เอนก อภิปรายจบ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการอภิปราย รับลูก ‘ทฤษฎีแมลงสาบ’ ทันที
แต่ไม่ใช่เรื่องการปรับตัวเป็น ‘แมลงสาบ’ แทนการอยู่แบบ ‘ไดโนเสาร์’ แบบที่ ศ.ดร.กนก เสนอ แต่อภิสิทธิ์นำไปใช้โจมตีพรรคไทยรักไทยล้วนๆ
โดยเขากล่าวว่า ติดใจทฤษฎีแมลงสาบ กลัวว่าพรรคคู่แข่งจะว่า แต่ดูแล้วตอนนี้รัฐบาลชุดนี้ทำตัวเหมือนแมลงสาบเหมือนกัน ในแง่ชอบความสกปรก ความมืด ที่สำคัญคือขยายตัวได้เร็วมาก ปีกว่าๆ ก็แพร่พันธุ์ได้มากมาย ตนคิดว่าหลักการปฏิรูปที่แท้จริงคือทุกคนต้องเข้าใจในสิทธิเสรีภาพ หากนักการเมืองคิดถึงแต่อำนาจก็ไม่มีทางปฏิรูปได้สำเร็จ เพราะการปฏิรูปต้องผ่องถ่ายอำนาจ ไม่ใช่ใช้อำนาจได้ตามใจและกลัวว่าจะมีการตรวจสอบได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
จึงเกิดวิวาทะ ‘พรรคแมลงสาบ’ ตามมาในวันต่อมา โดยมีปฏิกิริยาจากสมาชิกพรรคไทยรักไทยในขณะนั้นหลายคน
เสนาะชี้ ‘พรรคแมลงสาบ’ แค่ข้อกล่าวหาของ ปชป.
วันถัดมา 8 เมษายน 2545 ที่บ้านพักเมืองทองธานี นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมรับมือฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยังไม่ได้เตรียมพร้อมอะไร ต้องรอดูฝ่ายค้านว่าจะอภิปรายรัฐมนตรีคนไหน จะตีตนไปก่อนไข้ไม่ได้ เมื่อฝ่ายค้านยื่นญัตติแล้ว ถึงจะมาหารือกันว่าเป็นไปตามที่ฝ่ายค้าน กล่าวหาหรือไม่ เท่าที่ดูไม่น่าเป็นห่วงอะไร ที่มีปัญหาบ้างก็เป็นเรื่องการติติงกันภายในบ้านของเราหรือภายในรัฐบาล ก่อนที่ฝ่ายค้านจะนำไปขยายผลไปไกลกว่าที่เราคิด อย่างไรก็ตามเท่าที่ดูรัฐมนตรีทุกคนพร้อมรับคำติชม และข้อมูลต่างๆ ที่รัฐมนตรีจะถูกอภิปรายก็ได้เตรียมพร้อมพอสมควร มั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาอะไร
ต่อข้อถามเรื่องการฟรีโหวต นายเสนาะ กล่าวว่า เอาไว้ให้ถึงตอนนั้นก่อน เพราะตอนนี้ยังไม่ได้ฟังการอภิปรายเลย แต่ตามหลักการจะให้ฟรีโหวตไม่ได้ มิฉะนั้นรัฐบาลก็อยู่กันไม่ได้ ผิดมารยาทการเมือง เราจะขาดระเบียบวินัยไม่ได้ ส่วน ที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง จะร่วมอภิปรายด้วยก็ไม่ น่าหนักใจ เราก็รู้อยู่ว่าเขาถนัดเรื่องนี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะการพูดจาโน้มน้าวและใช้ถ้อยคำ เราก็ยอม รับว่าเขาเก่ง แต่การเรียบเรียงคำพูดคำจาสามารถที่จะทำได้ แต่ในเนื้อหาเราก็ต้องฟังด้วย ไม่ใช่ว่าคนพูดเก่ง ๆ แล้วไปว่าร้ายคนดี ๆ ให้เสียหายมันก็ไม่ถูก เราต้องวิเคราะห์คำพูดคำจาและข้อกล่าว หาด้วย ไม่ใช่ไปเชียร์แต่คนพูดเก่ง คนถูกอภิปรายก็ตายแล้ว
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ระบุว่ารัฐบาลทำตัวเหมือนแมลงสาบ และใช้ทฤษฎีแมลงสาบในการปฏิรูประบบราชการ ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย กล่าวว่า เป็นการกล่าวหา เป็นการตั้งคำพังเพยก็ว่ากันไป ส่วนที่ นายชวน หลีกภัย ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ที่นายเสนาะ ประกาศว่าเป็นผู้นำเสียงข้างมากเป็นเพราะไม่เข้าใจระบบ ถ้าอยากเป็นต้องไปแก้รัฐธรรมนูญ นายเสนาะกล่าวว่า ตนไม่อยากต่อล้อต่อเถียง และการที่ ป.ป.ง. ไปตรวจสอบทรัพย์สินของนายชวน และ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เขาทำไปตามหน้าที่ ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์อะไร ที่มองว่าสั่งการมาจากคณะกรรมการ ป.ท. ซึ่งมี ร.ต.อ. ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ รมว.มหาดไทย เป็นประธาน ตนว่าไม่มี เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เองอย่างที่รู้กันอยู่
จิ๋วตามไม่ทันเรื่อง ‘พรรคแมลงสาบ’ เพราะฝ่ายค้านพูดมาก เรื่องธรรมดาของเกมนอกสภา
ขณะเดียวกัน พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวว่า เรื่องแมลงสาบฝ่ายค้านพูดมากจนตามไม่ทันต้องค่อย ๆ ตามกันไป เป็นเรื่องธรรมดาที่ฝ่ายค้านจะเล่นเกมนอกสภา จะมาชื่นชมรัฐบาลว่าดีและเก่งได้อย่างไร การที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ถือเป็นการทำตามขั้นตอนกฎหมาย ยื่นตามประเพณี ไม่ใช่ว่ารัฐบาลทำงานไม่ดี หากไม่ยื่นช่วงนี้ ก็ต้องรอการประชุมสภาสมัยหน้า และการที่ ร.ต.อ. เฉลิม จะร่วมอภิปรายด้วย ถือเป็นสิ่งที่นักการเมืองทำงานการเมือง เขาบอกว่าทราบข้อมูลดีก็ยิ่งต้องเชียร์รัฐบาลมาก ๆ ถือเป็นการสร้างสีสันให้การเมือง คงไม่มีใครบาดเจ็บล้มตายในสภา
‘สุรนันท์’ โต้ ‘มาร์ค’ ยันประชาชนให้ไทยรักไทยถือไบกอนปราบแมลงสาบ
และการตอบโต้ข้อกล่าวหา ‘พรรคแมลงสาบ’ ที่สำคัญคือ การตอบโต้ของนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ โฆษกพรรคไทยรักไทย
นายสุรนันท์เป็นบุตรชายของนายนิสสัย เวชชาชีวะ นักการทูตและเคยเป็นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ และนายนิสสัย เป็นพี่ชายของ ศ.เกียรติคุณ นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
โดยนายสุรนันท์ เวชชาชีวะ ตอบโต้ทฤษฎีแมลงสาบที่ ศ.ดร.กนก วงศ์ตระหง่าน อดีตรองปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ยกมาเปรียบเปรยกับพรรคไทยรักไทยว่า “It takes ones to know ones” คือมีแต่แมลงสาบด้วยกันเท่านั้นที่จะรู้ว่าแมลงสาบเป็นอย่างไร แต่พรรคไทยรักไทยไม่รู้จักแมลงสาบว่าเป็นอย่างไร
เขายังกล่าวว่า เราได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ให้ถือกระป๋องไบกอนเขียวปราบแมลงสาบที่ชอบทำอะไรในมุมมืด ให้แตกออกจากรัง ประชาชนจะได้เห็นว่าทุกมุมมืดมีสิ่งที่ไม่ดี รัฐบาลได้เข้าไปรื้อเพื่อสกัดไม่ให้สัตว์พวกนี้มาเกาะกินประเทศ ในทางกลับกันแมลงสาบเท่านั้นถึงจะเข้าใจพวกสัตว์ ที่เป็นแมลงสาบด้วยกันดี และรู้ว่ามีพฤติกรรมอย่างไรและชอบอยู่แบบไหน ฝ่ายค้านในปัจจุบันเหมือนแมลงสาบที่กำลังแตกรัง เนื่องจากถูกไล่ฆ่า จะเห็นได้ว่าข้อวิจารณ์ต่างๆ ไม่มีข้อเสนอแนะ หรือนโยบายใหม่ๆ ให้ประชาชน
หนำซ้ำพรรคตัวเองก็กำลังแตกรังจึงพยายามปกปิดและกลบเกลื่อน การประชุมสามัญประจำปีที่ผ่านมาก็มีแต่ผู้นำเดิมๆ วิสัยทัศน์เดิมๆ เป็นผู้นำรุ่นเก่า ความจริงควรจะเปลี่ยนแปลงให้กับสถานการณ์ได้แล้ว
นายสุรนันท์ ยังกล่าวว่า สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์และที่นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคพูดเมื่อวันที่ 7 เม.ย. จะเห็นว่าไม่ได้เอาสาระอะไรมาพูดและไม่ได้เสนออะไรใหม่ๆ ให้กับประชาชนเลย นอกจากเล่นสำบัดสำนวนและติเตียนคนอื่น รวมไปถึงกรณีที่นายชวนกล่าวเสียดสีว่า รัฐบาลไปดักฟังหมาคุยกันถึงได้รู้ว่าหมาจะมากัดคนว่า เรื่องนี้เป็นการหยิบเอาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาเป็นประเด็น ทั้งที่เหตุการณ์ชัดเจนอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งก็ยอมรับว่าข้าราชการทำเกินหน้าที่ไป แต่ก็ยังหยิบเอามาพูดอีก ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าตัวเองไม่มีสาระใดๆ
"รู้สึกเสียใจเหมือนกันที่พรรคเก่าแก่ของประเทศไทยไม่มีวิสัยทัศน์อะไรใหม่ๆ ออกมาให้ประชาชนเลย เมื่อประกาศว่าอยู่คู่กับการเมืองระบอบประชาธิปไตยเมืองไทยมานาน แต่ทำไมไม่ทำอะไรให้กับเมืองไทยเลย พรรคการเมืองที่แท้จริงต้องเสนอทางเลือกให้ประชาชนด้วย" นายสุรนันท์ กล่าว
นับแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นนายอภิสิทธิ์พูดเรื่อง ‘พรรคแมลงสาบ’ อีก
นับแต่นั้นมาสมญา ‘พรรคแมลงสาบ’ ก็ยังถูกพูดถึงมาตลอด แต่ไม่ถูกนำไปเปรียบกับพรรคไทยรักไทย อย่างที่เป็นวัตถุประสงค์ของนายอภิสิทธิ์ในทีแรก แต่เป็นไปในทางเสียดสีพรรคประชาธิปัตย์
เข้าทำนอง ...ดาบนั้นคืนสนอง!
เรียบเรียงจาก
‘ชวน’ ลั่นกลองรบ. ‘หมดเวลาสุขสบาย’ บอกเป็นนัย ปชป.คัมแบ๊ก ‘มาร์ค’ กรีดซ้ำ ‘แมลงสาบ’, เว็บไซต์มติชน 8 เม.ย. 2545,
“เหลิม” เปิดศึกรัฐบาล, หนังสือพิมพ์สยามรัฐ 8 เม.ย. 2545,
ทรท.ไปกอนเขียวไล่แมลงสาบ, หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ 9 เม.ย. 2545
รัฐปากแข็งเย้ย“เฉลิม”ซักฟอกแค่สีสันสภา, หนังสือพิมพ์บ้านเมือง, 9 เม.ย. 2545.