2 คำถามเรื่องหลักการในข่าว “แดง” จับ “แดง”

ผู้เขียน
ทีมข่าวการเมือง

 

ประเด็นจากข่าวแดงจับแดง เป็นการตั้งคำถามที่หนักหน่วงในเชิงหลักการอีกครั้งสำหรับการเคลื่อนไหวที่นิยามตัวเองว่าเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ประเทศไทยเคยมีมา

หลักการที่ถูกกระทุ้งถามในครั้งนี้ล้วนเป็นเรื่องของนิติรัฐที่เป็นใจกลางของการปกครองระบอบประชาธิปไตยทั้งสิ้น

 

หนึ่ง มาตรา 112 กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และมาตรการปกป้องสถาบันกษัตริย์บรรดามีในประเทศไทยนั้น แกนนำเห็นว่าเป็นปัญหาหรือไม่ ควรถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือปรับปรุงแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือไม่ ซึ่งนี่เป็นคำถามที่กนนำไม่เคยตอบจริง อันนำมาสู่คำกลาวหาว่า “สู้ไปกราบไป” จนกระทั่งในช่วงหลังๆ มานี้ การแสดงออกทางการเมืองของคนเสื้อแดงแยกได้ชัดว่า มีแดงกระแสหลัก ซึ่งขาดความขัดเจนในประเด็นนี้ กับแดงราดิคัล ที่พูดเรื่องนี้อย่างชัดเจนในที่สาธารณะ

ความไม่ชัดเจนในหลักการเบื้องต้นนำมาสู่การขับเคลื่อนที่สับสนลักลั่น แสดงออกมาหลายกรรมหลายวาระ เช่น เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 54 หลังจากที่ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผบก.น.1 เข้าพบนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการ ประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ รองประธาน นปช. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษก นปช. เพื่อหารือเรื่องการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 12 มี.ค. ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยภายหลังการหารือประมาณ 30 นาที ได้มีการแถลงข่าวโดยแกนนำ โดยนายวรวุฒิแถลงว่า สิ่งที่ตำรวจห่วงใยและฝากให้แกนนำช่วยดูแล ก็คือข้อความต่างๆ ที่อาจเข้าข่ายหมิ่น จึงขอให้พี่น้องเสื้อแดงช่วยสอดล่องดูแล เมื่อพบข้อความดังกล่าวให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจับกุมได้ทันที

และนำมาสู่อาการแอคทีฟในการตรวจตรากันเองของแกนนำเสื้อแดงและการ์ด นปช. จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น

สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ตั้งข้อสังเกตและวิจารณ์เหตุการณ์ดังกล่าวผ่านเฟซบุคของเขาด้วยว่า "ผมว่า การทีการ์ด "บ้าจี้" ขนาดนี้ ซึงครั้งอื่นๆ ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี ต้องเป็นการ "ชี้นำ" มาจากระดับผู้รับผิดชอบ อย่างน้อยระดับผู้รับผิดชอบด้านการ์ด วันนี้ ก่อนเกิดเหตุการณ์ เวทีก็ประกาศซ้ำ คล้ายๆ กับคำสัมภาษณ์ของวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ ที่ผมโพสต์ไปเื่มื่อวาน คือ ประกาศดังๆ จากเวทีเลย เรื่อง เจออะไรที "หมิ่นเหม่" ให้จับส่งตำรวจ"

"ในบรรยากาศการเมืองแบบนี้ ที่ผู้นำ นปช.เองบางคน ก็โดนกล่าวหาว่า "หมิ่น" โดนเล่นงานจากรัฐ ... แค่นี้ยังไม่พอ? นปช. ต้อง "ช่วย" ทำหน้าที่ในการเล่นงานคนอื่นเรื่อง "หมิ่น" ... ด้วยหรือครับ?"

แน่นอน หลายคนอาจแสดงความเห็นว่า บางทีการ์ดก็ไม่ฉลาด และการ์ดก็มีที่มาหลากหลายร้อยพ่อพันแม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อ้างได้แต่นั่นก็นำมาสู่คำถามถึงกระบวนการจัดการของแกนนำเสื้อแดงเช่นกัน ว่าจะใช้วิธีการที่ไม่รัดกุมเช่นนี้และไว้วางใจให้คนร้อยพ่อพันแม่มาดูแลความเรียบร้อยในการชุมนุมโดยไม่มีการวางระบบและข้อตกลงที่ชัดเจนรัดกุมในการปฏิบัติหน้าที่แต่ละครั้งได้หรือ ยิ่งหากแกนนำหรือคนเสื้อแดงกลัวว่าจะมีคนอื่นมา “แอบแฝงบ่อนทำลาย” ก็ยิ่งควรต้องชัดเจนในหลักการให้มากบยิ่งขึ้นด้วยว่า “แบบไหน” ที่เรียกว่าเป็นการแอบแฝงบ่อนทำลาย มิเช่นนั้น คนเสื้อแดงทุกคนก็อาจถูกการ์ดแดงจับได้ทุกครั้งที่ชุมนุม เพราะการตีความตามทัศนส่วนตัว แกนนำเองย่อมต้องระมัดระวังในประเด็นนี้ และน่าจะรู้ดีกว่าใครว่า “คนเสื้อแดงทำอะไรก็ผิด” อย่างที่แกนนำพูดตัดพ้อสื่อและสังคมอยู่เนืองๆ

ที่ผ่านมา กรณีความหละหลวมในการบริหารจัดการการ์ดก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาก จนกระทั่งมีคำเสียดสีทำนองว่า ถ้าการ์ดผิดแกนนำ ก็อาจปัดความรับผิดได้ โดยบอกว่า นั่นไม่ใช่คนเสื้อแดง

คำเตือนด้วยความห่วงใยในเรื่องระบบการ์ดนี้ “วัชรพันธุ์ จันทรขจร” หรือ “โป๊ะ” ซึ่งเคยรับหน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้ขบวนการเคลื่อนไหวของนิสิตนักศึกษาในยุค 14 ตุลา และพฤษภา 35ซึ่งแกนนำเสื้อแดงให้ความเคารพและเดินสำรวจการรักษาความปลอดภัยเมื่อครั้งคนเสื้อแดงชุมนุมที่ราชประสงค์อยู่เนืองๆ ก็เคยตั้งข้อสังเกตถึงจุดอ่อนนี้

“ ก็ไปดูการรักษาความปลอดภัยที่ นปช. ตั้งขึ้นมาว่าเป็นอย่างไร เขามีระบบอยู่แล้ว อารี (ไกรนรา) เขาก็ตั้งขึ้นมา ว่าจะมีกี่ชั้นๆ แต่ปรากฏว่าอารีเขาเป็นคนเปิด ก็มีการ์ดเยอะมาก ก็มีอาการมั่ว เราก็เตือนว่า อย่างน้อยวงในต้องมีระบบระเบียบ มีการจัดการกับการ์ดที่แฝงตัวเข้ามา แล้วการที่เปิดให้ใครก็ได้เอาบัตรประชาชนเข้ามาก็เป็นการ์ดได้นั้นไม่ถูก ก็บอกเขา”

 

สอง ปัญหาเรื่อง การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐในกรณีดังกล่าว

เมื่อคุณปลาโดนจับไป คำถามที่สังคมหรืออย่างน้อยที่สุดคนเสื้อแดงละเลยไปคือ กระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งประเด็นนี้ สาวตรีสุขศรี อาจารย์ภาควิชากฎหมายมหาชน ที่ได้อยู่ร่วมในกระบวนซักถามของตำรวจตั้งข้อสังเกตในหน้าวอลล์ของตนเองในเฟซบุคว่า”

“กรณีผู้ถูกการ์ดเสื้อแดงจับส่งตำรวจเพราะแจกเอกสาร..๑. แน่ล่ะว่าเรื่องนี้ต้องจัดการให้ชัดเจน ถึงการใช้อำนาจเกินไปของการ์ดเสื้อ แดง (ตรงนี้มีคนพูดถึงเยอะ) แต่ที่เราไม่เข้าใจคือ มีคนจำนวนน้อยมาก (แม้แต่ญาติผู้เสียหายเอง) ที่จะตั้งคำถามถึง ๒. การใช้อำนาจของตำรวจ กรณีควบคุมและสอบปากคำโดยไม่มี "ข้อกล่าวหา"...ทำไมคนไทยพร้อมตรวจสอบการทำงานของ ปชช. ด้วยกันเอง แต่หรี่ตาให้การใช้อำนาจโดย "รัฐ" ??” และ

“พอดีวันที่มีเหตุจับกัน มีโอกาสได้ไปอยู่ตรงนั้น...พบว่า การดำเนินการของตำรวจ (แม้เขาจะแสดงความเป็นมิตรกับผู้ถูกจับ) ไม่ว่าจะเป็น การถามปากคำโดยไม่มี "การแจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ ทั้งสิ้น" การยืนยันว่าควร "เซ็นต์ชื่อในใบสอบปากคำนั้น" กระทั่งการ "ตามไปดูที่บ้านของผู้ถูกจับ" ล้วนไม่มีกฎหมายให้อำนาจ !!! เรายืนยันวันนั้นว่า ตำรวจไม่มีอำนาจ...แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคน หัวเสียกับ "การ์ด นปช." จนละเลยที่จะตั้งคำถามถึงการใช้อำนาจของตำรวจ ...ทำไม ?”

 

สุดท้าย แดงจับแดงที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หรือเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวและจบกัน แต่นี่คือเป็นปัญหาท่าที และหลักการของแกนนำซึ่งไปช้ากว่ามวลชนอย่างสม่ำเสมอ ประเด็นนี้ร้อนแรงมาก และคนเสื้อแดงหลายคนแสดงความผิดหวังต่อแกนนำอย่างชัดเจน บางคนประกาศไม่ไปร่วมชุมนุมด้วยแล้ว อีกส่วนหนึ่งกลับโต้ตอบว่าประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่เสื้อแดงราดิคัล ที่เข้าใจกันว่ามีสมศักดิ์ เจียมธีรสกุลเป็นผู้นำทางความคิด มักจะยกมาโจมตีแดงกระแสหลัก แล้วยุให้ไปตั้งกลุ่มเอาเองเพื่อจะได้เคลื่อนไหวให้ถูกใจตัวเอง ขณะที่บางคนที่พูดเรื่องนี้ไปในทำนองตั้งคำถาม ก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นแค่ “เหาฉลาม” ของนักวิชาการประวัติศาสตร์คนดัง ซึ่งการโต้ตอบดังกล่าวมานี้ ไม่มีอะไรที่เรียกได้ว่าเป็นการโต้แย้งในเชิงหลักการเลย
 

ความเห็น

Submitted by Schopenhauer on

"แดงจับแดง - นโยบายคุณหนูเด็กดี"

จากนโยบายของแกนนำ, เจออะไรที "หมิ่นเหม่" ให้จับส่งตำรวจ
นิยาม "หมิ่นเหม่" ถูกใช้เป็นเครื่องมือเล่นงานผู้คน มาแล้วขนาดไหน

ก็สนุกไปอีกแบบ การเมืองแบบไทย ๆ - การต่อสู้เพื่อ ปชต. แบบไทย ๆ

มิพักต้องพูดถึงเรื่อง "อย่าปากสว่าง" หรือใช้วิธี "กระซิบ" เอา

เรื่องทั้งหมดนี้ สะท้อนอะไร - สะท้อนความไม่รับผิดชอบของแกนนำ
ทำไมเรื่อง "สำคัญขนาดนี้" ไม่พูดกันภายในองค์กรก่อน
ให้เป็นข้อสรุป-เป็นฉันทามติ, แล้วจึงกำนดมาเป็นนโยบายที่ชัดเจน

ไม่ใช่มาโพล้งกันบนเวที ท่ามกลางคนเป็นแสน-ถ่ายทอดสดไปทั่วโลก
มันสะท้อนให้เห็นศักยภาพ "องค์กรแกนนำ" ว่าทำงานกันอย่างไร???
...

Submitted by โสมคาน on

แบ่งทำไมเรดิคอล-กระแสหลัก
เร่งรวมพลพร้อมพรรค ประจำที่
ทั้งแดงเดือด แดงดำ ทำแดงดี
เขาโห่กันฉาวมี่ พี่เผาเมือง

ต้องชูธง ปักป้าย ทุกฝ่ายรบ
แอบซ่อนหลบซุ่มตี พวกสีเหลือง
ก้อพวกมันขวางข้า รอฟ้าเรือง
จะยกเครื่อง รัฐใหม่ ใหญ่กว่าเดิม

ที่ผ่านมาเพลี่ยงพล้ำคะมำหงาย
เป็นฝูงควายตกท้องร่อง ต้องสร้างเสริม
ลองหัดแถว เป็นแนว แล้วเพิ่มเติม
หาคนเพิ่ม จุดไฟ ประลัยกัลย์

นักประวัติศาสตร์เหลวแหลกมันแยกคุณ
นายสมศักดิ์ เสี้ยมทีละสกุล ทำลายขวัญ
อย่าหลงคำ น้ำมนต์ พ่นทุกวัน
ลองถามท่าน เขียนประวัติศาสตร์ ของชาติใด

Submitted by chotisak onsoong on

ตอบ อ.สาวตรี
1.เพราะตำรวจมันไม่เที่ยวมาประกาศว่าตัวเองสู้เพื่อประชาธิไตยไงครับ
เผด็จการที่เผด็จการมันแปลกตรงไหน แต่ถ้าปากบอกรักประชาธิปไตยแต่กลับสนับสนุนเผด็จการมันแย่มากครับ
2.เฉพาะกรณีนี้ ถ้าไม่มีการจับตัวไปส่งตำรวจ(โดยประชาชนผู้รักประชาธิปไตย?)ตำรรวจมันก็ไม่มีโอกาสให้ทำอะไรแย่ๆแบบนั้นหรอกครับ

ถามจริงเหอะเวลาใครซักคนจะพูด "เรื่องนั้น" อย่างภาษาชาวบ้านและตรงไหนตรงมา พวกเราและพวกเขากลัวตำรวจ(อย่างเดียว)เหรอ ถ้าไม่มีตำรวจอยู่ตรงนั้นแล้วเราและเขากล้าพูดใช่มั้ย
อาจารย์ก็คงรู้ว่าคำตอบคือ ไม่ใช่
เราไม่เพียงแค่ต้องกังวลเรื่องตำรวจ แต่เรายังต้องกังวลต่อ "ประชาชน" ด้วยกันเอง ที่ตายังไม่สว่าง ยังไม่ถูกถอดปลั๊ก ที่พร้อมจะแปลงร่างเป็น "เอเจนต์สมิท" ได้ตลอดเวลา
ลำพังแค่รัฐ ไม่สามารถทำอะไรได้มากอย่างที่เป้นอยู่ตอนนี้หรอกครับ หากไม่มี "ประชาชน" ที่พร้อมจะแปลงร่างเป็น "เอเจนต์สมิท" ได้ตลอดเวลา

Submitted by parnpun on

ก่อนหน้านี้ก็เห็นด้วยกับเรื่องที่ว่าในการชุมนุมควรหลีกเลี่ยงที่จะพาดพิงสถาบันเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยเอื้อต่อฝ่ายประชาธิปไตย คือดูแล้วน่าจะเป็นผลเสียมากกว่าเพราะเป็นการพูดในวงกว้าง (ผมเคยตอบอีเมล์แสดงความเห็นแย้งอาจารย์ใจ อึ๊งฯที่แสดงความไม่เห็นด้วยที่นายกฯทักษิณฯจะต้องแสดงความจงรักภักดีอยู่เรื่อย ๆ ผมเห็นว่าถ้าไม่ให้นายกฯทักษิณฯแสดงความจงรักภักดีจะเป็นผลเสียมากกว่า และเห็นว่าควรแสดงความเห็นเรื่องสถาบันในเชิงวิชาการอย่างที่คุณสมศักดิ์ฯและหลาย ๆ คนทำอยู่ รวมทั้งการจัดสัมมนาอย่างเปิดเผยโดยนักวิชาการและผู้สนใจใฝ่รู้จะได้ผลมากกว่า)

แต่ปัจจุบัน การพูดถึงสถาบันเป็นเรื่องที่แพร่หลาย (แม้แต่ฝ่ายที่โจมตีคนอื่นว่าไม่จงรักภักดีเอง) จนแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติในสังคมไทยไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผลจากความซื่อบื้อของฝ่ายรัฐบาลรวมถึงผู้ที่หนุนหลังที่ตะลุยกล่าวหาจับกุมฟ้องร้องดะไปทั่ว หรือเป็นผลจากการถกเถียงและแสดงความคิดเห็นที่มีข้อมูลในเชิงลึกของนักวิชาการ หรือเป็นผลจากการที่ประชาชนเรียนรู้รับรู้ด้วยตนเองจากความเดือดร้อนในกรณีต่าง ๆ ก็ตาม

ผมจึงเห็นว่า คนเสื้อแดงโดยเฉพาะนปช. ควรปรับท่าทีและจุดยืนต่อประเด็นการอภิปรายหรือปราศัยเรื่องสถาบัน คือควรลดความวิตกจนเกินเหตุว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามนำมาโจมตีว่าไม่จงรักภักดีจนไม่กล้าพูดถึงลงได้แล้ว และไม่ต้องไปวิตกว่าคนเสื้อแดงกลุ่มอื่นใดจะพูดถึงสถาบันแล้วทำให้คนเสื้อแดงโดยรวมเสียหาย

แนวทางหนึ่งในการอภิปรายหรือปราศัยที่คิดว่าน่าจะปลอดภัียก็คือแนวทางเดียวกันกับที่นักวิชาการทำกันอยู่ ซึ่งในระยะแรกที่ถือเป็นการปรับตัวอาจเน้นไปที่การให้ข้อมูลและความรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชน ไม่ต้องถึงขั้นลึกล้ำอะไรมากมายระดับที่นักวิชาการเขาทำกันอยู่ก็ได้

เมื่อความวิตกกังวลเรื่องนี้คลี่คลายก็น่าจะนำไปสู่การจัดการที่ถูกต้องในเรื่องการ์ด(ในส่วนที่คอยเฝ้าระวังจนเกินเหตุอย่างที่เกิดขึ้น)ได้บ้าง และน่าจะส่งผลต่อการจัดรูปขบวนการต่อสู้ของประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ให้เหมาะสมได้ง่ายขึ้น

Submitted by นวมทอง on

ถ้าแกนนำแดงตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยเสียแล้ว

ก็ต้องตรวจสอบแกนนำเองเสียก่อน

แล้วแกนนำก็ต้องเข้าคุกก่อน

อะไรหมิ่น

ไม่หมิ่น

ศาลเองก็ยังตัดสินถูกๆผิด

ถ้าเป็นชาวต่างประเทศ

ก็ปล่อยตัวไป

ถ้าเป็นคนไทยก็คุกยาว

ชัวร์ๆก็

เลิกชุมนุมเสียดีกว่า

Submitted by อนันต์ on

ผมเห็นด้วยกับการตำหนิการกระทำเกินเลยของการ์ดเสื้อแดง เพราะหลายครั้งพฤติกรรมของการ์ดก็เป็นที่เบื่อระอาของคนเสื้อแดง ผมเข้าใจครับว่าคนเรามีวุฒิภาวะต่างกัน และหลายครั้งผมก็พยายามมองข้ามปัญหาเล็กๆ และยึดมั่นต่ออุดมการณ์หลักที่เราชาวเสื้อแดงได้วางธงเอาไว้ แต่ปัญหาที่ได้พบกับตัวเองตลอดจนเพื่อนๆ ได้เล่าให้ฟังพอสรุปได้ ดังนี้

1. การใช้วาจาไม่สุภาพ ทำตัวกร่างใหญ่โตเกิน (การ์ดบางคน)
2. เจ้าหน้าที่ฝ่ายสมาชิก นปช. ไม่มีความรู้เรื่องมวลชนคนเสื่อแดงว่ามีการรวมหมู่จากกลุ่มหลายกลุ่ม ซึ่งบางทีเจ้าหน้าที่เป็นตัวสำคัญที่ทำให้ความขัดแย้งมีมากขึ้น เช่น มีเสื้อแดงคนหนึ่งสวมหมวกของกลุ่มแดงสยาม มาสมัครเป็นสมาชิกของ นปช. และเมื่อจะถ่ายรูป เจ้าหน้าที่บอกกับเสื้อแดงคนนั้นให้ถอดหมวกออก เพราะแดง นปช.ไม่เอาแดงสยาม และยังบอกอีกว่าแกนนำสั่งมา...โดยความเห็นส่วนตัว ผมไม่เชื่อว่าเป็นนโยบายของแกนนำ เพราะแกนนำโดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์ธิดา ท่านตระหนักดีว่าคนเสื่อแดงที่เกิดขึ้นเป็นการรวมหมู่ของคนเสื้อแดงหลายกลุ่มๆ แต่เจ้าหน้าที่คนนั้นขาดทักษะการอธิบายความและปราศจากความเข้าใจของมวลชนคนเสื่อแดง ปัญหามันก็เลยบานปลาย (หากบอกว่าใส่หมวกแล้วมันจะไม่หล่อ, ใสแว่นแล้วแสงมันจะสะท้อน ความรู้สึกของผู้ฟังก็จะดีขึ้น)

ถึงแม้ว่า การ์ดของคนเสื้อแดงหากเปรียบเทียบกับการ์ดเสื้อเหลืองแล้ว การ์ดเสื้อแดงมีความน่ารักกว่าเยอะมาก แต่มันก็เป็นการดีกว่าใช่ไหมครับ ที่เราพยายามลดและกำจัดจุดอ่อนของพวกเรา เพื่อให้คนเสื่อแดงทั่วไปยอมรับอย่างบริสุทธิใจ

ตั้งแต่นี้ต่อไป ปัญหาเล็กๆ ที่มันรอผสมปนเปให้เป็นปัญหาก้อนใหญ่ของคนเสื้อแดงจะต้องได้รับการแก้ไข มิฉะนั้นแล้วความแตกต่างแล้วก็แตกแยก จะทำให้กระบวนการต่อสู้ของเราล้มเหลวลง

ขออีกนิด สำหรับแกนนำ (บางคน) มวลชนคนเสื้อแดงยอมรับท่านให้เป็นแกนนำ แต่มิได้หมายความว่ายอมรับท่านเป็นอำมาตย์ ชนชั้นนักปกครอง การวางตัวของท่านคนเสื้อแดงมองอยู่ เห็นอยู่ครับ

Submitted by ศิลา on

ผมเคยแสดงความเห็นในสื่ออิเล็คโทรนิคส์หลายแห่ง ว่า ขบวนการประชาธิปไตย "เสื้อแดง" ที่ประสบความเสียหายมาก็เพราะ"จุดอ่อน"เรื่องการ์ด นี่แหละ เพราะทั้งคนดูแลการ์ดและการ์ด "ไม่ค่อยจะเข้าใจการเมือง" การ์ดนั้นเป็นด่านหน้าของขบวนการ ใครไปใครมา ต้องเจอการ์ดก่อน การ์ดต้องมีท่าทีเป็นมิตรกับมวลชน ปฏิบัติต่อมวลชนอย่างมิตร ไม่ใช่ปฏิบัติอย่างคนบ้าอำนาจแบบทหารของพวกปฏิกิริยา การ์ด นปช.เป็นการรับกันมาแบบมั่วๆ เหมือนๆกับการจ้างยามทั่วๆไป แต่จริงๆแล้วจะใช้มาตรฐานอย่างนั้นกับการ์ด นปช.ไม่ได้ เพราะการ์ด นปช.เป็นการ์ดของขบวนการการเมืองที่กำลังต่อสู้เพื่อช่วงชิงความเห็นอกเห็นใจจากมวลชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ มันจึงไม่ใช่ยามแบบทั่วๆไป
แกนนำก็เช่นกัน ดูเหมือนว่ายังมีความเข้าใจ"การเมือง"กันน้อยมาก อย่างวันก่อน คุณธิดานายวรวุฒิก็เคยไปแจ้งความกล่าวหาคนอื่นว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเหมือนกัน ความจริงน่าจะสังวรว่า ข้อหานี้มีแต่เขาเอามาฟาดหัวพวก นปช. กับพวกพันธมิตรฯนั้น จะพูดอย่างไรก็ได้ เขาไม่ว่ากัน คดีนายสนธิ เขานัดสืบพยานปีละคน ยังจะคิดไม่ออกอีกหรือ?
คิดแล้วก็สงสารมวลชนเสื้อแดงที่เข้าร่วมอย่างบริสุทธิ์ใจ มุ่งไปสู่การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอย่างแท้จริง มีใจเกินร้อย แต่องค์นำและกำลังคุ้มครองดูจะอ่อนแอในทางการเมืองเหลือเกิน ก็ไม่รู้ว่าจะไปกันได้ถึงไหน
ก็อยากจะเรียกร้องให้ นปช.เปิดกว้างหน่อย เชิญนักวิชาการ ผู้มีชื่อเสียงเข้าร่วมให้มากหน่อย หรือพูดง่ายๆว่า "สนใจงานแนวร่วม"หน่อย จะทำให้ขบวนก้าวไปไกล และมั่นคงได้ครับ
นี่พูดไปก็ไม่รู้จะเหมือนสอนมนตร์ให้ฤาษีหรือเปล่า?

Submitted by แก่นแท้ แก่นเทียม on

ต้องบอกว่า เป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของแกนนำ นปช. ที่ต้องการเป็นศัตรูกับมวลชน ที่หนุนส่งให้พวกเขามีบทบาททางการเมืองในวันนี้ โดยเลื่อกที่จะเข้าข้างอำมาตย์ชั่ว โดยมีเป้าหมายเพื่อเข้ายึดกุมอำนาจรัฐ จึงต้องฝึกหัดวิชามารข่มเหงรังแกประชาชน ความชั่วความเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้มากมายนั้น เกิดจากความโง่เขลาเบาปัญญาแต่อยากเป็นใหญ่ ของแกนนำคนเสื้อแดงทั้งสิ้น ขอยืนยัน เพราะว่ามีเรื่องราวข้อเท็จจริงมากมายที่เกิดขึ้นแล้วจากการกระทำของพวกเขา แต่ไม่ได้ถูกนำมาเผยแผ่ แต่เพื่อรอเวลาอันเหมาะควรต่อไป เรามีข้อมูลพฤติกรรมอันน่ารังเกียรติของแกนนำบางคน ที่เลวร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกพันธมิตรเลย น่ะ จะบอกให้ แต่ก็นั่นแหละพวกเขาขึ้นไปอยู่ที่สูงติดลมบนเสียแล้ว ยากที่คนเสื้อแดงทั้งหลายจะถอนตัวทันทีทันใดได้ทั้งหมด เพื่อให้มีผลกระทบต่อพวกเขานั้นยากเสียแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเสียทีเดียว ให้พวกเขาย่ามใจแล้วมีพฤติกรรมข่มเหงมวลชนมากขึ้น แล้วเมื่อนั้นแหละพวกเขาจะได้รู้ว่า "นรก" มีจริง ๆ

Submitted by rajaee on

เอาคนฉลาดน้อยมาเป็นหัวหน้า ผลที่ออกมามันก็เป็นเช่นนี้นี่แหละ

คนที่เป็นแกนนำ นปช. เขาไม่ได้วัดกันที่กิ๋น...หรือจิตสำนึกแห่งประชาธิปไตย

แต่เขาวัดกันที่เป็นเด็กของใคร...?

ผมรู้สึกขอบคุณในการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ที่ทำให้คนไทย... "ตาสว่าง".....บางเล็กน้อย

แต่ผมไม่เชื่อว่า.... "การเป็นประชาธิปไตย" ..... "แบบนักแสดง" .....

จะสามารถทำให้ประชาชนคนรากหญ้า .... ใช้อำนาจอธิปไตยของตนที่มีมาโดยกำเนิด...ได้อย่างถูกต้องและเป็นประโยชน์กับตนได้อย่างแท้จริง

เพราะประชาธิปไตย... แบบคอนเสิร์ท....โต๊ะจีน....มันก็เป็นได้แค่ประชาธืปไตยแบบบันเทิง

ได้ร้องเพลง....ร้องไห้...น้ำตาซึม...ตื่นตันใจ....แล้วกลับบ้าน

ประชาธิปไตยแบบนักแสดง
ประชาชนอาจเป็นได้แค่เพียง...ตัวประกอบ
ที่ถูกจัดฉากให้ถูกยิงตาย....แล้วก็เอาซากศพของ(วีรชน)ประชาชนผู้น่าสงสารเหล่านี้...มาหากิน

โดยลืมไปว่า...เลือด...เนื้อ...ชีวิตเหล่านี้...มีพ่อ...มีแม่...มีลูก...มีพี่...มีน้องที่ต้องรับผิดชอบ

การต้อสู้เพื่อนำมาซึ่งอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนชาวไทอย่างแท้จริง....

ไม่ใช่...หลอกให้ประชาชนไปโดน....ทหารชั่ว...รัฐบาลเลวมันฆ่า....แล้วแกนนำก็หนี...

ประชาธิปไตยเช่นนี้....ไม่สามารถบอกได้หรอก...ว่าใครคือ...แดงแท้...ใครคือ....แดงเทียม

ประชาธิปไตยแบบ...แดงจับแดง

เป็นประชาธิปไตย...แบบอะไร?

เราคงต้องถามตัวเอง...หรือไม่ก็ค้นหาความจริงกันต่อไป

ว่าแท้จริงแล้ว....เรากำลังต่อสู้เพื่ออะไร...และต่อสู้เพื่อใคร?

Submitted by ปุริมพัฒน์ on

สำคัญกว่าเรื่อง การ์ด ... คือ แกนนำคิดยังไงกับการรณรงค์เรื่อง ม.112 ควรจะแสดงท่าที่ให้ชัดเจน ถ้ายืนยันจะจับคนแจกเอกสารรณรงค์เรื่องดังกล่าวควรประกาศทุกครั้งก่อนการชุมนุม ว่าถ้าผุ้ใดไม่จงรักภักดีไม่ควรมาร่วมชุมนุม ผู้ชุมนุมจะได้มีโอกาสทบทวนท่าที่ในการชุมนุม มันไม่ผิดที่แกนนำนปช.จะแสดงความจงรักภักดี แต่ควรจะแสดงจุดยืนให้ชัดเจน ว่านอกจากสู้เพื่อ ปชต.แล้ว .. เเดง นปช.จะปกป้องสถาบันด้วย แล้วประกาศจุดยืนทุกครั้งก่อนการชุมนุม ปัญหาเรื่องการจับกุมผู้กระทำผิด ม.112 จะไม่เกิดขึ้นและไม่สร้างความหนักใจให้พวกการ์ดมาไล่จับ การชุมนุมก้อจะบริสุทธิ์

2 คำถามเรื่องหลักการในข่าว “แดง” จับ “แดง”

กรณี “แดงจับแดง” ที่เกิดขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด หรือเรื่องน้ำผึ้งหยดเดียวและจบกัน แต่นี่คือเป็นปัญหาท่าที และหลักการของแกนนำซึ่งไปช้ากว่ามวลชนอย่างสม่ำเสมอ

M79 และผองเพื่อน: สิ่งเบี่ยงเบนข่าวสารราคาย่อมเยา

วิธีกลบข่าวแบบบ้านๆ ไทยๆ ไม่ต้องลงทุนมากก็กลบมันด้วยน้อง M79 ลูกกระสุนสนนราคาละไม่กี่ร้อย แต่ก็ได้พาดหัวข่าวหน้าหนึ่งกลบข่าวคนเป็นหมื่นเป็นแสนที่ออกมาไล่รัฐบาลในขณะนี้

โอกาสเดียว 'ยึด' และ 'ยึดหมด' : ข่าวคดียึดทรัพย์ในสายตานักข่าวเทศ

สื่อต่างประเทศให้ความสนใจกับข่าวการเมืองในไทยกันหนาแน่นตลอดสัปดาห์นี้ ยิ่งใกล้วันศุกร์ วันที่สื่อทั้งหลายเรียกมันว่า judgement day มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งลงข่าวและบทวิเคราะห์กันคึกคักมากขึ้นเท่านั้น ประเด็นของการรายงานของสื่อนอกเน้นหนักไปที่สองเรื่องใหญ่คือ แนวทางของคำพิพากษาที่จะออกมา กับผลสะเทือนทางการเมืองจากการตัดสินหนนี้ ทั้งต่อการต่อสู้ทางการเมืองระหว่างสองขั้วคือเหลืองกับแดง และผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย

(ที่มาของภาพ: มังกรดำ) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อาคารท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เมื่อ 28 กุมภาพันธ์ 2551 หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ถือเป็นการกลับเมืองไทยครั้งแรกนับตั้งแต่เขาออกจากประเทศไปประชุมที่องค์การสหประชาชาติและเกิดการรัฐประหารโค่นอำนาจเขาเมื่อ 19 กันยายน 2549 ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 เขาเดินทางออกนอกประเทศอีกครั้งโดยไม่กลับมาฟังคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีที่ดินรัชดา ล่าสุดในวันที่ 26 กุมภาพันธ์นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทอีกคดี นับเป็นอีกครั้งหนึ่งที่สื่อทั้งไทยและต่างประเทศให้ความสนใจต่อเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย