แดง ใบเตย
1. บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ข้อเขียนชิ้นนี้ เขียนขึ้นเพื่อโจมตีกลุ่มปัญญาชนเก๋ไก๋ทั้งหลาย ที่บังอาจวิพากษ์วิจารณ์กระแส "เคอิโงะ"
2. ดวงของเคอิโงะ
แหม่มโพดำ
"เคอิโงะ" เสี่ยงได้ไพ่ "แหม่มโพดำ" ดวงดีมากมาย
3. บทกวีแด่เคอิโงะ
เ ร า ก็ ไ ม่ ท ร า บ ว่ า จู่ ๆ คุ ณ ดั ง ขึ้ น ม า ไ ด้ เ ยี่ ย ง ไร "เ ค อิ โ ง ะ"
สำ ห รั บ ผ ม เ ริ่ ม แ ร ก ก็ อ อ ก จ ะ ห มั่ น ไ ส้ คุ ณ อ ยู่ ม า ก เ ล ย ที เ ดี ย ว
แ ต่ สำ ห รั บ ผู้ ที่ แ ส ด ง ค ว า ม ฉ ล า ด ห ลั ง เ ห ตุ ก า ร ณ์ นี่ ยิ่ ง น่ า ห มั่ น ไ ส้ ก ว่ า
มั น ไ ม่ ใ ช่ เ รื่ อ ง ข อ ง ผ ม กั บ คุ ณ . . . "เ ค อิ โ ง ะ"
แ ต่ เ ป็ น เ รื่ อ ง ข อ ง พ ว ก เ ร า ห มู่ ม ว ล ม ห า ช น ค น เ สี่ ย ว ๆ ทั้ ง ห ล า ย
กั บ พ ว ก ปั ญ ญ า ช น เ ห ล่ า นั้ น . . .
W e a r e t h e w o r l d - รั ก กั น รั ก กั น - เ พื่ อ ธ ร ร ม ช า ติ อั น ยิ่ ง ใ ห ญ่ ยื น ย ง !?
อ้ายแดง ใบเตย ของมอบให้น้อง เคอิโงะ
28 พ.ค. 52 .. น่าจะเข้าฤดูฝนแล้ว ณ ใบกระท่อมนักรบศรีวิชัย
4. ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"
ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ" เกิดจากการปั่นกระแสของสื่อมวลชน ซึ่งจะเริ่มจากรายการ "เรื่องเล่าเช้านี้" ของเฮียสรยุทธ์ ทางช่อง 3 (ซึ่งช่อง 7 ไม่ยอมน้อยหน้า ขุดหนูน้อยมะเร็งมาสู้ แต่โดนเคอิโงะตีตกพ่ายกระแสไป) จนเกิดการระบาดฟีเวอร์ไปทั่ว ทั้งสื่อในประเทศและต่างประเทศต่างประโคมข่าวความน่าสงสารของเด็กน้อยลูกครึ่งไทยญี่ปุ่น จนดังไปทั่วโลก แถมยังมีข่าวสินค้าต่างๆ รุมตอม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้า และนำเรื่องราวชีวิตมาเขียนการ์ตูน
แทบไม่น่าเชื่อว่าจากกระแสความน่ารักเอ็นดูของ ดช.เคอิโงะ ซาโต เด็กกำพร้าชาวพิจิตร อายุแค่ 9 ขวบ แม่ตายออกตามหาพ่อชาวญี่ปุ่น จะมีคลื่นไต้น้ำคอยเจาะยาง และได้กลายเป็นกระแสหมั่นไส้ขึ้นมาดื้อๆ โดยเฉพาะเหล่า "ปัญญาชน" ทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ตามเวบบอร์ด หรือบลอก หรือหน้าคอลัมน์ตามนิตยสารเก๋ไก๋ต่างๆ ในสังคมไทย ที่มีคำวิจารณ์มากมายอาทิ..
"..เป็นอีกครั้ง ที่สื่อหากินกับความอนาถของคนอื่น.."
"..เพราะจากที่เคยเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องของเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากเจอพ่อบังเกิดเกล้า ..มันก็เติบโต รุดหน้า และมุ่งเข้าหา สิ่งที่เรียกว่า "ความเสื่อม" ครั้งยิ่งใหญ่ อีกครั้ง ของเหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘สื่อมวลชน'.. "
"..จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เคอิโงะเองได้กลายเป็นเหยื่อของระบบทุนนิยมไปแล้ว.."
"เรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เรื่องสังคมสงเคราะห์ แบบที่สื่อไทยกำลังเล่นกันอยู่"
และอีกบลาๆๆๆ
ทำไมนะ "ปรากฏการณ์เคอิโงะ" ถึงได้ไปเข้าทางตีน ของผู้รู้เหล่านี้จังเบ้อเร่อ
5.จริตของปัญญาชน
สังคมไทยจะมีคนกลุ่มหนึ่ง, พวกเขาเกินขั้นนักวิจารณ์ธรรมดาดาดๆ ทั่วไป พวกเขาไปถึงขั้นตรัสรู้และตัดสินความเป็นไปของสังคมด้วยตัวของเขาเองแล้ว "ปัญญาชน" คือคำนามและบ่งชี้คุณลักษณะของพวกเขา
ปัญญาชนเหล่านี้มักจะบอกว่าตัวเองเป็นพวกคนคิดนอกกรอบ ทวนกระแส สวนกระแส ต้านทุนนิยม ต้านบริโภคนิยม .. ต้านอะไรที่คนหมู่มากเขาชอบ เขาทำกัน เช่น ต้านการค้าเสรี ต้านระบบประชาธิปไตยเลือกตั้ง ต้านนายกทักษิณ ต้านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ต้านช่อง 3 5 7 9 ต้านละครหลังข่าว ต้านเพลงค่ายอาร์เอส ค่ายแกรมมี เป็นต้น
และก็มีความคิดความอ่านที่ไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์เท่าไร เพราะปัญญาชนเหล่านี้มักจะชอบพกหนังสือของ "ตุ๊ด นัด อัน" หรือไม่ก็ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" [1] เท่ๆ สักสองสามเล่ม ใส่รวมๆ ไว้กับเน็ตบุ๊คในย่ามสะพายข้างเก๋ๆ ออกเดินจาริกแสวงบุญตามร้านกาแฟหรือร้านหนังสือเล็กๆ มีสไตล์ จับกลุ่มสนทนาว่าด้วยเรื่อง "ปรัชญาสูงสุดของจักรวาล" - ทุกเรื่องในโลกไอ้พวกนี้จะตรัสรู้หมดทุกตัว (ทุกอย่างถูกอธิบายไว้หมดแล้วในหนังสือสองสามเล่มที่อยู่ในยามสะพายดังที่ได้กล่าวไป)
การต่อสู้ของเคอิโงะ สำหรับสายตาของปัญญาชนพวกนี้ดูเสี่ยวเกินไป เพราะไทยรัฐและช่อง 3 เล่นเรื่องนี้จนเกินคำว่าพองาม สำหรับนักปรัชญาพวกนี้ พวกเขาติดตามและให้ความสนใจเกี่ยวกับการต่อสู้ของภาพยนตร์ฟอร์มเล็กๆ จากอิหร่านในเวทีเทศกาลหนังยุโรป หรือการต่อสู้ของ ซูซาน บอยล์ สาวทึนทึกวัย 47 ปี บนเวทีคนล่าฝันของฝรั่งหัวแดง หรือไม่ก็เป็นเรื่องการต่อสู้ของ ซูจี กับ ทาไล ลามะ (2 เคสไฟต์บังคับที่ปัญญาชนต้องติดตามอยู่ตลอดเวลา อย่าได้ตกข่าวเชียว)
การต่อสู้ของไอ้โงะอาจจะไม่น่าสนใจเท่าแมวน้ำขั้วโลกกำลังทุรนทุรายเพราะได้รับสารไอโอดีนไม่เพียงพอ หรือเรื่องของบลอกเกอร์ทิเบตถูกจับกุมที่อิรักเนื่องจากเขียนบลอกเรียกร้องประชาธิปไตยให้กับพม่า ฯลฯ มากกว่า เหตุการณ์เสี่ยวๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองนี้
เช่นเดียวกับพวกซ้ายลูกเศรษฐี ปัญญาชนเหล่านี้จะสนุกสนานอยู่กับการวิเคราะห์ความเป็นไปในสังคม แต่ตนเองตีนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ...แต่ช่วงหลังซ้ายลูกเศรษฐีบ้านเราพฤติกรรมดีขึ้นมาหน่อย คือยอมลงไปถือป้ายประท้วงพวกอำมาตย์ ร่วมเป็นร่วมตายกับคนเสื้อแดง ได้หลบกระสุนหลบรถแก็สพอเป็นพิธี ได้เชื่อมโยงกับโลกที่มันเป็นจริงๆ มากกว่าหน้าจออินเตอร์เน็ต หรือหนังสือเท่ๆ --- สำหรับการเมืองเรื่องสี พวกปัญญาชนทั้งหลายนั้นยังคงทำตัวอยู่เหนือปัญหา ปวารณาตนเป็นพวกสองไม่เอาอยู่อย่างเคร่งครัด
จริตของพวกปัญญาชนเหล่านี้ มักจะเกลียดชนิดถึงขั้นรังเกียจกับสิ่งที่มันเป็น "ประชานิยม" (ที่ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า "ปอปปูล่า" น่ะ!)
และข่าวของเคอิโงะ มันก็ถูกสร้างมาในรูปแบบ "ประชานิยม" ดังกล่าว
6.คนมันสู้ (น่ะ!)
บนโลกทุนนิยมนี้ คุณจะจนอย่างไร คุณจะทุกข์ยากอย่างไร การนอนแบมือรอโอกาสอยู่ที่บ้านให้เหี่ยวเฉาตายไปทีละน้อย หรือนั่งเขียนแถลงการณ์เพื่อรัฐสวัสดิการวันละแผ่นสองสามแผ่น โดยไม่ได้ทำตัวเงินตัวทองอะไรไปมากกว่านั้น ไม่เป็นผลดีแน่
การต่อสู้มีต้นทุนทั้งนั้น ก่อนจะมาเป็นเคอิโงะในวันนี้ ไอ้โงะเองก็ต้องบากหน้าเอาความเป็นเด็กกำพร้า แม่ตายด้วยโรคร้าย พ่อญี่ปุ่นทิ้ง เอาความเวทนาแลกมันมานะครับ -- คนน่ะถ้ามันไม่สุดๆ จริงๆ เขาไม่งัดเอาความเวทนามาขายกันหรอก
เคอิโงะ ไม่ได้นอนกระดิกตีนอยู่บ้าน แล้วต่อสายหาสรยุทธ์แบบว่า "เฮ่ย! ไอ้เผือก มรึงช่วยปั้นกรูออกรายการเล่าข่าวมรึงหน่อยเด๊ะ!" อะไรประมาณนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างพวกปัญญาชนทั้งหลายวิจารณ์นะครับ กว่าจะมีวันนี้ เคอิโงะเองก็ใช้เวลาไม่ใช่น้อยในการรณรงค์อยู่หน้าอุโบสถ เพื่อเรียกร้องสิทธิในการที่จะเจอพ่อ ผ่านการถูกดูถูกเหยียดหยามมาแทบจะทุกชนิดแล้ว
สำหรับคนเสื้อแดง เราต้องแยกแยะเรื่องคนที่เข้ามาช่วยเหลือเคอิโงะ ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล อภิสิทธิ์ เสธ.หนั่น กษิต ฯลฯ เพราะเราก็รู้กันดีว่ามันเป็นไฟต์บังคับที่ผู้ใหญ่เหล่านี้ต้องดาหน้าออกมา - อย่าไปว่าเด็กมันเลย
อย่ามาพาลหมั่นไส้เด็กด้วยเรื่องพวกนี้ โตๆ กันแล้วต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬาระดับผู้ใหญ่กันสักหน่อย ดูเด็กมันเป็นแบบอย่างดีกว่า นี่แหละผลพวงของการออกมาต่อสู้ ... เคอิโงะเกือบจะเจอพ่อแล้ว ส่วนพวกเราคนเสื้อแดง ทนสู้กันไปอีกนิด ไม่นานคุณทักษิณก็ต้องได้กลับมาเป็นนายกอีกครั้ง
หรือจะหมั่นไส้เคอิโงะว่าได้คืบจะเอาศอก ที่ขอเล่นหนังเป็นดาราอะไรเทือกนั้น -- ก็เรื่องของไอ้โงะมัน เพราะต้องยอมรับว่ากว่าที่จะมีวันนี้ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า มันไม่ได้นอนงอแข้งงอขาอยู่ที่บ้านนะครับ มันออกมาตามหาพ่อมันนะ แบกความน่าเวทนาและผ่านแรงเสียดสีมาได้อย่างหวุดหวิด
สิ่งที่เคอิโงะได้รับมาในวันนี้ต้องยอมรับหน่อย น้ำพักน้ำแรงของมันทั้งนั้น (เช่นเดียวกับที่คุณทักษิณได้รับแรงใจจากคนเสื้อแดงอยู่ตลอดเวลา นี่ก็น้ำพักน้ำแรงที่เขาได้ทำตอนเป็นนายก)
คนเสื้อแดง ชาวนา กรรมกร นักรบโรนิน ผู้นิยมชมชอบลัทธิมาร์ก และเคอิโงะ นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มีที่ทางและวิธีการต่อสู้แตกต่างกันไป
ออกมาสู้ในแบบของคุณ จะดีจะเด่นจะดังจะดับ ยังไงมันก็เรื่องของคนที่ออกมาสู้! ... อย่าไปสนใจขี้ปากปัญญาชนทั้งหลายเลยน่ะ!
ปรากฏการณ์ "เคอิโงะ"
เด็ก 9 ขวบแม่ตายรอพ่อญี่ปุ่นหน้าโบสถ์นานนับปี
คมชัดลึก 11 พฤษภาคม 2552
หนูน้อยวัย 9 ขวบ สุดอนาถแม่ป่วยตายสั่งเสียพ่อเป็นชาวญี่ปุ่นให้ไปรอตรงหน้าโบสถ์วัดท่าหลวง เมื่อเห็นรถทัวร์ท่องเที่ยววิ่งถามรู้จักพ่อหนูไหม สุดรันทดรับจ้างขัดรองเท้าขายอาหารปลาหน้าวัดรอพ่อ
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาท่องเที่ยวกราบไหว้หลวงพ่อเพชรพระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองพิจิตรต่างรันทดใจ เมื่อเห็นภาพหนูน้อยวัย 9 ขวบ วิ่งถือรูปพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นให้กำเนิดแล้วแยกทางกับแม่หายไป ส่วนแม่หลังแยกทางกับพ่อไปทำงานในกรุเทพฯต่อมาได้เสียชีวิต ปล่อยให้ลูกเผชิญชะตากรรม
หนูน้อยคนดังกล่าวคือเด็กชายเคอิโงะ หรือ "เคโงะ" ซาโต อายุ 9 ปี เล่าว่า มีแม่ชื่อนางทิพย์มณฑา ซาโต อายุ 33 ปี เสียชีวิตไปแล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่ผ่านมา
ด้านนางปัทมา จตุพิศ อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 686 ถ.บุษบา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นป้า ของเด็กชายเคอิโงะ เล่าให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2542 นางทิพย์มณฑาได้ออกจากบ้านไปตั้งแต่เป็นสาวอายุประมาณ 15 - 16 ปี บอกเพียงว่า ไปทำงานในกรุงเทพฯ
จากนั้นก็หายไปกลับมาอีกทีก็อุ้มท้องมาบ้านที่จังหวัดพิจิตรพร้อมกับสามีซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อนายคัทซูมิ ซาโต มาพบนายปรีชา จันทร์ประทุม อายุ 60 ปี ผู้เป็นพ่อ ปัจจุบันป่วยเป็นอัมพาตมากว่า 5 ปี แล้ว เพื่อแนะนำให้รู้จักกับคนในครอบครัวที่เป็นชาวไทย
จากนั้นก็หายไปอีก 3 - 4 ปี ประมาณ พ.ศ.2543 กลับมาอีกครั้ง คราวนี้นางทิพย์มณฑา ก็หอบเอาลูกชายสายเลือด นายคัทซูมิ ซาโต ชาวญี่ปุ่น ที่อายุได้เพียง 4 เดือน มาทิ้งไว้ให้ญาติ ๆ เลี้ยงดูโดยไม่ยอมบอกว่า เกิดอะไรขึ้นแล้วก็กลับไปทำงานสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ ส่งเงินมาให้เพียง 2 - 3 ครั้ง เป็นค่านมลูกแล้วก็ขาดการติดต่อไป
จนกระทั้ง พ.ศ.2545 แม่ของเด็กชายเคโงะ และ นายคัทซูมิ ซาโต สามีชาวญี่ปุ่นมาจังหวัดพิจิตร เพื่อเยี่ยมลูกเป็นครั้งสุดท้าย โดยในคราวนั้นลูกอายุได้ 3 ขวบ ก่อนจะเงียบหายไป ทั้งแม่และพ่อชาวญี่ปุ่น โดยปล่อยให้เด็กชายเคโงะใช้ชีวิตอยู่ตามลำพังอดมื้อกินมื้ออยู่กับญาติ ๆ ที่ฐานะยากจน โดยหากินด้วยการไปขายอาหารเลี้ยงปลาหน้าวัดท่าหลวงพระอารามหลวง เป็นการยังชีพ และทุกวันพระ ก็จะได้รับความเมตตาจากพระให้อาหารหรือไข่เค็ม บะหมี่สำเร็จรูป ขนม ที่คนเอามาทำบุญให้เอาไว้กิน
แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อวันสงกรานต์ปี 2551 นางทิพย์มณฑาก็กลับมาบ้านเพราะป่วยหนัก กอดลูกและพร่ำบ่นถึงสามีที่เป็นพ่อชาวญี่ปุ่น ให้ลูกฟังว่า พ่อจะต้องกลับมาหาลูก และจะต้องมาที่วัดท่าหลวง
นางปัทมา กล่าวว่า หลังจากนางทิพย์มณฑากลับมาเด็กชายเคโงะมักจะพาแม่มานั่งที่หน้าอุโบสถหลวงพ่อเพชรทุกวัน พร้อมกับถือรูปพ่อชาวญี่ปุ่น ที่เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่แม่มอบให้ ทุกครั้งที่มีรถทัวร์นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาจอด เด็กชายเคโงะ ก็จะถามว่า "เห็นพ่อหนูไหม" พร้อมกับโชว์รูปของพ่อให้ดู แต่เวลาผ่านไป 2 ปีกว่า ก็ไม่มีวี่แววของพ่อชาวญี่ปุ่นจะกลับมา แถมอาการป่วยหนักขึ้นจนกระทั้ง ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑามีอาการหนักขึ้นใกล้ตายพร้อมกับสั่งเสียลูกว่า
"ให้รอพ่อที่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง จะได้เจอพ่อชาวญี่ปุ่น " ในที่สุดวันที่ 3 เมษายนที่ผ่านมา นางทิพย์มณฑา ผู้เป็นแม่ของเด็กชายเคโงะ ก็สิ้นชีวิตลง
ทุกวันนี้เด็กชายเคโงะ ยังคงเฝ้ารอพ่อชาวญี่ปุ่นอยู่หน้าอุโบสถวัดท่าหลวงพระอารามหลวง อ.เมือง จ.พิจิตร และ เฝ้าวิงวอนว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์คงจะช่วยให้ได้เจอพ่อผู้ให้กำเนิดที่เป็นชาวญี่ปุ่น ทั้งที่ทุกวันนี้ชีวิตสุดแสนลำเค็ญอีกไม่กี่วันนี้ก็จะเข้าชั้นเรียน ป.4 ที่โรงเรียนท่าหลวงสงเคราะห์ อ.เมือง จ.พิจิตร ขณะที่ญาติ ๆ ทุกคนก็ยากจน จึงวอนขอสังคมช่วยถ้าพบพ่อชาวญี่ปุ่น ติดต่อนาง ปัทมา ผู้เป็นป้า โทร....
จากนั้นปรากฏการณ์สิบกว่าวันยิ่งกว่านิยายของ "เคอิโงะ" จึงบังเกิดขึ้น ..
|
เชิงอรรถ
[1] "ตุ๊ด นัด อัน" และ "บุ๊ดดะด๋าด คิกขุ" คือสองสุดยอดนักคิดที่กลายเป็นมหาเมพบร๊ะเจ้าของเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย ไม่ใช่แค่งานเขียนเท่านั้น แม้แต่ตดของมหาเมพบร๊ะเจ้าทั้งสองนี้ก็มีความหมายอันลึกซึ้งเกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาสามัญที่ไม่ใช่พวกมันจะเข้าถึงได้ สำหรับเหล่าลูกศิษย์ลูกหานักปรัชญาทั้งหลาย