Skip to main content


เสียงโหม่งขนาดใหญ่ประสานกับเสียงกลอง ฆ้อง ฉาบ แม้ฟังดูอึกทึกครึกโครม แต่ก็พลิ้วไหวไปตามทำนองขุล่ยมั้งที่เป็นขลุ่ยเฉพาะของชาวกระยัน ได้เริ่มขับประโคมหมู่บ้านราวป่า ส่งสัญญาณการเริ่มต้นของงานประเพณีต้นที


กะควาง” ในภาษากระยันถูกแปรออกมาเป็นภาษาเรียกอีกอย่างว่า “ต้นที” ซึ่งหมายถึงเสาไม้สีขาวแกะสลักปลายเสาให้เป็นรูปร่างคล้ายกับศิวลึงค์ ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในหมู่บ้านชนเผ่ากระยัน(กระเหรี่ยงคอยาว) และชนเผ่ากระยา(กระเหรี่ยงแดง)


ชาวกระยันเชื่อว่า ต้นทีเป็นต้นไม้ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแรกบนโลกมนุษย์ การบูชาต้นทีก็เพื่อให้บรรพบุรุษของกระยัน ที่สถิตบนสวรรค์ลงมาปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านให้มีความสงบสุข อยู่ดีกินดี ไม่มีโรคระบาด ผีร้ายหรือสัตว์ป่าเข้ามารบกวนตลอดปี


ก่อนวันงาน ทุกครอบครัวจะจัดเตรียมไม้ฟืนไว้สำหรับหุงต้มอาหาร แต่ละบ้านจะหาไม้ฟืนไว้พอใช้ทั้งปี ชายหนุ่มเข้าป่าเสาะหาไม้ล้มมาทำฟืน หญิงสาวปัดกวาดเช็ดถูบ้านเรือนครั้งใหญ่ แม่เฒ่ากระยันหุงเหล้ากลิ่นคละคลุ้งทั่วบ้าน หมูและไก่ตระเตรียมรอการเชือดเพื่อเลี้ยงแขกเหรื่อในวันรุ่งขึ้น



ในเช้าวันถัดมา “กะควางแบว่จ่า” ผู้เฒ่าหมอผีจะตีฆ้องให้สัญญาณ ผู้ชายในหมู่บ้านไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่ม เด็ก หรือคนแก่ที่ยังพอมีเรี่ยวแรง ต่างเดินตามขบวนเครื่องดนตรีเข้าสู่ป่าใหญ่ เพื่อค้นหาต้นไม้ที่จะนำมาประกอบพิธี


ผู้หญิงจะทำหน้าที่หุงหาอาหารไว้คอยต้อนรับขบวน ที่กลับลงมาด้วยความเหนื่อยและหิว ด้วยต้องผลัดกันหามต้นไม้ขนาดเขื่อง มาจากป่าที่ไกลออกไปจากหมู่บ้าน


ต้นรัก” จะเป็นต้นไม้ที่ถูกนำมาทำเป็นต้นทีเสียส่วนใหญ่ มีเพียงบางปีเท่านั้นที่จะใช้ต้นไม้ชนิดอื่น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการเสี่ยงทาย


บางคนที่แพ้พิษต้นรักก็จะมีอาการคันคะเยอไปทั้งตัว บางรายที่แพ้มากอาจจะบวมและถึงกับเป็นไข้ แม้มีอาการแพ้พิษต้นไม้แต่ชายหนุ่มทุกคนในหมู่บ้าน ยังคงกลับบ้านมาทำหน้าที่อันสำคัญนี้ทุกปี



เมื่อเสียงฆ้องใกล้เข้ามา หญิงสาวจะตักน้ำไว้เต็มถังรอรับขบวน เมื่อขบวนแห่ต้นไม้มาถึงยังลานพิธี พวกเธอจะพรมน้ำด้วยใบไม้ให้ขบวนเต้นรำ จนเย็นชุ่มฉ่ำทั้งคนทั้งต้นไม้


ตกบ่ายหลังจากพักกินข้าวกินน้ำจนหายเหนื่อย ทุกคนจะมารวมกันที่ลานพิธี เพื่อตกแต่งต้นทีให้มีความสวยงาม โดยจะแกะเปลือกส่วนนอกออก ทาเคลือบลำต้นด้วยปูนขาว ส่วนยอดแกะสลักให้มีลักษณะคล้ายกับศิวลึงค์ ตกแต่งด้วยไม้ไผ่สานและไม้ที่ชาวบ้านนับถือว่าเป็นพืชศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ โดยจะมีลักษณะเป็นซุ้มคล้ายฉัตรปกปิดส่วนยอด


จากนั้นต้นไม้สีขาวที่ตกแต่งอย่างสวยงาม จะถูกยกตั้งขึ้นเพื่อให้ส่วนยอดชี้ขึ้นไปบนฟ้า เสียงฆ้อง โหม่ง กลอง ประโคมระรัว ประสานพลังทั้งหมดชักดึงต้นทีที่หนักอึ้งให้ขึ้นตั้งลำด้วยความยากลำบาก เสียงโห่ร้องให้จังหวะในแต่ละครั้งดังก้องกังวานไปทั้งราวป่า


เมื่อต้นทีถูกตั้งขึ้นเป็นที่เรียบร้อย ผู้ชายจะทำการสักการะโดยการเต้นไปรอบๆ ตามจังหวะดนตรีอันเก่าแก่เนิบช้าแต่ทว่าคงที่ รอบแล้วรอบเล่าเหมือนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย


การเต้นเช่นนี้ดูเหมือนจะจำกัดสิทธิ์ไว้ให้เฉพาะแต่เพศชาย เพื่อเป็นแสดงออกถึงความเคารพและเสมือนปลุกฟื้นวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษอันเก่าแก่ที่มีสัญลักษณ์ในรูปแบบของต้นที



หมู่บ้านชนเผ่าที่นับถือต้นทีในทุกๆ ปี จะย่ำเท้าตามเสียงดนตรีเข้าไปในป่า เพื่อไปตัดต้นไม้หนึ่งต้นมาทำต้นที เล็กบ้างใหญ่บ้างแล้วแต่ว่าปีนั้นหมู่บ้านใดเป็นเจ้าภาพใหญ่


หมู่ห้วยเสือเฒ่าในปีนี้ค่อนข้างเงียบเหงา มีแขกต่างหมู่บ้านเข้ามาร่วมเฉลิมฉลองค่อนข้างน้อย เพราะจัดว่าเป็นงานเล็ก งานใหญ่ได้ถูกกำหนดไว้ที่หมู่บ้านป๊อกหกในศูนย์อพยพบ้านในสอย


ขบวนชายหนุ่มที่เต้นรำรอบๆ ต้นที ก็หดสั้นลงกว่าปีก่อนๆ เพราะบางครอบครัวได้อพยพไปอยู่บ้านใหม่ห้วยปูแกง ส่วนบางคนแม้ว่าจะลงชื่อย้ายไปแล้ว ก็ยังมาเต้นรำให้กับต้นทีของหมู่บ้านด้วยความเคารพ


ในวันสุดท้าย ขบวนแห่จากหมู่บ้านอื่นๆก็จะทยอยกันมา ผลัดกันเต้นสักการะต้นที พวกเขาจะแต่งกายด้วยเสื้อแขนยาวสีขาว กางเกงสีดำ ผูกศรีษะด้วยผ้าแถบสีประจำหมู่บ้านของตน บางปีอาจจะมีการแข่งขันประกวดความสวยงาม จากการแต่งกายและการเต้นด้วยท่าที่งดงามพร้อมเพรียงกัน


บรรดาสาวหนุ่ม ต่างก็ครื้นเครงเพราะมีโอกาสได้พบปะกัน เมื่อเต้นรำตามพิธีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะได้ใกล้ชิดกัน ชักชวนกันขึ้นบ้านนี้ลงบ้านโน้น บางทีถึงกับสาดน้ำเล่นกัน เป็นที่สนุกสนาน


ตกบ่ายก็จะเริ่มจัดขบวนกันใหม่เพื่อเต้นรำ ให้กับบ้านแต่ละหลังเสมือนแทนการกล่าวคำขอบคุณและอวยพรให้กับเจ้าของบ้าน เจ้าบ้านจะยัดเหล้าให้ติดไม้ติดมือกลับบ้าน


เหล้าเจมที่มีรสชาติคล้ายสาโทในภาคอีสาน ถือเป็นเหล้าที่จะต้มกันเพียงปีละครั้งเมื่อมีงานประเพณีต้นทีเท่านั้น การตระเวนขึ้นบ้านโน้นบ้านนี้ก็เพื่อชิมรสชาติของเหล้าเจม เพราะแต่ละบ้านจะปรุงออกมาไม่เหมือนกัน บางบ้านมีรสหวานเฝื่อน บางบ้านเปรี้ยว และบางบ้านก็อร่อยจับใจ


ส่วนเหล้าขาวก็ยิ่งขาดไม่ได้ เพราะหากใครเป็นคอเหล้าจริงๆ ดื่มเหล้าเจมเท่าไรก็ไม่รู้สึกเมา ต้องเอาเหล้าขาวเข้าช่วย เหล้าเจมที่มีดีกรีไม่มากไปกว่าไวท์สักเท่าไรนั้น ผู้หญิงที่ปกติไม่ดื่มเหล้า ก็จะดื่มเหล้าเจมให้พอกรุ้มๆ


งานต้นทีจะจบลงเมื่อแขกบ้านสุดท้ายลากลับ เจ้าบ้านก็จะต้องเก็บกวาดบ้านของตนเอง เหล้าเจมจะถูกนำมาแจกจ่ายให้ดื่มจนหมดภายในสามวัน เพื่อไม่ให้โชคร้ายกลับเข้ามา


แต่เทศกาลต้นทียังคงมีอยู่ วันพรุ่งนี้จะหมู่บ้านถัดไปกำลังจะเริ่มงานต้นที และเมื่อถึงวันสุดท้ายของวันงาน ชาวบ้านที่นี่ก็จะต้องตั้งขบวนแห่ เดินทางไปเต้นรำรอบต้นทีเป็นการสักการะผีบรรพบุรุษของหมู่บ้านนั้น


จนกว่าเสียงฆ้องของหมู่บ้านสุดท้ายจะดังขึ้น และจะเวียนมาให้ได้ยินอีกครั้งในปีหน้า.


บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
เจนจิรา สุ
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก เมื่อคืนเรานั่งดูรูปถ่ายเก่าๆ ที่เราไปเที่ยวกันมา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่พาลูกเดินทางไกล จากแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่ ตอนนั้นลูกเพิ่งอายุได้เจ็ดเดือนเศษ  มีรูปตอนไปเที่ยวสวนสัตว์และเที่ยวงานพืชสวนโลก 2008 ที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ สวยราวกับภาพถ่ายต่างเมืองที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่เมืองไทย
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก   เมื่อคืนลูกมีไข้ขึ้นสูง แม้เช้านี้อาการไข้ของลูกจะลดลงแล้วแต่ตัวลูกก็ยังอุ่นๆ เหมือนเครื่องอบที่เพิ่งทำงานเสร็จใหม่ๆ แม่จึงตัดสินใจให้ลูกขาดโรงเรียนอีกหนึ่งวัน
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก หากมีคำถามจากใครสักคนถามแม่ว่า เดือนไหนของปีที่รู้สึกว่ายาวนานกว่าเดือนอื่นๆ คำตอบของแม่อาจจะแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ เพราะแม่คิดว่าเดือนที่มีจำนวนวันน้อยที่สุดเป็นเดือนที่แม่รู้สึกว่ายาวนานกว่าทุกๆเดือน
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก  นานแล้วที่แม่ไม่ได้หอมกลิ่นดอกเหงื่อ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เราได้ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อติดตั้งน้ำประปาหลวง ทำให้บ้านของเราที่เคยแห้งแล้งกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ดอกเหงื่อที่เกิดจากการจับจอบเสียมเพื่อขึ้นแปลงผักและปลูกต้นไม้เล็กๆน้อยๆ ทำให้แม่มีความสุข เจริญอาหาร และอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก   สิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ในชีวิตอีกบทหนึ่งก็คือ เมื่อมีพบก็ต้องมีการลาจาก และบางครั้งลูกก็อาจจะต้องเจอกับการพลัดพลาดจากบางสิ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก สิ่งที่แม่เป็นกังวลใจมาตลอดในความเข้าใจถึง “ตัวตน” ของลูกเริ่มก่อแววให้เห็นขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ลูกอายุได้เกือบสามขวบแล้ว ซึ่งทุกวันแม่จะได้รับคำถามจากลูกมากมาย เช่น ทำไมแม่ไม่ใส่ห่วงที่คอ ทำไมกระเม (หมายถึงแขกที่มาเที่ยว) มาบ้านเราล่ะแม่ ฯลฯ
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก  ในยามเช้าที่สายหมอกยังไม่ทันจาง เราตื่นขึ้นด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ที่เข้ามาในหมู่บ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง พวกเขาเดินมาพลางร้องเรียกไปพลาง เพื่อจะดูชาวกะเหรี่ยงคอยาวที่เขาหมายมั่นมาดู
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่แม่อยากจะเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องความรักระหว่างพ่อกับแม่ ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่แปลกแตกต่างไปจากคนอื่นๆในสังคม
เจนจิรา สุ
เชียงใหม่ยามเช้าที่อาเขต พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาและกำลังจะจากเมืองใหญ่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางความเจริญในภาคเหนือของประเทศ