Skip to main content

เชียงใหม่ยามเช้าที่อาเขต พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาและกำลังจะจากเมืองใหญ่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางความเจริญในภาคเหนือของประเทศ

\\/--break--\>

พ่อของลูกค่อนข้างตื่นเต้นกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่าง สำหรับแม่ความคุ้นชินเดิมๆเริ่มคืนกลับมา เราต้องเดินทางไปขึ้นรถแดง เพื่อไปบ้านพี่สาวคนหนึ่ง แม้แท้ที่จริงเขาจะไม่ใช้พี่น้องร่วมท้องเดียวกัน


แต่เมื่อครั้งที่แม่ได้ไปเช่าบ้านเธออยู่ ทำให้ได้รู้จักสนิทสนม และเธอก็ให้ความช่วยเหลือแม่หลายๆอย่างเสมือนพี่สาวคนหนึ่ง


และนี่ก็คืออีกฉากชีวิตที่แม่อยากจะเล่าให้ลูกฟังว่า แม้ว่าแม่จะเติบโตที่จังหวัดแพร่แต่เพื่อนฝูงพี่น้องของแม่ ล้วนอาศัยอยู่ในเชียงใหม่ เมืองที่แม่ใช้ชีวิตโดยอิสรเสรีนานกว่าแปดปี


หากให้แม่กลับไปจังหวัดแพร่ หรือร้อยเอ็ดบ้านเกิด แม่อาจจะไม่รู้ว่าจะต้องไปเจอใคร หรือต้องไปเที่ยวหาญาติคนไหน แต่ถ้ามาเมืองเชียงใหม่ แม่กลับพบว่าตัวเองร่ำรวยญาติพี่น้อง แม้จะไม่ใช่ญาติทางสายเลือด แต่ก็เป็นเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา บางคนก็ให้ความช่วยแม่มากมายยิ่งกว่าญาติแท้ๆด้วยซ้ำไป


เราถึงบ้านพี่ขวัญในยามเช้าตรู่ เจ้าของบ้านรู้ล่วงหน้าว่าเราจะมา แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้ที่บรรดา สุนัขที่เลี้ยงไว้สี่ห้าตัวไม่ส่งเสียงเห่า คงเป็นเพราะว่ามันจำแม่ได้ แม้ว่าจะจากกันไปนานกว่า 3 ปีแล้วก็ตาม


เช้านี้ลูกสดชื่นและแจ่มใส แต่พ่อออกอาการอิดโรยไม่น้อยไปกว่าแม่ เราจึงวางแผนหลับเอาแรงก่อนที่จะเดินโปรแกรม ไปเที่ยวต่อในยามบ่าย


แม่มีนัดงานชุมนุมชาวประชาไท ซึ่งเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางของเราสามคนพ่อแม่ลูก พ่อไปด้วยอย่างเสียไม่ได้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง


ด้วยเพราะเราต้องใช้มอเตอร์ไซด์เป็นพาหนะในการเดินทาง บนถนนอันพลุกพล่านไปด้วยยวดยานพาหนะ บางครั้งพ่อก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจในความปลอดภัย ที่ต้องมาเจอรถเยอะๆบนถนน


และโดยเฉพาะต้องมาเจอผู้คนที่รู้จักแม่มากมาย ต้องกลายมาเป็นจุดสนใจ แต่แม่ก็บอกพ่อว่าคนที่แม่พาไปเจอล้วนเป็นดั่งญาติของเราทั้งนั้นไม่มีใครที่ไม่ดีใจที่จะได้เห็นญาติของแม่เพิ่มอีกสองคนหรอกหรือ


งานชุมนุมชาวประชาไทในเย็นนี้ เป็นการรวมตัวกันของนักคิดนักเขียน ทั้งจากเชียงใหม่และเดินทางไกลมาจากหลายสถานที่ บ้างจากไกลถึงประเทศลาวเลยก็มี


แม่ได้รับโอกาสจากรุ่นพี่นักเขียน ให้ได้บอกเล่าประสบการณ์ชีวิตผ่านคอลัมน์ที่แม่ได้บันทึกถึงลูก จึงได้รับเชิญให้ไปร่วมงานพบประกันในครั้งนี้ด้วย


ผู้คนในงานแม้จะเป็นนักคิดนักเขียนสำคัญของประเทศ เป็นบุคคลที่แม่ทั้งให้ความเคารพและเป็นแบบอย่าง บ้างก็ได้อาศัยพึ่งพามาไม่น้อย จนกลายเป็นเหมือนน้องเล็กของพี่ๆ ซึ่งบัดนี้ตีปีกหวนบินกลับสู่รังอีกครั้ง


อ้ายแสงดาว พี่ยาย พี่หนอม นั่งอยู่โต๊ะนอกถัดจากทางเข้า ต่างมาทักทายหลานตัวน้อย ป้าวิที่แทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยจากหลายปีก่อน นั่งบนเคาน์เตอร์คอยเป็นบริกรอาวุโสให้กับบรรดาแขกเหรื่อ ใกล้กับที่ป้าหมูเจ้าของสถานที่ “ร้านสายหมอกกับดอกไม้” นั่งพูดคุยออกรสกันอยู่


ทุกคนยังคงเหมือนเดิม สง่างาม ยิ้มแย้มและอ่อนโยนต่อกัน


แม่กลับรู้สึกว่า ทั้งสถานที่ สถานการณ์ และผู้คนที่ไม่แตกต่างไปจากเดิมนั้น กลับสร้างความรู้สึกอันแตกต่างเกิดขึ้นกับจิตใจของแม่


สถานะที่เปลี่ยนแปลงไปของแม่จากเด็กนักศึกษา กลายเป็นคนวัยทำงาน เมื่อต้องมีครอบครัว ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบ แม่จะทำอันใดตามใจตัวเองไม่ได้อีกแล้ว


ทุกครั้งที่เกิดสิ่งผิดพลาดท่ามกลางผู้คนที่คอยให้อภัยแม่ ยิ่งทำให้แม้นึกย้อนสู่สิ่งที่ผิดพลาดและเฆี่ยนโบยตัวเองด้วยการหลบลี้หนีหน้าผู้คนที่แม่รัก และรักแม่ ด้วยแม่ไม่เคยให้อภัยในตัวเอง


ลูกของแม่ต่างหากล่ะที่เกิดมาเพื่อให้แม่ได้ยอมรับในข้อผิดพลาด และให้อภัยตัวเองต่อสิ่งที่ผิดพลาดเหล่านั้น การหนีจากสถานการณ์ สถานที่ และผู้คนที่เรารักก็กับการหนีเงาของตัวเอง


แม่จึงได้กลับมาเชียงใหม่อีกครั้ง พาลูกและพ่อมาสู้อ้อมกอดของผู้คนที่รักเรา และซึมซับสิ่งที่แม่เคยเป็น แม้มันจะผิดพลาดในบางจุด


แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดีในชีวิตให้แม่ได้กลับมาพร่ำสอนลูก นำสิ่งที่ผิดพลาดมาเป็นบทเรียน เรียนรู้ที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขหากเรารู้จักตัวเอง ไม่ใช่หลงไปกลับสถานที่และผู้คน จนลืมไปว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหน


เราเดินทางกลับบ้านค่อนข้างเร็ว ด้วยพ่ออาจรู้สึกอึดอัดและแปลกสถานที่ตลอดจนผู้คน จนวางตัวไม่ถูก เราทิ้งอาหารค่ำที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ ออกมากินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง


สำหรับแม่เพียงแค่ได้พบปะยินดีกับผู้คนที่แม่เคารพและรักแม้จะใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็ทำให้รู้สึกอิ่มเอมใจแล้ว


สำหรับลูกยังคงวัยเยาว์เกินไปที่จะรู้สึกสนุกในงานเช่นนี้ เราจึงกลับมาพักผ่อน และเตรียมตัวผจญภัยกันต่อในเช้าวันต่อไป.

 

 

บล็อกของ เจนจิรา สุ

เจนจิรา สุ
เจนจิรา สุ
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก เมื่อคืนเรานั่งดูรูปถ่ายเก่าๆ ที่เราไปเที่ยวกันมา นับตั้งแต่ครั้งแรกที่แม่พาลูกเดินทางไกล จากแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่ ตอนนั้นลูกเพิ่งอายุได้เจ็ดเดือนเศษ  มีรูปตอนไปเที่ยวสวนสัตว์และเที่ยวงานพืชสวนโลก 2008 ที่เชียงใหม่เป็นเจ้าภาพ สวยราวกับภาพถ่ายต่างเมืองที่ไหนสักแห่งที่ไม่ใช่เมืองไทย
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก   เมื่อคืนลูกมีไข้ขึ้นสูง แม้เช้านี้อาการไข้ของลูกจะลดลงแล้วแต่ตัวลูกก็ยังอุ่นๆ เหมือนเครื่องอบที่เพิ่งทำงานเสร็จใหม่ๆ แม่จึงตัดสินใจให้ลูกขาดโรงเรียนอีกหนึ่งวัน
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก หากมีคำถามจากใครสักคนถามแม่ว่า เดือนไหนของปีที่รู้สึกว่ายาวนานกว่าเดือนอื่นๆ คำตอบของแม่อาจจะแตกต่างออกไปจากคนอื่นๆ เพราะแม่คิดว่าเดือนที่มีจำนวนวันน้อยที่สุดเป็นเดือนที่แม่รู้สึกว่ายาวนานกว่าทุกๆเดือน
เจนจิรา สุ
สาละวิน, ลูกรัก  นานแล้วที่แม่ไม่ได้หอมกลิ่นดอกเหงื่อ จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้เราได้ลงทุนครั้งใหญ่เพื่อติดตั้งน้ำประปาหลวง ทำให้บ้านของเราที่เคยแห้งแล้งกลับมามีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง ดอกเหงื่อที่เกิดจากการจับจอบเสียมเพื่อขึ้นแปลงผักและปลูกต้นไม้เล็กๆน้อยๆ ทำให้แม่มีความสุข เจริญอาหาร และอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก   สิ่งที่ลูกต้องเรียนรู้ในชีวิตอีกบทหนึ่งก็คือ เมื่อมีพบก็ต้องมีการลาจาก และบางครั้งลูกก็อาจจะต้องเจอกับการพลัดพลาดจากบางสิ่ง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก สิ่งที่แม่เป็นกังวลใจมาตลอดในความเข้าใจถึง “ตัวตน” ของลูกเริ่มก่อแววให้เห็นขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ลูกอายุได้เกือบสามขวบแล้ว ซึ่งทุกวันแม่จะได้รับคำถามจากลูกมากมาย เช่น ทำไมแม่ไม่ใส่ห่วงที่คอ ทำไมกระเม (หมายถึงแขกที่มาเที่ยว) มาบ้านเราล่ะแม่ ฯลฯ
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก  ในยามเช้าที่สายหมอกยังไม่ทันจาง เราตื่นขึ้นด้วยเสียงเอะอะมะเทิ่งของนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ ที่เข้ามาในหมู่บ้านตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสาง พวกเขาเดินมาพลางร้องเรียกไปพลาง เพื่อจะดูชาวกะเหรี่ยงคอยาวที่เขาหมายมั่นมาดู
เจนจิรา สุ
สาละวิน,ลูกรัก ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่แม่อยากจะเล่าให้ฟัง โดยเฉพาะเรื่องความรักระหว่างพ่อกับแม่ ที่หลายคนมองว่าเป็นเรื่องที่แปลกแตกต่างไปจากคนอื่นๆในสังคม
เจนจิรา สุ
เชียงใหม่ยามเช้าที่อาเขต พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาและกำลังจะจากเมืองใหญ่ที่เป็นเสมือนศูนย์กลางความเจริญในภาคเหนือของประเทศ