สาละวิน,ลูกรัก
สิ่งที่แม่เป็นกังวลใจมาตลอดในความเข้าใจถึง “ตัวตน” ของลูกเริ่มก่อแววให้เห็นขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนี้ลูกอายุได้เกือบสามขวบแล้ว ซึ่งทุกวันแม่จะได้รับคำถามจากลูกมากมาย เช่น ทำไมแม่ไม่ใส่ห่วงที่คอ ทำไมกระเม (หมายถึงแขกที่มาเที่ยว) มาบ้านเราล่ะแม่ ฯลฯ
เมื่อวานนี้ก็เช่นกัน ลูกได้ใช้คำพูดด่า “มะจ่อ” ซึ่งเป็นน้องสาวของพ่อ ด้วยคำว่า “พวกกะเหรี่ยงคอยาว” แม้จะเป็นคำพูดที่ดูจะไม่รุนแรงอะไร ในความชาชินของมะจ่อซึ่งใส่ห่วงทองเหลืองไว้ที่คอ แต่สำหรับแม่แล้ว คำด่าของลูกแสดงถึงความสับสนในตัวตนของลูกเอง
ข้อแรกคือ แม่ตั้งคำถามกับตัวเองว่าลูกไปเอาคำด่านี้มาจากไหน ลูกคงไม่ได้คิดเองในเมื่อลูกก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกระยันที่สวมห่วงทองเหลือง แต่ลูกคงได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อนที่โรงเรียนซึ่งมีหลายชนเผ่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นอนุบาลของลูก
คำด่าของลูกที่ว่า ”พวกกะเหรี่ยงคอยาว” แสดงถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวก โดยที่ลูกหารู้ไม่ว่ามันหมายถึงตัวของลูกเองด้วย แม้ว่าแม่จะไม่ได้สวมห่วงทองเหลือง แต่ลูกก็อาศัยและเติบโตที่หมู่บ้านกระยัน และมีพ่อที่เป็นชาวกระยัน
ข้อที่สอง เมื่อแม่ถามว่าลูกรักพือพือ (หมายถึงย่า) ไหม ลูกก็ตอบว่ารัก แม่ถามลูกต่อว่าแล้วพือพือเป็นกะเหรี่ยงคอยาวหรือเปล่า ลูกก็ตอบว่าเป็น แม่จึงถามต่อไปอีกว่าแล้วลูกด่าว่าพือพือเป็นพวกกะเหรี่ยงคอยาวทำไม แม่ก็ได้เพียงความเงียบเป็นคำตอบจากลูก
คำตอบที่อยู่ในใจของแม่ก็คือ ความไร้เดียงสาของลูกนั่นเอง ที่ลูกจดจำคำพูดของคนอื่น แต่ลูกก็ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ผู้หญิงชาวกระยันที่ใส่ห่วง โดยเฉพาะพือพือ ที่ลูกทั้งรักและติดหนึบมากยิ่งขึ้นตามวันและเวลาที่แม่ได้ห่างลูกออกไปทำงานในเมือง
บางครั้งที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมการแสดงเต้นรำของผู้หญิงที่ใส่ห่วง เสียงกลองเสียงฉิ่งครึกครื้น สนุกสนาน ลูกก็ยังมากระซิบแม่ว่าอยากใส่ห่วงที่คอเหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่แสดงการฟ้อนรำ เพราะลูกยังไร้เดียงสา เช่นเด็กคนอื่นๆ ที่ร้องขอให้แม่ใส่ห่วงให้เหมือนกับแม่ของตนเอง
สาละวิน,ลูกรัก ในวันหนึ่ง เมื่อเด็กๆ รวมถึงลูกได้เติบโตขึ้น แม่กลัวว่าเพาะพันธุ์แห่งความรังเกียจที่คนอื่นมอบให้จะขยายสู่อาณาเขตของหัวใจลูก เช่น เด็กสาวรุ่นใหม่ที่ทอดทิ้งวัฒนธรรมการใส่ห่วง ไปนุ่งยืน สวมชุดเกาะอก เมื่อพวกเขารู้ว่าสังคมตั้งข้อรังเกียจในวัฒนธรรมชนเผ่ากระยัน
แม่จึงพูดคุยปลูกฝังลูกเสมอว่า อย่าได้ตั้งข้อรังเกียจในวัฒนธรรมของตนที่มีอยู่ในสายเลือดของลูกครึ่งหนึ่ง แม่หวังว่าเพาะพันธ์แห่งความรังเกียจจะสูญสลายไป อยากให้ลูกภูมิใจในความเป็นชนเผ่าของตนเอง ซึ่งแม่ต้องคอยเติมภูมิคุ้มกัน เพื่อวันข้างหน้าลูกจะได้ตอบผู้คนได้อย่างมั่นใจว่าลูกคือใคร ไม่ปิดบัง “ตัวตน” ที่แท้จริงของตนเอง
แม่เคยพบเห็นชายหนุ่มหญิงสาวหลายคนที่มาจากชนเผ่าต่างๆ แต่พอได้รับการศึกษา หรือได้ออกมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ก็ลืมรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเอง และแยกตัวออกจากชุมชน ปิดบังว่าตัวเองเป็นชนเผ่าอะไร ลืมแม้กระทั่งภาษาที่พ่อแม่เคยปลูกฝัง
แม่ไม่ได้สอนให้ลูกแบ่งแยก แต่ขอให้ลูกยอมรับในความแตกต่าง และอยู่ร่วมในสังคมได้อย่างมีความภาคภูมิใจในตัวเอง แม้ว่าเพาะพันธุ์แห่งความรังเกียจจะไม่หมดไปจากสังคมโดยง่าย ลูกก็ต้องสร้างการยอมรับจากคนอื่น ด้วยการยอมรับตัวเองก่อน เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะใช้ชีวิตได้
รักลูก
แม่